ดินแดนแห่งทะเลทราย ฮาเรเน
มอนสเตอร์ก็เยอะ ทรัพยากรก็ไม่มาก ไม่ใช่ที่สำหรับอยู่อาศัยสักเท่าไหร่
แต่เพราะมีจอมเวทฝีมือดี เครื่องรางจากผู้พิทักษ์แล้วก็ความช่วยเหลือจากเมืองอื่น ที่นี่ถึงตั้งอยู่ได้
ด้วยเหตุผลหลาย ๆ ประการ ที่นี่ถึงถูกปกป้องอย่างดี เพราะคนเชื่อกันว่าที่นี่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ แล้วก็เป็นที่ที่ผู้กล้าถือกำเนิดด้วย
ผมเกิดมาเป็นผู้กล้าเมื่อสิบแปดปีก่อน
พอเกิดมาก็ถูกพาตัวไปที่โบสถ์ ชื่อพ่อแม่ก็ไม่รู้ ชื่อของผมพวกนักบวชก็เป็นคนตั้งให้
แต่ผมไม่สนใจหรอก
มีวันนึงที่นักบวชเผลอหลุดปากออกมา ทำให้ได้รู้ว่าจริง ๆ ผมเป็นพี่คนโตของครอบครัวยากจนครอบครัวหนึ่งเท่านั้น
ดีแล้วล่ะที่ผมเกิดมาเป็นผู้กล้าน่ะ
ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนในฮาเรเนนั้นกว้างมาก
เพราะว่าของนำเข้าส่วนใหญ่จากเมืองอื่น ๆ พวกนักบวชเป็นคนเก็บเอาไว้ทั้งหมด
แถมที่นี่เป็นเมืองกลางทะเลทรายที่มีมอนสเตอร์อันตรายอยู่เต็มไปหมด ทำให้ย้ายไปทำงานที่เมืองอื่นก็ไม่ได้
พวกคนจนนี่น่าสงสารจริง ๆ แค่เกิดมาก็เสียเปล่าแล้ว
ส่วนผม ผู้ที่มีพรปกป้องจากเทพ มอนสเตอร์น่ะสบายมาก
แต่ไม่นานมานี้ผมพึ่งจะเจอกับพ่อค้าทาสคนนึงที่ต้องข้ามทะเลทรายมาแต่ดันโดนปีศาจโจมตีเข้าโง่ ๆ ซะงั้น
รู้สึกว่าม้าของหมอนั่นก็เป็นม้าคุณภาพดี แต่ไม่พอสำหรับหนี
เส้นทางที่มีมอนสเตอร์น้อยก็มีอยู่ แต่ถ้าจะไปทางนั้นต้องผ่านเมือง ซึ่งเมืองนั้นเป็นพวกต่อต้านทาสมนุษย์สัตว์
พาทาสผ่านไปไม่ได้หรอก
เมื่อวันที่ผมอายุครบสิบสี่ปี ผมก็ทำตามธรรมเนียมออกเดินทางรอบโลก
ระหว่างเดินทางผมเองก็เจอประเทศที่มันเน่าเฟะ แต่ไม่มีที่ไหนสู้ฮาเรเนได้ ช่างเป็นที่สุดของที่สุด
แต่ถึงอย่างนั้น ถ้าผ่านมาแถวนี้ผมก็จะกลับมาอยยู่ดี
「ท่านผู้กล้าล่ะ! ท่านผู้กล้ากลับมาแล้ว!」
「ดูนั่นสิ! ช่างเป็นชายที่องอาจเสียจริง!」
แค่ผมเดินผ่าน ก็เป็นที่จับจ้องของทุกคน
พอมีพวกอ่อนแอล้อมรอบอยู่แบบนี้มันรู้สึกดีจริง ๆ แต่ก็ทำได้แค่หัวเราะอยู่ในใจ
แต่ที่ผมมาเพราะเหตุผลอื่นต่างหาก
ผมยิ้มตอบแล้วก็โบกมือให้
ก่อนจะมุ่งตรงเข้าเมืองโดยไม่สนใจพวกลิงเจี๊ยวจ๊าวรอบ ๆ
ที่นี่ดีกว่าที่อื่นเยอะเลย
เพราะที่อื่นชื่อเสียงของผมยังไม่ค่อยดังเท่าไหร่
「เอ่อ หนู…อยากคุยกับท่านผู้กล้าจัง…!」
ผมหยุดเท้าเพราะมีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งเข้ามาข้างหน้า
