ดนตรีอันโอ่อ่าที่บรรเลงโดยวงดนตรีประจำราชสำนักดังกังวานให้ได้ยินทั้งห้องรับรองใหญ่
เฮเลนาไม่รู้ว่าดนตรีนี้มันชื่ออะไร ดูท่าว่าน่าจะเป็นบทเพลงที่นักแต่งเพลงชื่อดังในอดีตสักคนได้แต่งเอาไว้กระมัง ทว่าท่วงทำนองที่ถูกบรรเลงออกมานั้นก็โด่งดังมากพอที่เธอจะคุ้นหูอยู่บ้าง
และหากไม่นับดนตรีโออ่าที่บรรเลงอยู่นี้ ห้องรับรองใหญ่ก็กำลังถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบงัน
เพราะสิ่งที่บรรดาขุนนางผู้มาร่วมงานราตรีกำลังให้ความสนใจอยู่—ก็ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากทั้งสองคนซึ่งก็คือฟาร์มาสกับเฮเลนาที่ตอนนี้ยืนอยู่ตรงศูนย์กลางของงาน
เฮเลนาเป็นทหาร
ในกองทัพนั้น แม้แต่ผู้มีตำแหน่งสูงสุดอย่างแปดยอดขุนศึกก็ยังมีความแตกต่างในวิธีบัญชาการกองอัศวิน มีทั้งคนที่ใช้วิธีนำอยู่หัวแถวสุดตลอดเวลาแล้วให้คนอื่นคอยตามอย่างเช่น ‘ขุนศึกหมีน้ำเงิน’ บาร์โตโลเม มีทั้งคนที่ใช้วิธีบุกลอบโจมตีจุดตายของศัตรูอย่างเชี่ยวชาญอย่างเช่น ‘ขุนศึกพยัคฆ์แดง’ วิกเตอร์ มีทั้งคนที่ใช้วิธีสังเกตการณ์โดยรวมอยู่ในแนวหลังสุดพลางถ่ายทอดคำสั่งออกไปอย่างแม่นยำอย่างเช่น ‘ขุนศึกหมาป่าเงิน’ ทิฟฟานี—แต่ละคนก็มีวิธีต่างกันออกไป
และวิธีต่อสู้ของเฮเลนานั้นโดยพื้นฐานแล้วก็จะเป็นการบุกทะลวง หากให้จัดประเภทก็คงจะใกล้เคียงกับยุทธวิธีของบาร์โตโลเมนั่นเอง
แปลว่า การตกเป็นเป้าสนใจของทัพข้าศึกนั้นคือสิ่งที่เธอเคยชินอยู่แล้ว
เพราะแบบนั้นการที่ทหารข้าศึกบางคนพอเห็นเฮเลนาปุ้บก็โวยวายออกมาว่า “กึ๋ย เฮเลนา!” จึงเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่บ่อย ๆ
ใช่
เธอเคยชินกับสายตาผู้คน
เคยชินกับการเป็นจุดสนใจอยู่แล้ว
ทั้งที่เป็นแบบนั้นแท้ ๆ
“……เกร็งน่าดูเลยนะเฮเลนา”
“อุ……”
ท่ามกลางสายตาของบรรดาขุนนางและอาคันตุกะต่างชาติ เฮเลนากลับเกร็งจนตัวแข็งไปหมด
การเคลื่อนไหวแข็งทื่อราวกับขาดน้ำมันหล่อลื่นจนเหมือนจะส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดออกมาได้อยู่แล้ว ถึงขั้นที่ว่าแค่จะก้าวเดินแขนขวากับขาขวามันยังจะยื่นออกไปพร้อมกันเลย
