ท่ามกลางแสงอาทิตย์ยามเย็น มีหญิงสาวผู้หนึ่งกำลังเดินอยู่
สวมใส่เดรสสีแดงดูมีสง่าราศี ผมยาวราวกับด้ายสีทองประดับด้วยเครื่องประดับรูปนกตัวน้อยๆ
รูปร่างการเดินตัวตรงที่แสนสง่างาม เข้ากันกับชุดที่กำลังสวมใส่อยู่
เพียงได้เห็นท่าทางการเดินสักครั้ง ไม่ว่าใครก็สามารถรู้ได้ว่าเธอเป็นคนที่มีชาติตระกูลแน่นอน
แต่ว่าเธอ อัลเล อาร์คุยล่า เจ้าหญิงลำดับที่หนึ่งแห่งราชอาณาจักรอาร์คุยล่ากำลังไปยังสถานที่่ไม่เข้ากับรูปร่างท่าทางนั้นอย่างสุดชั้วอยู่
ที่นั่นคืออาคารจากหินเล็กๆโทรมๆ ที่อยู่ภายในป่าบริเวณมุมของพระราชวัง
ชาวสวนสูงอายุที่ยืนอยู่ตรงทางเข้าของอาคารนั้น พอรู้สึกตัวว่าอัลเลกำลังใกล้เข้ามา ก็รีบเข้าไปแสดงความเคารพทันที
“อะไรกันอะไรกัน ท่านอัลเล มีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือขอรับ?”
“พอดีว่ามีเวลานิดหน่อยก็เลยออกจากการเตรียมงานปาร์ตี้มาน่ะค่ะ”
อัลเลตอบพร้อมกับแลบลิ้นสีชมพูน่ารักๆแบบเด็กตอนที่แกล้งสำเร็จ
ถึงเธอจะเป็นถึงองค์หญิงลำดับที่หนึ่งก็ไม่ทำวางท่าใหญ่โตใส่เหล่าคนรับใช้
แล้วสำหรับชาวสวนที่รู้จักกันมาตั้งแต่อัลเลยังเด็กแล้วก็ยิ่งมีท่าทางสบายๆมากกว่าปกติ ชาวสวนเองก็ยิ้มด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นกับท่าทางสาวน้อยสมกับวัยของอัลเล แล้วก็พูดแย้งออกมาอย่างสุภาพ
“ไม่ได้นะขอรับ คืนนี้มีงานสำคัญสำหรับต้อนรับเจ้าชายของประเทศมหาอำนาจอยู่นะขอรับ การที่องค์หญิงอย่างท่านจะทำเรื่องแบบนั้นมันก็”
“งานทางการแบบนั้นเป็นไปได้ก็ไม่อยากไปหรอกค่ะ แล้วถ้าพูดถึงองค์หญิงที่ควรเข้าร่วมจริงๆล่ะก็มีอีกคนหนึ่งอยู่ไม่ใช่เหรอคะ”
“อึกก…”
อัลเลพูดออกมาอย่างหนักแน่น คนสวนก็ขยับปากไปมาอย่างมีปัญหา ความจริงแล้วเรื่องนี้คือเรื่องที่ไม่สามารถพูดออกไปได้ ในตอนนี้ ราชวงศ์ที่ถูกต้องของราชอาณาจักรอาร์คุยล่านั้นมีเพียงแค่องค์ราชินีที่ปกครองประเทศกับอัลเลที่เป็นลูกสาวเพียงแค่คนเดียว นั้นคือเรื่องที่เปิดเผยในเบื้องหน้า
“ขอโทษด้วยนะคะ ได้ได้ตำหนิจะคุณหรอกค่ะ แต่ว่า พอคิดว่าเด็กคนนั้นต้องมาอยู่ในสถานที่แบบนี้ แล้วมีแค่ดิฉันคนเดียวที่ได้ออกไปสถานที่ๆสุขสบายแล้ว ก็นะคะ”
“ท่านอัลเลช่างอ่อนโยนจริงๆเลยนะขอรับ”
“ไม่ได้อ่อนโยนสักหน่อยค่ะ และถึงจะอ่อนโยนแต่แค่นั้นทำอะไรไม่ได้หรอกค่ะ ดิฉันทำได้แค่ปลอบเด็กคนนั้นเท่านั้นเองค่ะ”
อัลเลพึมพำออกมาอย่างดูถูกตนเองด้วยใบหน้าที่งดงาม