แล้วผู้หญิงคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเป็นแม่ของเธอก็เดินออกมาหัวเราะแห้งๆ พร้อมพูดว่า「ขอโทษด้วยค่ะ พอดีเด็กคนนี้….」ขณะที่กำลังดึงมือของเด็กหญิงกลับไป
ผมมองภาพเหตุการณ์ข้างหน้า แล้วก็หลุดหัวเราะออกมา
ผมจับมือของคนแม่ แล้วแยกมือนั้นออกจากลูกสาว
ก่อนจะเตะเข้าไปที่ท้องของเด็กคนนั้น
รอบข้างเงียบลงในทันที ทุกคนทำหน้าสับสนกันหมด
ขาขยับไปเองซะได้
ผมล่ะเกลียดเด็กกับการโดนขวางทางจริง ๆ
ถ้าเรื่องนี้แพร่ออกไป ชื่อเสียผมอาจจะเพิ่มขึ้นก็ได้ แต่ไม่เป็นอะไรหรอก
แค่ทำให้ผมผู้ที่เป็นสัญลักษณ์ของประเทศนี้ไม่พอใจ ก็เหมือนกับต่อต้านทางโบสถ์นั่นแหละ เรื่องนี้ไม่รั่วไหลไปไหนอยู่แล้ว
ที่ข้าง ๆ โบทส์ของฮาเรเน จะมีค่ายกักกันอยู่ ควบคุมโดยทางโบทส์เพื่อดูแลความเรียบร้อย
ผมคงจะอยู่ที่ฮาเรเนสักระยะเพราะมีเรื่องที่ต้องทำ
ปกติแล้วประชาชนทั่วไปไม่สามารถเข้าออกค่ายนี้ได้ ขนาดคนจากทางการยังต้องมีขั้นตอนอื่น ๆ เล็กน้อย
แต่ผมเดินผ่านได้สบาย
ผมเดินไปตามโถงทางเดิน พอยามเห็นผมก็รีบก้มหัวให้ แล้วผมก็หยุดเท้าที่หน้ากรงกรงหนึ่ง
「ไม่เจอกันนานเลยนะครับคุณหัวหน้าอัศวินอดอล์ฟ ไม่สิ หรือจะให้เรียกว่าอดีตหัวหน้าอัศวินดี?」
ผมมองไปยังชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงมุมห้อง
แล้วชายร่างใหญ่ก็จ้องกลับมาทางผมผ่านช่องระหว่างกรง
「นี่มันเรื่องหนักเอาการเลยนะ ที่ชายคนนึงถึงกลับฆ่าคู่หมั้นกับน้องชายของตนได้เนี่ย」
อดอล์ฟถูกถอนยศที่เคยเป็นหัวหน้าอัศวิน แล้วก็ถูกจำคุกด้วยข้อหาฆาตกรรม
บังเอิญว่าช่วงนี้ทางโบสถ์กำลังยุ่งกับการผูกขาดสินค้าจากเมืองอื่นอยู่ ทำให้ไม่มีเวลาสืบสวนตื้นลึกหนาบางอะไร อดอล์ฟจึงถูกจับโยนเข้าคุกทันที
「….นี่ถ่อมาถึงที่นี่เพื่อมาหัวเราะเยาะข้ารึ?」
อดอล์ฟพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ
ปกติชายคนนี้จะร้อยเรียงคำพูดได้ดีกว่านี้ แต่ในนี้คงไม่ทำล่ะมั้ง
ถ้าจู่ ๆ คนรักต้องตาย แถมมีข่าวลือว่าสองคนนั้นเล่นชู้กัน มันก็ต้องโกรธอยู่แล้วล่ะนะ
「ไม่หรอกครับ ในตอนนั้นผมยังเด็กอยู่มาก ทั้งเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง ทั้งเย่อหยิ่ง อวดดี พอมองย้อนไปแล้วผมเองก็เศร้าที่จนป่านนี้ผมยังไม่เคยกล่าวขอโทษคุณออกไปสักคำ หัวหน้าอั…ท่านอดอล์ฟ」
พอพูดแบบนั้นไป สีหน้าของอดอล์ฟก็เปลี่ยนไปทันที เยี่ยมมาก
「ผมเชื่อว่าคุณบริสุทธิ์นะครับ เพราะผมสามารถมองเห็นความผิดชอบชั่วดีของแต่ละคนได้」
อันที่จริงผมแค่ตัดสินได้นิดหน่อย ไม่ถึงกับเห็นความดีความชั่วหรอก
แต่แบบนี้มันสะดวกกว่า
「….เลิกทำท่าทางแบบนั้นได้แล้ว」
「อย่าโทษตัวเองเลยครับ ตอนนี้คุณอาจจะเสียตำแหน่งก็จริง แต่ผม….」
「แกจากไปตั้งสี่ปี แต่นอกจากหน้าตาแล้วอย่างอื่นไม่เห็นจะเปลี่ยนไปสักนิด」
ผมขมวดคิ้วเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว
เอามือวางปิดหน้าไว้เพื่อซ่อนการหัวเราะ
「ดูท่าจะลำบากแย่เลยนะครับ แต่ผมเข้าใจอยู่ เอาเป็นว่าต่อจากนี้ผมจะเรียกว่าคุณอดอล์ฟนะครับ
ผมเชื่อว่าคุณอดอล์ฟไม่ได้เป็นคนทำจริง ๆ เพระอย่างนั้นผมจะไปคุยกับท่านนักบวชให้ ขอเรื่องปล่อยตัวเป็นไง?」
「ของแบบนั้นทำไม่ได้หรอกน่า! เดิมทีข้าก็โดนพวกมันใส่ร้ายอยู่แล้วด้วย!」
「ผมเข้าใจครับว่าคุณคงสงสัย แต่ท่านนักบวชไม่ทำแบบนั้นหรอก
แล้วก็ทางนั้นเป็นคนบอกเองเลยว่าถ้าให้คุณมาช่วยผม เขาจะปล่อยให้คุณเป็นอิสระได้วันนึงด้วย」
「จริงรึ? แต่ว่าวันเดียวจะไปทำอะไรได้….」
「เราก็จะสร้างผลงานแล้วกู้ชื่อคุณคืนมาไงครับ เราจะได้ยืดเวลาการค้นหาคนร้ายตัวจริงด้วย」
「ทำได้ด้วยรึ? จะมีอะไรที่สร้างผลงานได้ง่ายดายขนาดนั้นกัน…?」
ผมพยายามกลั้นหัวเราะเอาไว้
เป็นคนซื่อ ๆ อย่างทุกที ไม่ต่างอะไรกับสี่ปีก่อนเลย
「อันที่จริง มีพ่อค้ารายนึงถูกมังกรดำโจมตีเข้าน่ะครับ มีข่าวลือว่าจะเป็นมังกรแห่งโรคภัยติด้วย ถ้าปล่อยทิ้งไว้มันอาจจะมาแพร่โรคภัยให้ฮาเรเนได้ ทางโบสถ์เองก็จัดตั้งทีมสำรวจด้วยเหมือนกัน ผมเองก็ไม่รู้หรอกนะว่าข่าวลือมันจริงรึเปล่า
แต่ถ้าคุณสามารถโค่นมังกรลงได้ สถานะจะเปลี่ยนไปอย่างมาก อาจจะมีการสืบสวนเหตุการณ์ใหม่อีกครั้งก็ได้นะครับ」
อดอล์ฟยืนขึ้น แล้วกลืนน้ำลายลงคอ
ผมหันหลังให้แล้วเริ่มเดินไป
「งั้น ผมจะไปรายงานแล้วละกันนะครับ」
「อิ อิลเชีย!」
อดอล์ฟตะโกนชื่อผมขึ้น
「ขอโทษทีที่สงสัยในตัวแก….ขอบคุณมาก」
「เล็กน้อยครับ ยังไงผมก็ต้องทำสิ่งที่ถูกต้องอยู่แล้ว เพราะผมเป็นผู้กล้านี่นา」
จบเรื่องซะที ได้เวลาไปแล้ว
จะให้มองหน้าอดอล์ฟต่อคงไม่ไหว เดี๋ยวก็หลุดหัวเราะออกมาก่อนพอดี
สีปีก่อน ตอนที่ผมกับอดอล์ฟประลองดาบกัน ผมโดนโค่นต่อหน้าคนอื่น ๆ
ไม่มีแม้แต่วันเดียวที่ผมจะลืมความอับอายในตอนนั้น เป็นความอับอายครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต
จะปล่อยให้โดนประหารง่าย ๆ ก็น่าเบื่อตายสิ
ผมไม่ทางพอใจจนกว่าจะได้แย่งชิงทุกอย่างของชายคนนี้มาหรอกนะ
เพราะทำกับผมแบบนั้น ผมไม่มีทางยกโทษให้แน่