ย้อนเวลากลับไปสักเล็กน้อย
หลังจากกล่าวอำลาเฮเลนาที่กำลังฝึกเต้นรำอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับงานพิธีไว้อาลัยครบรอบหนึ่งปี อเลกเซีย เบอร์การ์ซาร์ด นางกำนัลติดห้องของ ‘สนมฟ้าสุริยา’ ก็ได้กลับมายังเรือนพักเฉพาะสำหรับนางกำนัล
งานของนางกำนัลนั้นไม่มีวันหยุด
โดยพื้นฐานแล้วหากไม่ได้เกิดเรื่องร้ายแรงอะไรกับครอบครัวหรือว่าเป็นวันปีใหม่พวกเธอก็จะไม่ได้หยุดกันแม้แต่วันเดียว วันพรุ่งนี้อเลกเซียก็ต้องไปทำงานที่ห้องของเฮเลนาตั้งแต่เช้าเหมือนเช่นเคย แถมตอนนี้ก็ดึกแล้วด้วย หากไม่รีบนอนอาจจะมีผลเสียถึงวันพรุ่งนี้ได้
ในวันที่ฟาร์มาสมาเยือนนั้นอเลกเซียสามารถเลิกงานได้พร้อมกับตอนที่ฟาร์มาสมาถึงเลย ดังนั้นเธอจึงสามารถกลับที่พักได้ตั้งแต่ประมาณตอนเย็น หากวันไหนเร็วหน่อยก็อาจได้กลับตั้งแต่ตะวันยังไม่ทันตกเลยด้วยซ้ำ
อันที่จริงแล้วอเลกเซียจัดว่าโชคดีหากเทียบกับนางกำนัลรายอื่น
เจ้านายที่ชื่อว่าเฮเลนา เรลโนตนั้นเป็นคนที่สนิทสนมและคบหาได้ง่ายอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นเฮเลนายังไม่ได้พาสาวใช้ติดมาจากบ้าน ดังนั้นอเลกเซียจึงไม่ต้องปวดหัวกับความสัมพันธ์เพื่อนร่วมงาน
หากเป็นนางกำนัลติดห้องของ ‘สนมฟ้าจันทรา’ หรือ ‘สนมฟ้าดารา’ สาวใช้ที่พามาด้วยก็จะเป็นคนดูแลรับใช้เจ้านาย และนางกำลังติดห้องซึ่งไม่เคยได้รับใช้กันมาก่อนก็จะถูกกีดกันให้ห่างออกไป แปลว่าส่วนใหญ่แล้วนางกำนัลติดห้องจะต้องใช้เวลาไปวัน ๆ อย่างเบื่อหน่ายนั่นเอง
ที่สำคัญที่สุด การที่เคยพบกันมาก่อนเมื่อตอนเด็กก็มีส่วนช่วยมากทีเดียว
เทียบกับเจ้านายที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย เจ้านายที่พอจะรู้จักกันอยู่บ้างก็ย่อมทำงานรับใช้ได้ง่ายกว่าอยู่แล้ว
“……ฟู่ว”
เมื่อกลับมาถึงเธอก็รับประทานอาหารเย็นเบา ๆ ที่โรงอาหารของเรือนพัก
วันนี้กลับห้องไปนอนทั้งแบบนี้เลยก็น่าจะดี
อเลกเซียคิดเช่นนั้น แล้วก็เตรียมจะลุกขึ้น
“อ อะอะอะ อะอะอะ อเลกเซีย—!”
ทันใดก็มีเสียงดังเช่นนั้นมาขัดจังหวะความคิดของเธอ
เงาร่างของคนผู้หนึ่งกำลังเข้ามาในโรงอาหารอย่างรีบร้อน พลางส่งเสียงเรียกชื่ออเลกเซียซ้ำแล้วซ้ำอีก แน่นอนว่านั่นคือคนรู้จักของอเลกเซียนั่นเอง เธอคือนางกำนัลติดห้องของ ‘ผู้มีความสามารถ’ ฟรองซัวส์ เรเวิน ที่ชื่อว่าแคลร์ ซึ่งพวกเธอก็เพิ่งจะเจอหน้ากันไปในงานปาร์ตี้หม้อไฟเมื่อวันก่อนนี้เอง
“มีอะไรหรือคะ แคลร์”
“อ อะอะ อะอะอะ!”