“พระอาทิตย์ตกแล้วขอรับ ท่านเซเลเน่เอง ก็น่าจะถึงเวลาตื่นแล้วนะขอรับ”
“กับท่านแม่แล้ว…”
“ขอรับ แน่นอนว่าจะเก็บเป็นความลับ เรื่องที่กระผมทำได้ก็มีแค่ล่ะนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
อัลเลพูดขอบคุณ ชายสูงวัยก็ตอบกลับด้วยท่าทางจริงใจ แล้วก็ไขกุญแจทางเข้าอาคารนั้น
พร้อมกับเสียงเสียงหูของประตูเหล็กที่เป็นสนิม อากาศเหม็นเน่าก็ส่งกลิ่นออกมา
เป็นกลิ่นไม่พึงประสงค์ที่มากี่ครั้งก็ไม่ชินสักที อัลเลทำหน้าเหยเกออกมาครู่หนึ่ง ก็เดินออกไปตามทางเดินหินสลัวๆออกไป แล้วขึ้นไปยังชั้นสอง
อาคารนี้ เป็นโกดังเก็บของสำหรับใส่พวกขอโบราณที่ไม่มีค่าแล้ว ขอที่พัง หรือพวกของทำความสะอาดของพวกคนรับใช้ มีห้องต่างๆมากมาย แต่ว่าก็ไม่ได้เก็บของสำคัญอะไร ก็เลยไม่ได้มีการทำความสะอาดหรือดูแลอะไรเลย
สถานที่ที่ราวกับที่ทิ้งขยะของราชวัง
แต่ว่าภายในสุดนั้น มีประตูที่เห็นชัดเจนต่างจากจุดอื่นอยู่
ไม่เหมือนกับพวกประตูไม้พังๆ เป็นประตูเหล็กที่สร้างอย่างแข็งแรง มีลวดลายเรขาคณิตสลักอยู่มากมาย อัลเลยืดมือไปแตะที่ลวดลายนั้น แล้วลวดลายนั้นก็มีแสงบางๆเปล่งออกมา แล้วก็มีเสียงดังแก๊กไขกุญแจออก
ศาสตร์เวทสำหรับใช้เพื่อปกป้องความลับที่สำคัญที่เกี่ยวข้อจากประเทศจากการบุกรุกของพวกหัวขโมย แล้วก็เป็นผนึกแบบพิเศษที่จะเปิดออกสำหรับคนที่มีเชื้อสายราชวงศ์เท่านั้น ถึงจะมั่นใจว่าประตูเปิดได้แล้ว แต่อัลเลก็ยังไม่เข้าไปในทันที แล้วก็เคาะประตูเหล็กนั้นเบาๆ
“เซเลเน่ เซเลเน่ ตื่นอยู่หรือเปล่าคะ?”
“ตื่นอยู่”
อัลเลค่อยๆเคาะประตูอย่างอ่อนโยนแล้วส่งเสียงเรียก ภายในนั้นก็มีเสียงตอบรับที่ราวกับบทเพลงของเทพธิดาตอบกลับมา พอได้ยินเสียงน่ารักๆนั่นก็ทำให้ยิ้มออกมา แล้วอัลเลก็ค่อยๆเปิดประตูนั้นออก
ข้างหลังประตูคือ ห้องเล็กๆ ห้องที่มีขนาดเล็กจริงๆ — แทนที่จะเรียกแบบนั้น มันเป็นห้องสี่เหลี่ยมที่เรียกว่าคุกคงจะถูกกว่า
เตียงธรรมดาๆกับของสำหรับใช้ชีวิตพื้นฐาน แล้วก็หน้าต่างๆเล็กบานเดียวสำหรับรับแสง
ใจกลางห้องนั้น มีเด็กสาวสวมชุดโทรมๆยืนอยู่
ไม่รู้ว่าเพราะพึ่งตื่นหรืออะไร แต่ดวงตาปรือท่าทางง่วงนอน ผมนุ่มๆสีเงินก็กะเซอะกะเซิง อัลเลยิ้มเจื่อนๆออกมาพร้อมกับลูบหัวและใช้มือจัดผมให้เข้ารูป
ชื่อของเธอคือเซเลเน่ อาร์คุยล่า
องค์หญิงลำดับที่สองของประเทศนี้ที่ไม่ได้รับการเปิดเผย
“ท่านพี่ วันนี้ ยุ่งนี่นา ไม่เป็นไรเหรอ?”