“ไม่ต้องกังวลขนาดนั้นหรอก ปล่อยให้เราจัดการเอง”
“ต แต่ว่า……”
“เอ้า ส่งมือมาสิ”
เธอกุมมือที่ฟาร์มาสยื่นมาให้ แล้วก็ได้ถูกดึงเข้าไปแนบชิดอกของฟาร์มาสอย่างลื่นไหล
พร้อมกันนั้น ฟาร์มาสก็ได้เริ่มขยับร่างอย่างสง่างาม
‘เอ่อ สเต็ปพื้นฐานมันต้อง…’ เธอพยายามยับยั้งสมองที่กำลังสับสนของตนเองพลางขยับเท้าออกไปตามจังหวะเคลื่อนไหวของฟาร์มาส
สเต็ปเท้าที่แม้จะยังมีตะกุกตะกักบ้างแต่ก็สามารถทำได้โดยไม่ต้องคิดมากแล้ว ทำให้ร่างกายของเฮเลนาขยับเคลื่อนไหวไปได้อย่างเป็นธรรมชาติ การฝึกฝนซ้ำไปซ้ำมามันมีประโยชน์มากจริง ๆ
ต่อให้กำลังสับสนแค่ไหน หรือต่อให้กำลังตื่นตระหนกแค่ไหน หากย้อนนึกถึงการฝึกฝนที่ได้ทำสั่งสมมาเป็นประจำทุกวัน มันก็กลายจะเป็นสิ่งที่เชื่อใจได้มากที่สุด
การเต้นรำอันงดงามและสละสลวยขององค์จักรพรรดิกับพระชายาเอก
แม้จะมีจุดน่าเสียดายที่เฮเลนาตัวสูงกว่าฟาร์มาส แต่ภาพของหนุ่มงามสาวงามที่กำลังเต้นรำคู่กันนั้นก็ชวนให้นึกว่าเป็นภาพวาดศิลปะชิ้นหนึ่ง
เหล่าผู้ชมได้แต่มองดูความงดงามนั้นอย่างหลงใหลเพลิดเพลิน ไม่อาจเอ่ยคำพูดใด
ความงดงามที่ทำให้แม้แต่นักดนตรีในวงบางคนยังเผลอหยุดมือนั้น กำลังดำเนินไปอยู่ ณ ใจกลางงานเต้นรำ
ทว่าเฮเลนาผู้ถูกมองเช่นนั้นอยู่ก็กำลังรู้สึกเต็มกลืนแล้ว
หากผิดพลาดแม้เพียงนิดเดียวก็ทำให้จังหวะเสียไปได้แล้ว และความรู้สึกไม่กลมกลืนนั้นก็จะทำให้เสน่ห์ของการเต้นรำลดลงไปจนเหลือไม่ถึงครึ่ง
แปลว่า เฮเลนาไม่ได้รับอนุญาตให้ผิดพลาดได้โดยเด็ดขาด
ดังนั้นเธอจึงรวบรวมสมาธิ อ่านการเคลื่อนไหวของฟาร์มาสพลางออกสเต็ปไปเรื่อย ๆ อย่างแม่นยำ เทียบกับการเต้นรำนี่แล้ว การดวลตัวต่อตัวกับนักสู้คนอื่นยังจะง่ายดายกว่านี้มากมายนัก เพราะอย่างน้อยหากเป็นการดวลกันแค่สังหารคู่ต่อสู้ทิ้งซะก็จบแล้ว
ในมุมของเฮเลนาแล้ว การที่ไม่อาจทำอะไรอย่างอื่นนอกจากขยับแบบเดิมซ้ำไปซ้ำมา และปล่อยร่างกายท่อนบนไปตามการนำของฟาร์มาสโดยสมบูรณ์เช่นนี้—มันเหมือนกับกำลังถูกทรมานก็ไม่ปาน
“เฮเลนาเอ๋ย”
“……ค ค่ะ”
อยากจะบอกออกไปดัง ๆ ว่า ‘กำลังใช้สมาธิอยู่อย่ามาชวนคุยดิ’ แต่ยังไงก็ต้องอดทนเอาไว้จริง ๆ นั่นแหละ