“เอ่อ ถ้าพูดแต่อะอะอะข้าก็ไม่เข้าใจนะคะ”
“อ อ อเลกเซีย! นี่เธอทำอะไรลงไปน่ะ!?”
“……หา?”
แม้จะโดนแคลร์พูดใส่เช่นนั้นอย่างกะทันหัน แต่เธอก็นึกไม่ออกเลยสักนิด
สถานการณ์ที่ทำให้แคลร์ต้องร้อนรนขนาดนี้มันคืออะไรกันแน่นะ
“แคลร์ ก่อนอื่นโปรดสงบสติอารมณ์ก่อนนะคะ”
“ส สงบสติเนี่ยนะ! แต่ว่า!”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือคะ”
“มีแขก! บอกว่าให้ไปเรียกอเลกเซียมา! เป็นคุณลุงหน้าตาน่ากลัวสุด ๆ เลยอ่ะ—!”
“……อ๋อ”
ได้ฟังถึงตรงนั้น อเลกเซียก็หลุดยิ้มอย่างน่าชื่นอกตรม
แม้การที่ได้ฟังข้อมูลแค่นั้นแล้วรู้ว่าใครมันออกจะเสียมารยาทมากทีเดียว แต่ดูท่าว่าเขาคงจะอุตส่าห์แวะมาเยี่ยมอเลกเซียสินะ
‘อย่างนี้นี่เอง’ อเลกเซียลุกขึ้นยืน
“อยู่ตรงไหนหรือคะ?”
“ป ไปไม่ได้นะ อเลกเซีย! ต้องโดนฆ่าแน่เลยอ่ะ!”
“เปล่าหรอกค่ะ……คือ เป็นคนที่ข้ารู้จักอยู่แล้ว เพราะงั้นไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
“เอาจริงดิ!? ไหงรู้จักคนของโลกทางนั้นด้วยอ่ะ!?”
“ไม่ได้เป็นคนที่ประกอบอาชีพทำนองนั้นแน่นอนค่ะ”
‘เฮ้อ’ เธอถอนใจ
ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็โดนเข้าใจผิดแบบนี้ทุกทีเลยแฮะ คนคนนั้น
“ไม่พบกันเสียนานนะคะ ท่านพี่”
“อืม ไม่เจอกันนานนะ อเลกเซีย”
ในห้องรับรองเล็ก ๆ ที่อยู่ใกล้กับประตูทางเข้าอาคารที่พัก พี่ชายกับน้องสาวก็ได้พบหน้ากันหลังไม่ได้พบมานาน
ผู้ที่อยู่ตรงหน้าของอเลกเซียนั้นมีใบหน้าดุดันขนาดที่แคลร์จะร้องโวยวายแล้ววิ่งหนีก็ไม่น่าแปลกใจ
เป็นใบหน้าอัปมงคลที่ชวนให้คิดว่าหากเอาหมีกับสุกรกับหมูป่ากับยักษ์มาบวกกันแล้วหารด้วยมนุษย์ก็คงจะออกมาหน้าตาประมาณนี้ ถึงกระนั้นอเลกเซียก็เห็นมาตลอดตั้งแต่เด็กแล้วเธอจึงไม่มีความรู้สึกต่อต้านอะไร
บาร์โตโลเม เบอร์การ์ซาร์ด
เขาเป็นพี่ชายของอเลกเซีย และยังเป็นหนึ่งในแปดยอดขุนศึกผู้อยู่บนจุดสูงสุดของจักรวรรดิกันเกรฟ ‘ขุนศึกหมีน้ำเงิน’ ตัวจริงเสียงจริง
“สบายดีนะอเลกเซีย”
“ค่ะ ได้ปรนนิบัติท่านเฮเลนาอยู่ ก็สนุกสนานอยู่ทุกวันนั่นแหละค่ะ”
“งั้นรึ เฮเลนาเองก็เป็นพวกอิสระไม่คิดหน้าคิดหลัง คงได้เหนื่อยมากหน่อยล่ะนะ”
“……ก็ จริงนะคะ”
เมื่อฟังคำของบาร์โตโลเม อเลกเซียก็ได้แต่ฝืนยิ้มตอบกลับไป
เฮเลนานั้น ขาดสามัญสำนึกมากจริง ๆ จนน่าแปลกใจว่าทำไมถึงมาอยู่ในวังหลังได้ อย่างน้อยที่สุดจะกล่าวว่าเธอมีความตระหนักรู้ตัวเองในฐานะขุนนางเป็นศูนย์เลยก็ว่าได้
การได้รับใช้เจ้านายเช่นนั้นพลางรู้สึกขำขันไปกับพฤติกรรมที่ไม่เหมือนใครของเธอก็เป็นความสุขอย่างหนึ่งของอเลกเซียในเวลานี้
“โชคชะตาคนเรานี่ก็แปลกดีนะ ไม่นึกเลยว่าอเลกเซียจะมารับใช้เฮเลนาแบบนี้เนี่ย”
“ข้าเองก็คิดเหมือนกันค่ะ ไม่นึกเลยว่าท่านเฮเลนาที่ท่านพี่เคยพามาหาเมื่อก่อนนู้นจะมาเข้าวังหลังแบบนี้”
“อืม……แต่ก็นะ พูดตามตรงก็อยากให้นางกลับมาที่สนามรบเหมือนกัน”
“การต่อสู้ยากลำบากถึงเพียงนั้นเชียวหรือคะ?”