ขณะที่ตอบกลับเป็นการเรียงคำง่ายๆด้วยเสียงตะกุกตะกัก เด็กสาวที่ถูกเรียกว่าเซเลเน่ก็เข้าไปหาพี่สาวใกล้ๆ แล้วมองขึ้นมาด้วยดวงตาสีแดงเข้ม
พอได้เห็นดวงตาที่เป็นห่วงคู่นั้นแล้ว อัลเลก็รู้สึกสบายใจเสมอ
สำหรับเธอแล้วคนที่จะคุยด้วยได้ในฐานะหญิงสาวไม่ใช่องค์หญิงนั้นมีแค่เซเลเน่เท่านั้น
แล้วก็ความจริงน้องสาวที่มีจิตใจอ่อนโยนแบบนี้กลับถูกขังอยู่ในสถานที่แบบนี้ก็สร้างความไม่พอใจกับเธอมาก
เซเลเน่นั้นมองจากภายนอกแล้วก็เป็นตัวตนที่ผิดแปลก
เทียบกับอัลเลและแม่ที่มีผมสีทองตาสีเงินแล้ว เซเลเน่ไม่มีส่วนใดที่เหมือนเลย ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าทั่วร่างเป็นสีขาวสีราวกับแสงจะทะลุผ่านไปได้
ผมสีขาวบริสุทธิ์ราวกับเส้นไหมยาวไปถึงบริเวณไหล่ ผิวก็เรียบเนียนราวกับไข่มุก
ความงดงามที่หายากราวกับทั้งร่างได้รับความรักจากพระเจ้ามา ดวงตาทั้งคู่ที่เปล่งประกายราวกับทับทิม ทั้งที่ยังอายุแปดขวบเป็ฯดอกไม่ที่ยังตูมอยู่ ถ้ากลายเป็นดอกไม้ที่บานออกแล้วจะเป็นดอกไม้ที่งดงามขนาดไหนก็ไม่อาจมีใครจินตนาการได้
ความผิดแปลกของเซเลเน่นั้นถ้าดูจากภายนอกแล้ว มันไม่ได้ให้ความรู้สึกน่าขนลุก แต่เป็นราวกับนางฟ้าที่จุติลงมา แต่ถ้าอย่างนั้นแล้วทำไมเธอถึงถูกปกปิดไว้เหรอ
สาเหตุก็คือการพูดของเซเลเน่
ท่าทางของเซเลเน่นั้นดูเป็นผู้ใหญ่แปลกๆ
ตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยร้องไห้ตอนกลางคืน อาการติดแม่ก็ไม่มี
ตั้งแต่ตอนที่เกิดมาก็มักจะมองโลกด้วยสายราวกับกำลังคิดบางสิ่งบางอย่างอยู่
ทั้งๆที่ไม่มีใครสอนแท้ๆ แต่ก็พับผ้าด้วยตัวเองได้ เก็บจานชาม ทำความสะอาดห้องตัวเองจนสะอาด ไม่เคยทำเรื่องอะไรให้ผู้ใหญ่ต้องปวดหัวเลย ไม่มีอะไรที่เหมือนกับเด็กเลยสักนิด
แต่ว่าก็แทบจะไม่สามารถพูดออกมาเป็นคำได้
ทั้งๆที่เมื่อเทียบกับเด็กทั่วไปพออายุสามขวบแล้วก็พูดได้ขนาดนี้แล้วแท้ๆ แต่เซเลเน่นั้นกลับทำได้แค่การพูดคุยด้วยคำง่ายๆราวกับคนจากประเทศที่ยังไม่เจริญเท่านั้น
ด้วยการพูดแบบแปลกๆนั่นทำให้ถูกหาว่าผิดปกติ ประหลาด น่าขนลุกก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ผลสุดท้าย องค์ราชินีที่เป็นแม่แท้ๆ ก็ทำราวกับว่าเซเลเน่เป็นสัตว์ประหลาดลึกลับแทนที่จะเห็นเป็นลูกสาว แล้วก็ทำให้ตัวตนหายไป
แต่ว่า องค์ราชินีก็ยังเป็นมนุษย์อยู่ ถึงจะเป็นสัตว์ประหลาดที่แปลกประหลาดยังไง การจะฆ่าลูกสาวที่ตัวเองลำบากอุ้มท้องมานั้นก็ไม่สามารถทำได้ ด้วยความเป็นแม่ลูกที่เชื่อมกับด้วยสายเลือด หรือด้ายบางๆที่สืบสายเลือดของราชวงศ์ ถือเป็นเส้นชีวิตสำหรับเซเลเน่
แล้วตอนที่เซเลเน่อายุได้ห้าขวบ องค์ราชินีก็ได้เอามาขังไว้ในกรงมืดๆบริเวณมุมของราชวัง ด้วยการเรียกว่าปิดผนึก พื้นที่แคบๆนี้สำหรับเซเลเน่แล้วก็คือทุกสิ่งทุกอย่าง เป็นพื้นที่เพียงแห่งเดียวที่ยอมรับตัวตนของเธอ ทุกครั้งที่คิดแบบนี้แล้วอัลเลก็รู้สึกว่าร่างกายตัวเองแทบจะฉีกขาด
“นี่ เซเรเน่ เหตุผลที่พี่เข้าร่วมงานปาร์ตี้ รู้หรือเปล่าคะ?”