การสนทนานั้นจะทำลายสมาธิและอาจทำให้เสียจังหวะไปได้ เฮเลนาที่ตอนนี้กำลังตึงเครียดสุด ๆ อยู่ย่อมไม่มีพื้นที่ว่างทางใจมากพอจะมาสนุกกับสนทนากับฟาร์มาส
ทว่าจะให้เฮเลนาเมินเฉยต่อถ้อยคำของฟาร์มาสที่กระซิบอยู่ข้างหูเช่นนี้เธอก็ทำไม่ได้ ไม่สิ ลมหายใจมันรดหูกันอยู่เลยด้วยซ้ำ
เพียงแค่นั้นเธอก็รู้สึกตัวว่าใบหน้ามันกำลังร้อนผ่าว
“ยืดหลังตรงกว่านี้หน่อย อย่าก้ม”
“อุ……”
เธอก็ตั้งใจจะทำหลังตรงเสมออยู่แล้ว
ทว่าคงเป็นเพราะตื่นเต้นอยู่ไม่น้อยมันจึงแสดงออกมาในอิริยาบถจนได้กระมัง
ต่อให้ไม่ต้องส่งสายตาไปมองเท้า แต่ประสาทการรับฟังที่แหลมคม ประสาทสัมผัสที่รับรู้กระแสของอากาศ และสัมผัสที่หกซึ่งล้ำเลิศนั้นก็ช่วยบอกสเต็ปต่อไปของฟาร์มาสให้เธอรู้
ขอบเขตแห่งยุทธซึ่งเรียกว่า ‘เนตรจิต’ หรือ ‘อาณาเขต’ ที่เธอได้ฝึกฝนมาในฐานะนักบู๊และใช้รับมือกับทุกสถานการณ์ ตอนนี้มันกำลังถูกนำมาใช้อย่างเต็มพิกัดเพื่อไม่ให้ไปเหยียบเท้าคู่เต้นรำ เรียกได้ว่าเป็นการใช้ทักษะเหนือชั้นอย่างสิ้นเปลืองมาก
และระหว่างที่กำลังมองดูทั้งสองเต้นรำอยู่นั้น—
“……งดงามอะไรเช่นนี้”
“ช่างเป็นพระชายาเอกที่สมกันจริง ๆ นะครับเนี่ย”
“วิเศษจริง ๆ……เต้นได้ลื่นไหลมาก”
การถูกกล่าวคำยกยอจากหลาย ๆ ปากเช่นนี้ ก็ยิ่งทำให้เฮเลนาเกร็งมากขึ้นไปอีก
ในเมื่อตอนนี้กำลังได้รับการประเมินอย่างสูงค่า แปลว่าหากเฮเลนาทำอะไรสักอย่างพลาดไป ความเห็นมันก็จะยิ่งพลิกกลับมากขึ้นเท่านั้น
มนุษย์เราเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือกันได้ง่ายดายอยู่แล้ว
แม้เหงื่อเย็นจะผุดขึ้นบนหน้าผาก แต่เฮเลนาก็ยังร้อยเรียงสเต็ปต่อไปอย่างเอาเป็นเอาตาย
และในทางตรงกันข้าม ฟาร์มาสก็กำลังมองเฮเลนาด้วยสายตาราวกับเอ็นดู พลางช่วยโน้มนำร่างกายท่อนบนของเฮเลนาไปด้วย
ทั้งแขนที่โอบรอบเอว หรือปลายนิ้วที่สัมผัสกันในบางครั้งคราว ทำให้รู้สึกได้ถึงความเป็นบุรุษเพศที่เข้มแข็ง แตกต่างไปจากเฮเลนาซึ่งแม้ว่าจะฝึกฝนขัดเกลามาอย่างไรก็ยังคงเป็นสตรีเพศ
เมื่อเวลาผ่านไปจังหวะดนตรีก็ยิ่งทวีความดุดัน