“ก็ไม่ใช่แบบนั้นหรอก……แค่อยากจะให้กลับมาห้ามไอ้บ้าตัวนึงหน่อยน่ะ”
‘เฮ้อ’ บาร์โตโลเมถอนหายใจเฮือกใหญ่
อเลกเซียฟังแล้วก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ในสนามรบเองก็คงมีความเหนื่อยยากในแบบของมันเหมือนกันกระมัง
‘หืม’ ทันใดนั้นเธอก็สงสัยขึ้นมา
“จะว่าไปแล้ว ทำไมท่านพี่มานครหลวงได้ล่ะคะ? ตอนนี้ไม่ใช่ว่ากำลังอยู่ระหว่างการรบหรือ?”
“……อ่า ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก โดนฝ่าบาทเรียกตัวมาน่ะ”
“ฝ่าบาทหรือคะ!?”
อเลกเซียถึงกับเผลอขึ้นเสียง
อเลกเซียปรนนิบัติรับใช้เฮเลนาผู้กำลังได้รับความรักใคร่โปรดปรานจากฟาร์มาสอยู่ ดังนั้นเธอจึงเคยได้เห็นหน้าฟาร์มาสหลายครั้ง ทว่าปกติแล้วต่อให้เป็นนางกำนัลในวังหลัง คนที่เคยเห็นหน้าฟาร์มาสก็ยังมีน้อยคนมาก
ในความเป็นจริง จักรพรรดิผู้อยู่ในจุดสูงสุดของจักรวรรดิกันเกรฟนั้นคือบุคคลที่สูงส่งเกินเอื้อม
การที่ถูกบุคคลเช่นนั้นเรียกตัวมาโดยตรง นั่นแหละที่น่าตกใจ
“ท ทำไมฝ่าบาทถึง……?”
“อืม……เอ่อ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก”
“ท่านพี่คะ……”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่จริง ๆ นะ อันที่จริงจะเรียกว่าเป็นข่าวดีก็ได้ล่ะมั้ง……”
“งั้นหรือคะ?”
อเลกเซียอดไม่ได้ที่จะเอียงศีรษะด้วยความฉงน
การที่จักรพรรดิฟาร์มาสเป็นผู้แจ้งข่าวดีให้บาร์โตโลเมทราบมันก็ฟังดูแหม่ง ๆ อยู่ดี จักรพรรดิกับแม่ทัพไม่น่าจะต้องมีอะไรข้องเกี่ยวกันถึงขนาดนั้น
“อืม……อันที่จริง ฝ่าบาทได้เสนอการแต่งงานมาให้น่ะ”
“……เอ๋”
“ดูเหมือนฝ่าบาทตั้งใจว่าจะยุบวังหลังในอนาคต ดังนั้นก็เลยบอกว่าจะให้ข้าแต่งงานกับนางสนมคนหนึ่งน่ะ แต่ก็ยังเป็นแค่เรื่องในอนาคตล่ะนะ……”
“เอ่อ นั่นมันอย่าบอกนะว่า……”
อเลกเซียได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ออกมา
เพราะไม่ว่าจะคิดยังไง อีกฝ่ายก็ไม่มีทางเป็นคนอื่นไปได้นอกจากเด็กสาวคนนั้นที่รับการฝึกพิเศษจากเฮเลนาอยู่ทุกเช้า
“อืม……ก็นะ เรื่องนั้นช่างมันเถอะ วันนี้ข้าก็แค่มาให้เห็นหน้าว่าเจ้าสุขสบายดีไหมเท่านั้นแหละ โทษทีนะที่มาซะมืดค่ำ”
“ไม่หรอกคะ ข้าไม่ถือเรื่องแค่นั้นหรอก……”
“งานของนางกำนัลเองก็คงยุ่งใช่ไหมล่ะ รีบไปพักผ่อนเถอะ”
“ค ค่ะ ท่านพี่จะอยู่นครหลวงถึงเมื่อไหร่หรือคะ?”