“อืม ต้อนรับ เจ้าชาย เพื่อหนู”
อัลเลค่อยๆพูดแบบเข้าใจง่ายๆให้เซเลเน่ฟัง แล้วเซเลเน่ก็ตอบกลับมาทันที
เนื่องจากเซเลเน่ไม่สามารถพูดได้คล่อง คนที่รู้จักเธอก็เลยจะหาว่าเธอมีปัญหาด้านสติปัญญา แต่ว่าเรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับที่แสดงออกมา เรื่องนี้อัลเลเข้าใจดี
ตัวเองตอนอายุเท่ากับเซเลเน่นั้นไม่สามารถเข้าใจความหมายของเรื่องพวกนี้ได้เร็วขนาดนี้
“งานปาร์ตี้ อยากไปสินะคะ…ขอโทษด้วยนะคะ ที่อำนาจของฉันในตอนนี้ไม่สามารถพาเธอออกไปจากที่นี่ได้”
ขณะที่กัดริมฝีปากไปด้วย อัลเลก็วางทั้งสองมือลงบนไหล่ของเซเลเน่ เป็นคำขอโทษโดยไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ มือนั้นก็มีมือเล็กวางลงมา แล้วเซเลเน่ก็ส่ายหน้า เป็นการบอกว่า ไม่ต้องสนใจก็ได้
“ไม่อยากออก หนู ชอบ ที่นี่”
“เซเลเน่…”
พอได้ยินคำพูดนั้น หน้าอกของอัลเลก็รู้สึกแน่นขึ้นมา
ก็จริงที่ปราสาทจะพวกงานปาร์ตี้ที่เป็นทางการอยู่ แต่สำหรับเด็กผู้หญิงแล้วไม่ว่าใครก็ชอบความหรูหราทั้งนั้น
ถึงจะยังเด็กอยู่ แต่เซเลเน่ก็เป็นเด็กผู้หญิง ไม่มีทางที่จะไม่อยากออกไปอยู่แล้ว
แต่ว่าเซเลเน่เข้าใจจุดยืนของตัวเองดี เพราะเป็นห่วงอัลเลเลยฝืนพูดว่าไม่อยากออกออกมา ไม่สิ พูดให้ฟังออกมา
“ฟังให้ดีนะคะ เซเลเน่”
สีหน้าของอัลเลเพิ่มความจริงจังขึ้นมาอีก
กำมือแรงยิ่งกว่าที่เมื่อกี้ แล้วเลือกคำพูดออกมา
“คืนนี้ เจ้าชายที่มายังประเทศของเรากำลังอยู่ในการเดินทางทั่วทวีปเพื่อตามหาคู่สมรสอยู่นะคะ เป็นเจ้าชายจากประเทศที่ยิ่งใหญ่มากเลยนะคะ ถ้าฉันได้ถูกเลือกเป็นคู่ของเจ้าชายองค์นั้นล่ะก็จะได้มีการคุ้นกันจากประเทศนั้นค่ะ หรือก็คือวันนี้ฉันถือเป็นสินสินค้าแนะนำ เข้าใจหรือไหมคะ”
เซเลเน่ไม่ตอบอะไร ทำเพียงแค่พยักหน้าเพียงอย่างเดียว
ถึงจะเป็นเรื่องที่ยากสำหรับเด็กแปดขวบ แต่เรื่องที่เธอมีพรสวรรค์ที่จะเข้าใจในเรื่องแบบนี้ได้นั้นอัลเลที่รู้จักเด็กคนนี้ถึงตอนนี้รู้ดีอยู่แก่ใจ แล้วก็เริ่มพูดต่อ