ในเวลาเดียวกันนั้นสเต็ปการเต้นก็ต้องเร็วขึ้นตามไปด้วย เมื่อมาถึงจุดนั้นเฮเลนาก็ไม่หลงเหลือความใจเย็นอยู่อีกแม้แต่น้อย
เธอทำได้เพียงแค่ก้าวเท้าออกไปอย่างเอาเป็นเอาตายราวกับเครื่องจักร ใช้ลางสังหรณ์ในฐานะนักบู๊อย่างผิดทิศผิดทางแบบสุดกำลังพลางวิงวอนให้เวลามันผ่านไปเร็ว ๆ เท่านั้น
แต๊น—และพร้อมกับเสียงดังกังวานเช่นนั้น
เสียงปรบมือก็ได้ระเบิดขึ้น—การเต้นรำท่ามกลางทุกสายตาได้สิ้นสุดลงแล้ว
“……ฟู่ ว”
“จบแล้วนะ เฮเลนา”
ระหว่างที่ได้รับการส่งเสียงปรบมือมาให้ ฟาร์มาสก็ยังใจเย็นโบกมือขวาตอบในระหว่างเดินกลับที่นั่งตามเดิม ในทางกลับกันเฮเลนานั้นเหนื่อยสุดขีดจนไม่มีกะใจจะทำอะไรแบบนั้นแล้ว
ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้นแต่จะแสดงสภาพห่อเหี่ยวให้คนอื่นเห็นก็ไม่ได้ ดังนั้นเธอจึงรักษาสีหน้าไร้อารมณ์เอาไว้พลางเดินตามหลังฟาร์มาสไป
และใบหน้าไร้อารมณ์ของเฮเลนานั้นก็มีพลังโน้มน้าวสูงเกินความจำเป็น
หรือก็คือ การที่เฮเลนาเดินกลับที่นั่งด้วยใบหน้าเรียบเฉยนั้น มันทำให้คนรอบข้างรู้สึกว่าเธอช่างเปี่ยมล้นไปด้วยความมั่นใจนั่นเอง ด้วยข้อนี้ก็ทำให้บุตรีขุนนางอย่างน้อยแปดส่วนยอมแพ้เรื่องที่จะเข้ามาป้อล้อฟาร์มาสไปแล้ว
รู้สึกคอแห้งผากเหมือนจะเป็นผง ถ้าเป็นไปได้ก็อยากดื่มอะไรสักหน่อย
คำสอนของลูเครเซียคือ ‘ห้ามรับประทานอาหารเด็ดขาด’ แต่มันไม่น่าจะรวมไปถึงเครื่องดื่มนะ
“ฝ่าบาททรงเต้นรำได้น่าชมยิ่งพะยะค่ะ”
“สมกับเป็นฝ่าบาท ไม่สิ การเต้นรำของธิดาคนโปรดเองก็น่าชื่นชมเช่นกันพะยะค่ะ”
“อย่ายอกันนักเลย พวกเจ้าเองก็เชิญสนุกสนานเถอะ”
ฟาร์มาสคอยตอบกลับบรรดาขุนนางที่เข้ามากล่าวทักทายระหว่างทาง
ดูเหมือนนอกจากเรื่องที่ว่าให้ฟาร์มาสกับเฮเลนาเต้นเปิดเป็นคู่แรกแล้ว จะไม่ได้มีการกำหนดอะไรไว้เป็นพิเศษอีก บรรดาขุนนางคนอื่น ๆ จึงเริ่มเต้นรำกันบ้างตามอัธยาศัยของแต่ละคน
ไม่รู้ทำไมต้องมีธรรมเนียมว่าให้ฟาร์มาสกับเฮเลนาเต้นเปิดเป็นคู่แรกด้วย อยากจะไปอัดไอ้คนต้นคิดธรรมเนียมนี้เดี๋ยวนี้เลย
“แหม การวางแผนงานของใต้เท้ามหาอำมาตย์ช่างยอดเยี่ยมโดยแท้ ใต้เท้ามหาอำมาตย์โนลด์ลุนด์ที่เสนอว่าให้ฝ่าบาทกับโฉมงามเต้นรำคู่กันเป็นการเปิดงานจึงจะเหมาะสมที่สุดเนี่ย นับว่าเป็นข้าราชบริพารผู้ซื่อสัตย์ที่คอยเกื้อหนุนประเทศนี้จริง ๆ นะพะยะค่ะ”