“ธุระก็เสร็จสิ้นไปแล้ว เลยกะว่าพรุ่งนี้เช้าคงจะขึ้นม้าเร็วกลับไปเลยน่ะ”
“เช่นนั้นหรือคะ”
เธอรู้สึกเหงาเล็กน้อย
ตั้งแต่ตอนที่อเลกเซียยังเล็ก บาร์โตโลเมก็ไม่ค่อยได้อยู่ที่บ้านอยู่แล้ว เขาใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในสมรภูมิและกลับบ้านมาเป็นครั้งคราวเท่านั้นเอง
ทว่าในทางกลับกัน เวลาที่กลับมาเขาก็จะคอยเอ็นดูอเลกเซียทุกครั้ง อเลกเซียเองก็เคารพรักบาร์โตโลเมที่มักจะให้ค่าขนมอยู่เสมอไม่น้อยเช่นกัน
“อา จริงด้วย ถึงจะน้อยแต่ก็รับไว้สิ”
“ท่านพี่คะ ข้าน่ะทำงานแล้วนะ……”
“อย่าพูดแบบนั้นเลย นาน ๆ ครั้งให้ข้าได้ทำตัวสมเป็นพี่ชายบ้างเถอะ”
อเลกเซียได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ พลางรับห่อของที่บาร์โตโลเมยื่นออกมาให้
ดูท่าว่ากับบรรดาลูก ๆ ของพี่ชายคนโตผู้เป็นเจ้าตระกูลวิสเคานต์ บาร์โตโลเมก็คงแจกเงินค่าขนมให้แบบนี้เหมือนกันกระมัง
‘หุๆ’ อเลกเซียยิ้ม
“ว่าแต่ว่า ท่านพี่จะแต่งงานแล้วหรือเนี่ย”
“อืม……แต่ข้าเองก็ยังไม่ค่อยรู้สึกว่ามันเป็นจริงเท่าไหร่เหมือนกันนะ”
“ ‘ท่านพี่คะ ได้โปรดรับอัลเป็นเจ้าสาวด้วยค่ะ!’ ……จำได้หรือเปล่าคะ?”
“……อย่ารื้อฟื้นสิ น่าอายชะมัด”
นั่นเป็นคำพูดที่อเลกเซียเคยประกาศไว้เองเมื่อตอนเด็ก แม้แต่ตอนนี้เธอก็ยังจำมันได้ดี
ตอนนั้นเธอน่าจะอายุประมาณห้าขวบเอง แต่ก็ช่างพูดจาได้แก่แดดไปมากทีเดียว
ที่สำคัญ หลังจากนั้นบาร์โตโลเมก็ช่วยว่ากล่าวตักเตือนอย่างใจเย็นว่าพี่ชายน้องสาวแต่งงานกันไม่ได้ มันเป็นความทรงจำที่ดีอีกอย่างหนึ่งของเธอ
มาลองนึกดูตอนนี้ บาร์โตโลเมที่ฟังคำพูดของเด็กหญิงอายุห้าขวบอย่างเป็นจริงเป็นจังเองก็พิลึกคนเหมือนกัน
และเมื่อเห็นบาร์โตโลเมที่กำลังรู้สึกอายเพียงเพราะพูดถึงความทรงจำแค่นี้ อเลกเซียก็หัวเราะ
“ท่านพี่ไม่เปลี่ยนไปเลยนะคะ”
“……งั้นรึ?”
“ใช่ค่ะ”
และแล้ว
การสนทนาของพี่น้องที่แม้จะเกิดมาในตระกูลเบอร์การ์ซาร์ดเหมือนกันแต่กลับไม่เหมือนกันเลยสักนิด ก็ค่อย ๆ ดำเนินต่อไปอย่างสงบราบรื่น—