“ตอนนี้องค์ราชินี-ท่านแม่ขังตัวเธอไว้ที่นี่และฉันก็ไม่มีอำนาจอะไรไปต่อต้านได้ค่ะ แต่ว่าถ้าฉันได้เป็นชายาของเจ้าชายแล้วขอร้องดูล่ะก็บางทีอาจจะสามารถพาเธอออกจากที่นี่ได้ก็ได้ค่ะ เพื่อการนั้นก็ต้องพยายามเข้านะคะ”
อัลเลพูดแบบนั้นเพื่อที่จะมอบความหวังให้กับเซเลเน่
แต่ว่าเจ้าตัวเซเลเน่นั้นทำเพียงขมวดคิ้วเข้าหากัน ไม่มีความดีใจอยู่เลย
“อย่านะ”
“เอ๊ะ!? ทะ ทำไมละคะ? อาจจะได้ออกไปจากคุกนี้เลยนะคะ?”
“ไม่อยากกออก แล้วก็ ท่านพี่อัลเล ไม่ใช่ สิ่งของ”
คำพูดนั้น ทำให้อัลเลตะลึง
ไม่ว่าใครต่างก็มองเธอเป็นองค์หญิง ในระหว่างที่เธอถูกใช้เป็นตัวขายสำหรับเชื่อมความสัมพันธ์กับประเทศมหาอำนาจ แต่น้องสาวที่ทรมานอยู่ในสภาพขนาดนี้นี้ก็ยังมาเป็นห่วงด้วยความใสซื่อบริสุทธิ์
น้ำตาแทบจะไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่ว่าอัลเลก็ต้องกลั้นมันเอาไว้
เธอที่เป็นแบบนั้น เซเลเน่ก็พูดคำพุดที่ทำให้เธอตะลึงอีกออกมา
“หนู จะแต่งงานกับท่านพี่อัลเล เพราะฉะนั้น เรื่องจะแต่งกับเจ้าชาย ไม่เอา ไม่ว่ายังไง”
“เอ๊ะ?”
เซเลเน่ที่พูดจากเกินคาดออกมา หลังจากอัลเลหายสับสนแล้ว ก็หัวเราะออกมาเบาๆ
“คือว่านะคะ พวกเราเป็นพี่น้องแล้วก็เป็นผู้หญิงทั้งคู่ด้วยนะคะ? เด็กผู้หญิงกับเด็กผู้หญิงรักกันไม่ได้หรอกนะคะ?”
“ได้สิ เพราะชอบยูริ”
“ลิลี่? เซเรเน่ชอบดอกลิลี่สินะคะ”
“ไม่ใช่ดอกลิลี่ ชอบ ยูริ”
อัลเลเอียงคอด้วยความสงสัย
บางครั้งเซเลเน่ก็พูดคำแปลกๆออกมา คำพูดที่ว่าชอบดอกลิลี่คงมีความหมายอะไรบางอย่างอยู่ ถึงจะไม่เข้าใจแต่ก็มั่นใจว่าเป็นเรื่องที่บอกว่าชอบตนไม่ผิดแน่ แค่นั้นก็พอแล้วล่ะ
น้องสาวผู้น่าสาร ไม่โกรธแค้นตัวเองที่อยู่อย่างสุขสบาย ทั้งๆแบบนั้นก็เป็นห่วงตนอีก พอคิดแบบนี้แล้วอัลเลก็เกิดความรู้สึกที่ต้องพยายามเพื่อน้องสาวเพิ่มขึ้นมา
“รอก่อนนะคะ เซเลเน่ ถึงตอนนี้จะต้องทรมานแต่ว่าจะพาเธอออกไปยังแสงที่เปล่งประกายให้ได้ค่ะ ถ้าเป็นแบบนั้นแล้วก็ไม่จำเป็นต้องมาอยู่คนเดียวโดดเดี่ยวในสถานที่แบบนี้แล้วค่ะ”
“หนู ไม่ได้โดดเดี่ยวสักหน่อย?”