“อืม ทั้งในงานพิธีและงานราตรีคราวนี้ โนลด์ลุนด์ทำได้ดีมาก สักวันเราจะตบรางวัลให้ก็แล้วกัน”
“พะยะค่ะ เพียงได้ยินฝ่าบาทกล่าวเช่นนั้นกระหม่อมก็รู้สึกเป็นเกียรติ์แล้ว”
ดูเหมือนตัวต้นคิดจะเป็นโนลด์ลุนด์นี่เอง
‘เอาไว้จบเรื่องทุกอย่างแล้วจะขออัดมันสักที’ เธอตัดสินใจแล้ว
“เฮเลนาเอ๋ย”
“ค่ะ”
“เจ้ากลับที่นั่งไปก่อนเถอะ เราจะอยู่พูดคุยอีกสักหน่อยแล้วค่อยกลับ คงคอแห้งแล้วใช่ไหมล่ะ”
“……ขอบพระคุณค่ะ”
ดูเหมือนฟาร์มาสจะดูออกว่าเฮเลนากำลังเหนื่อย
เมื่อเขาช่วยพูดให้แบบนี้เธอเองก็รู้สึกขอบคุณ ดังนั้นจึงพยักหน้ารับอย่างว่าง่ายและเดินกลับไปยังที่นั่งเพียงลำพัง
ถ้าจำไม่ผิดบนโต๊ะมันน่าจะมีสุราที่ไม่แรงมากอยู่ ความจริงเธออยากจะดื่มน้ำชา แต่ในงานราตรีแบบนี้เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์จะถูกแจกจ่ายให้เฉพาะผู้ที่ยังไม่ถึงวัยดื่มสุราเท่านั้น
“……หือ?”
และแล้วเธอก็กลับมาถึงโต๊ะซึ่งเป็นที่นั่งเฉพาะของเชื้อพระวงศ์และผู้เกี่ยวข้องเท่านั้น
สำหรับขุนนางคนอื่น ๆ นี่เป็นงานบุฟเฟต์แบบยืนรับประทาน แต่สำหรับฟาร์มาสกับเฮเลนานั้นได้มีการจัดเตรียมเก้าอี้ไว้ให้เพื่อให้สามารถนั่งมองดูบรรยากาศงานโดยรวมได้
ในตอนที่เธอกำลังคิดว่าจะนั่งพักอยู่นั่นเอง
ที่ตรงนั้นกลับมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ก่อนแล้ว
เด็กผู้หญิงจ้องเขม่นใส่เฮเลนาด้วยสายตาที่แสดงความเป็นศัตรูอย่างไม่คิดปิดบัง
เธอเป็นเด็กผู้หญิงที่มีเส้นผมสีครามเข้มมัดรวบไว้ทางด้านซ้ายและขวาของศีรษะ ใบหน้าได้รูปครบเครื่อง ทว่าหางตาที่ชี้ขึ้นเล็กน้อยก็ให้ความรู้สึกว่าเป็นคนหัวรั้น เป็นเด็กผู้หญิงเยาว์วัยที่หากไม่ได้กำลังจ้องเขม่นเฮเลนาอย่างไม่สบอารมณ์อยู่ก็คงชวนให้รู้สึกว่าน่ารักน่าเอ็นดู
เฮเลนารู้สึกว่าเธอดูคุ้นตาอย่างบอกไม่ถูก
“……”
เด็กผู้หญิงคนนั้นย่ำเท้าเสียงดัง ตึก ตึก เข้ามาหาเฮเลนาที่กำลังยืนนิ่งอยู่
และโดยที่ไม่ทันได้กล่าววาจา
เธอก็ได้ฟาดฝ่ามือเข้าใส่แก้มของเฮเลนา—