น้องสาวที่พูดราวกับว่าไม่มีอะไร อัลเลก็ทำเพียงเข้าไปกอด
เซเลเน่เป็นเด็กฉลาดที่มีจิตใจอ่อนโยน เลยรู้ว่าตนเองที่ยังไม่เคยมีความรักนั้นยังไม่อยากที่จะแต่งงานกับใคร
เพราะฉะนั้น ก็เลยพูดออกมาว่าไม่ต้องขายตัวเองให้เจ้าชายก็ได้ ไม่ต้องเสียสละตัวเองก็ได้
อัลเลที่เห็นความอ่อนโยนของน้องสาวแบบนี้ก็รู้สึกโกรธเคืองยิ่งขึ้น ดังนั้นถึงตัวเองจะไม่ต้องการแต่ถ้าเพื่อเซเลเน่ล่ะก็ต่อให้ต้องใช้ร่างกายนี้ก็ไม่มีอะไรเสียใจ เธอคิดแบบนั้นออกมา
“เอาล่ะ! พี่สาวจะพยายามล่ะนะคะ! จะทำให้เจ้าชายหลงใหลแล้วปลดปล่อยเซเลเน่ออกมาให้ได้แน่นอนค่ะ!”
อัลเลมองไปยังเซเลเน่ที่ยังคงเป็นเหมือนเดิม แล้วก็เกิดความกระตือรือร้นขึ้นมาคนเดียว
แล้วก็พึมพำเบาๆว่าการยั่วสเน่ห์ ไม่เคยทำเลยน้าา พร้อมกับจูบไปที่หน้าผากของเซเลเน่แล้วก็ทิ้งห้องนี้ไว้เบื้องหลัง
พออัลเลออกไปลวดลายบนประตูก็ส่องแสงอีกครั้ง กุญแจผนึกส่งเสียงดังแก๊กแล้วก็ปิดลง สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือ เฮเลเน่ที่เอามือจับไปที่หน้าผากภายในห้องที่ปกคลุมไปด้วยความมือหลังจากดวงอาทิตย์ตกลงเท่านั้น — ไม่ใช่
[โดนบอกว่าอยู่โดดเดียวคนเดียวนี่น่าเสียใจจังเลยนะขอรับ ทั้งๆที่ท่านเซเลเน่มีพ่อบ้านผู้มากความสามารถอยู่ด้วยแท้ๆนะขอรับ]
ทันใดนั้น ก็มีเสียงทุ้มๆสะท้อนผ่านหัวของเซเลเน่ไป
เธอไม่ได้ตกใจอะไรเป็นพิเศษ แล้วก็มองไปยังทางที่เสียงออกมา
แล้วก็มีเงาขนาดเท่าฝ่ามือของเธอออกมาจากใต้เตียงอย่างรวดเร็ว แล้วก็ปรากฏตัวต่อหน้าเซเลเน่
“ขอบคุณ สำหรับทุกครั้ง บัตเลอร์”
[จะให้รับใช้อะไรหรือขอรับ! บัตเลอร์ผู้นี้ ถ้าได้ตอบแทนบุญคุณขององค์หญิงแล้วชีวิตนี้ก็ทิ้งได้ขอรับ]
“ไม่ต้องการชีวิตหรอก บัตเลอร์ ไอ้นั่นเหมือนเดิม อยากทำ”
[ไปสู่สวรรค์สินะขอรับ รับทราบขอรับ]
เงาที่ชื่อว่าบัตเลอร์ ทำการเคารพเซเลเน่อย่างสุภาพ
พอเห็นท่าทางแบบนั้น เซเลเน่ก็ยิ้มบางๆออกมา
นอกจากเธอแล้วก็ไม่มีใครรู้ การกระทำแบบนี้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว
ในห้องปิดตายที่ถูกปกครองด้วยแสงจันทร์และความเงียบนี้ ก็เป็นหนึ่งคืนที่ไม่มีอะไรต่างจากเดิม
แต่ว่า ในตอนนี้ เรื่องราวของผู้ที่จะถูกเรียกว่าทูตแห่งความสงบสุข — เจ้าหญิงแห่งแสงจันทร์ เซเลเน่ อาร์คุยล่า ก็กำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว