“
ตอนพิเศษ 12
เซเลน สู่แดนตะวันออก (ตอน4)
“พลังต้องสาป… หรือจะหมายถึงเวทมนตร์? ก็ดีนี่นา”
มารีที่ยืนอยู่ข้างหลังคุมะฮาจิเริ่มสนใจในตัวฮิโนเอะ มนุษย์ที่ใช้เวทมนตร์ได้นั้นมีน้อย ถึงจะไม่รู้ว่าเวทมนตร์ของฮิโนเอะทำอะไรได้บ้าง แต่เพียงแค่มีความสามารถนี้ก็จะจัดว่าเป็นบุคคลสำคัญ ทำให้บางคนถึงกับหลงระเริงไปกับความพิเศษนี้
แต่เท่าที่เห็น ฮิโนเอะที่หลบอยู่ข้างหลังคาเงะโทระกลับแสดงอาการหวาดกลัวเมื่อมารีพูดเรื่องนี้ขึ้นมา
“ค-คือว่า… คนผมทอง กับคนสีขาว ก็มีพลังต้องสาป…”
“รู้ด้วยเหรอ!?”
คำพูดนั้นทำให้มารียิ่งสนใจฮิโนเอะมากขึ้น เพราะไม่มีทางเลยที่จะแยกแยะผู้ที่มีเวทมนตร์ได้ด้วยรูปลักษณ์ภายนอก แต่ฮิโนเอะก็บอกได้ทันทีว่ามารีกับเซเลนเป็นผู้ที่มีพลังเวทโดยไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เป็นเรื่องที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก
“อ๊ะ…!”
ขณะที่มารีกำลังแปลกใจกับความสามารถของเธอ ฮิโนเอะก็จ้องมองไปที่หน้าอกของเซเลนและส่งเสียงร้องออกมา และเซเลนก็รู้สึกถึงสายตานั้น
“หน้าอก? มีอะไร?”
“ม-ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ!”
หากมองตำแหน่งต่ำกว่าไหล่ สูงกว่าเอว ของผู้หญิง ก็มีแต่หน้าอกเท่านั้น เป็นเรื่องที่เซเลนเชี่ยวชาญจึงรู้ดี และตอนนี้ก็ถูกเด็กสาวคนนี้ลวนลามด้วยสายตาอยู่ แต่ฮิโนเอะก็หน้าแดงและตอบปฏิเสธออกมา
“ผู้หญิงสามคนจะส่งเสียงดัง* สินะ แต่ตอนนี้กำลังคุยกับแขกอยู่ สำรวมหน่อย”
“ขออภัยเจ้าค่ะ”
ฮิโนเอะกล่าวขอโทษทันทีที่ถูกคาเงะโทระตำหนิ นอกจากเรื่องที่ฮิโนเอะพูดแทรกมารีแล้ว ยังมีการที่เธอจ้องไปที่เซเลนอีก ถือเป็นเรื่องเสียมารยาทอย่างมาก
“ท่านคาเงะโทระ นี่ก็ใกล้ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว เกรงว่าวัตถุดิบที่เตรียมไว้จะไม่พอสำหรับแขก ข้าน้อยขออนุญาตออกไปหาซื้อกับคนครัว…”
ฮิโนเอะก้มหัวขอขออนุญาตและเงยหน้ามองไปที่คาเงะโทระ แต่คาเงะโทระก็สังเกตเห็นว่าขณะพูดเธอเหลือบมองไปที่มารีกับเซเลนเป็นระยะ ทำให้รู้ว่าจริงๆแล้วฮิโนเอะแค่ไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับคนพวกนี้มากกว่า
“ไม่ต้อง ให้คนอื่นไป ส่วนฮิโนเอะ เจ้าพาเจ้าหญิงมารีเบลกับคุณหนูเซเลนไปที่ห้องรับรองแขก”
“เอ๋ ต-แต่ว่า… นั่น…”
“เดี๋ยวจะให้คนอื่นดูแลผู้ติดตามที่เหลือ เจ้าแค่ดูแลแขกสองท่านนี้ก็พอ”
“…ทราบแล้วเจ้าค่ะ”
ถึงเธอจะดูเซื่องซึมลงไปเล็กน้อยแต่ฮิโนเอะก็รับคำสั่งจากคาเงะโทระแต่โดยดี เธอวางไม้กวาดในมือพิงกำแพงและเริ่มนำทางมารีกับเซเลน
“ถ้าเช่นนั้น ข้าน้อยคงต้องขอตัว… โอ๊ย!?”
ในฐานะผู้คุ้มกันของบุคคลทั้งสอง คุมะฮาจิจึงพยายามติดตามไปด้วย แต่มือของคาเงะโทระก็คว้าไปที่ใบหูของคุมะฮาจิอย่างรวดเร็วและดึงรั้งเอาไว้
“ส่วนแกน่ะ ต้องมาคุยกันก่อน ทั้งที่พี่ชายคนนี้อุตส่าห์ติดต่อไปตั้งหลายครั้งแต่ก็ถูกบ่ายเบี่ยงมาตลอด หวังว่าจะมีเหตุผลดีๆนะ”
“ถ้าเหตุผลล่ะก็ มีแน่นอนขอรับ… แต่ก่อนอื่น งานของข้าน้อยคือคุ้มกันเจ้าหญิง… โอ๊ย!?”
คุมะฮาจิพยายามหาข้ออ้างในการหลบหน้า แต่ก็ถูกดึงกลับไปเหมือนสัตว์เลี้ยงผูกสายจูง แม้ว่าคุมะฮาจิจะมีความสามารถทางร่างกายเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด แต่คาเงะโทระให้บรรยากาศกดดันอันยากที่จะต่อต้าน
“เพราะแบบนี้ล่ะมั้ง คุมะฮาจิถึงไม่อยากกลับบ้าน…”
มารีพูดขึ้นมาเบาๆเมื่อเห็นคุมะฮาจิถูกลากออกไปอีกทาง เซเลนก็เห็นด้วย และคิดว่ามิลานยอมให้คุมะฮาจิกลับบ้านได้เพราะรู้ว่าจะถูกทำแบบนี้ ศัตรูอันดับหนึ่งของเธอก็คือเจ้าชายมิลานที่ชอบเห็นคนอื่นถูกรังแกเป็นที่สุดอย่างที่คิดไว้จริงๆ
คุมะฮาจิผู้น่าสงสาร อย่าเพิ่งตายนะ เซเลนรู้สึกเห็นใจแต่ตอนนี้ต้องให้ความสำคัญกับโลลิผมดำคนใหม่ ฮิโนเอะ ซึ่งตอนนี้ฮิโนอะนำทางอยู่ห่างจากมารีและเซเลนพอประมาณ ไปตามทางเดินพื้นหินกรวดไปยังตัวบ้าน
“หืม เป็นการออกแบบที่แปลกดี”
“อ่า คือว่า! ท่านมารีเบล กรุณาหยุดก่อน…”
เมื่อมารีเข้าไปในบ้านที่มีรูปทรงและการจัดแบ่งห้องที่ไม่คุ้นตา ก็ถูกฮิโนเอะหยุดเอาไว้ก่อนที่จะก้าวเดินเข้าไป
“เอ๋ มีอะไรเหรอ? หรือฉันทำอะไรผิด?”
“รองเท้า ไม่ได้”
เมื่อได้ยินเซเลนที่อยู่บริเวณทางเข้าช่วยอธิบายให้ ฮิโนเอะก็ถอนหายใจด้วยความโล่งใจ
“ท่านเซเลน ช่างสังเกตจริงๆเจ้าค่ะ”
“ปรกติ”
คำชมจากฮิโนเอะทำให้เซเลนยืดอกภูมิใจ จริงๆแล้ว ถึงวัฒนธรรมของที่นี่แทบจะเหมือนกับของญี่ปุ่น แต่ก็เป็นโลกอื่นที่แตกต่างออกไป เพราะฉะนั้นการถอดรองเท้าก่อนเข้าบ้านอาจไม่ใช่เรื่องที่ถูกก็ได้ ซึ่งเธอทึกทักเอาเองว่าต้องทำแบบนี้ และบังเอิญโชคดีที่เดาถูกเท่านั้น
เด็กสาวทั้งสาม ――หรือเด็กสาวทั้งสองกับชายวัยกลางคน ถอดรองเท้าไว้ที่บริเวณทางเข้าและเดินผ่านทางเดินยาวเข้ามาในห้องที่ฮิโนเอะบอกว่าเป็นเหมือนกับห้องนั่งเล่นรวมสำหรับแขก ซึงจะมีห้องนอนสำหรับมารีและเซเลนอยู่อีกส่วน
“เชิญเจ้าค่ะ”
“โอ๊ะ! พื้นเป็นฟางสาน! รู้สึกแปลกจัง!”
มารีกับเซเลนเข้ามาในห้องเสื่อทาทามิ ขนาดแปดเสื่อ( 12.4ตารางเมตร ) มีเครื่องเรือนน้อยชิ้นจึงดูสะอาดสบายตา ได้รับการตกแต่งสวยงาม มีฟูกอย่างดีจัดไว้สำหรับแขกโดยเฉพาะ ถึงขนาดของห้องจะเล็กแต่ก็เหมาะสำหรับใช้พักผ่อนได้ทั้งร่างกายและจิตใจ
“อาจเรียบง่ายเกินไปสำหรับแขกจากแผ่นดินใหญ่…”
“ไม่หรอก ฉันว่าดีไปอีกแบบนะ ใช่ไหม เซเลน?”
“อือ”
ห้องที่ดูแปลกและดูโล่งแต่ก็มีเอกลักษณ์ทำให้มารีชอบใจเป็นอย่างมาก ส่วนเซเลนก็ยังทำตัวเหมือนเซเลนตามปรกติ เธอไม่พูดหรือแสดงอารมณ์ออกมามากนัก เพราะตราบใดที่มีที่ให้นอนก็ดีพอสำหรับเธอแล้ว
“ข้าน้อยคงต้องขอตัวเพียงเท่านี้ หากท่านทั้งสองต้องการสิ่งใดเพิ่มเติม โปรดเรียกหาคนรับใช้ได้ทุกเวลาเจ้าค่ะ…”
“เดี๋ยวก่อน”
หลังจากปฏิบัติตามคำสั่งได้เรียบร้อยแล้ว ฮิโนเอะพยายามจะถอยห่างอีกครั้ง แต่มารีก็ส่งเสียงเรียกเธอจากข้างหลัง ทำให้ฮิโนเอะหยุดอยู่ครู่หนึ่งและหันกลับมาช้าๆด้วยท่าทางหวาดกลัว
“อ่า คือว่า… มีอะไรไม่พอใจหรือเปล่าเจ้าคะ?”
“ไม่ใช่ไม่พอใจหรอก แค่สงสัยว่าทำไมเธอถึงขี้กลัวนัก ก็เป็นถึงคนที่มีพลังเวทนี่นา? น่าภูมิใจออก”
“เอ๋…?”
ดูเหมือนฮิโนเอะจะไม่เข้าใจคำพูดของมารีจริงๆ มารีจึงได้ถามต่อไป
“ไม่ใช่ว่าฐานะของเธอก็สูงหรอกเหรอ? ฉันเคยเห็นข้าราชการที่อยู่ในปราสาทมาหลายคน ถึงจะเป็นคนละประเทศก็เถอะ แต่คนพวกนั้นจะวางตัวต่างออกไปจนสังเกตได้เลยนะ”
จากที่มารีเห็น ฮิโนเอะขาดความมั่นใจจนน่าแปลก แม้ว่าจะเป็นเพียงการคาดเดา แต่ดูจากจากกิริยามารยาทของเธอก็น่าจะเกิดในครอบครัวที่มีชาติตระกูล ยิ่งเป็นคนที่สามารถใช้เวทมนตร์ได้ ผู้มีอำนาจต้องแย่งกันเสนอตำแหน่งให้เธอแน่ แต่ฮิโนเอะกลับดูหวาดกลัวราวลูกสุนัขที่ถูกทิ้งตลอดเวลา ซึ่งเป็นเรื่องที่เธอไม่เข้าใจ
“พลังต้องสาป… ผู้ใช้อาคมไม่เป็นที่รังเกียจบนแผ่นดินใหญ่หรือเจ้าคะ?”
“เอ๋? ทำไมเป็นงั้นล่ะ?”
คำพูดของฮิโนเอะยิ่งทำให้มารียิ่งสงสัย เวทมนตร์คือพรสวรรค์อันพิเศษ ผู้ที่ใช้มันได้จะไม่มีทางถูกปฏิบัติด้วยอย่างต่ำต้อย อย่างกรณีของเซเลนนี้ก็เรียกได้ว่าแปลกมาก นี่คือเรื่องที่มารีและคนทั้งทวีปเข้าใจ ถึงอย่างนั้น สามัญสำนึกของฮิโนเอะกลับต่างออกไป
“จะว่าไป ที่เธอใช้ได้คือเวทมนตร์แบบไหนเหรอ? ของฉันเป็นเสริมความแข็งแกร่งให้ร่างกาย ถึงจะแค่ชั่วคราวแต่ก็สุดยอดมากเลยนะ ยิ่งพี่ชายของฉันก็สุดยอดยิ่งขึ้นไปอีก แล้วของเซเลนล่ะ?”
“ไม่รู้”
เซเลนส่ายหน้า เพราะตัวเซเลนเองก็ไม่รู้ว่าเวทมนตร์ของเธอทำอะไรได้ และจะมีเวทมนตร์หรือไม่ก็ไม่สำคัญ ไม่ส่งผลใดๆกับการดำเนินชีวิตของเธอ แต่การขาดหน้าอกจะทำให้เธอขาดใจตายได้ เพราะฉะนั้น หน้าอกจึงสำคัญกว่าเวทมนตร์สำหรับเซเลน
“ก็นะ วัยเด็กของเซเลนค่อนข้างพิเศษกว่าปรกติ เดี๋ยวเอาไว้ตรวจสอบทีหลังก็แล้วกัน… แล้วเธอล่ะ ฮิโนเอะ?”
“…มองเห็น จิตใจคนอื่น”
“เอ๋!?”
เป็นความสามารถที่คาดไม่ถึงจนมารีและเซเลนรู้สึกทึ่งไปพร้อมๆกัน
“เอสเปอร์ เหรอ!?”
“…เอสเปอร์ คืออะไรน่ะ? แต่ว่า มองเห็นจิตใจ… เหรอ?”
“ถูกต้องเจ้าค่ะ แต่ก็ไม่ได้ดีเด่นมากมาย เพียงแค่ทำให้ดวงตาสามารถมองเห็นจิตใจของผู้คนออกมาเป็น ‘สี’ เท่านั้นเองเจ้าค่ะ”
“สี?”
“ถ้าให้อธิบายคงยากอยู่ ประมาณว่า คนเลวคิดร้ายจะเห็นเป็นสีดำ ส่วนคนที่ยึดมั่นในคุณธรรมจะเปล่งประกายสวยงาม… เป็นความสามารถที่น่ารังเกียจเช่นนี้แหละเจ้าค่ะ”
ฮิโนเอะยิ้มราวกับเยาะเย้ยตนเองและอธิบายต่อ
“นี่ก็คือเหตุผลว่าทำไมผู้คนในประเทศถึงเรียกสิ่งนี้ว่า ‘พลังต้องสาป’ การถูกคนอื่นมองทะลุไปถึงจิตใจเป็นเรื่องที่กลัว หากเกิดขึ้นกับตัวท่านเอง ท่านก็คงคิดเหมือนกันเจ้าค่ะ”
“…”
มารีกับเซเลนฟังฮิโนเอะอธิบายถึงความเลวร้ายจากพลังของเธออย่างเงียบๆ
“ชื่อของข้าน้อยเองก็ถูกตั้งขึ้นมาด้วยสาเหตุนี้ ในประเทศนี้คำว่าฮิโนเอะ(丙)นั้นจะอยู่ต่ำสุดในระดับชนชั้น จากชั้นหนึ่ง( 甲 ) ชั้นรอง( 乙 ) และชั้นสาม(丙)** เพราะฉะนั้น พวกท่านไม่ควรมายุ่งเกี่ยวกับข้าน้อยจะดีกว่าเจ้าค่ะ”
“สุดยอดไปเลย!”
“…อะ- ?”
มารีเข้ามาจับมือฮิโนเอะ ดวงตาเป็นประกาย โดยที่ฮิโนเอะได้แต่มองกลับไปอย่างงงๆ
“เวทมนตร์แบบนี้ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีอยู่จริง! เธอมาทำงานที่ประเทศของฉันเถอะ!”
“เห? หืม? เอ๋!?”
“ช่วงนี้พ่อของฉันบ่นอยู่บ่อยๆว่า ‘ประเทศอื่นๆต่างก็เข้ามาตีสนิท ล้วนมีแต่ใส่หน้ากากเข้าหา หาความจริงใจได้ยากนัก จะดีแค่ไหนถ้ามองเห็นธาตุแท้ของคนพวกนั้นได้’”
มารีพูดเลียนแบบเสียงและสำเนียงของบิดา แต่กลับฟังดูน่าตลกจนฮิโนเอะหลุดหัวเราะออกมา
“ดีละ เริ่มหัวเราะออกมาแล้ว”
“อ๊ะ? ข-ขออภัยเจ้าค่ะ…”
“ไม่ได้ทำอะไรผิดจะขอโทษไปทำไม เธอนี่ก็แปลกจัง แต่ฉันก็ชอบคนอย่างเธอนะ จริงสิ มาแลกเครื่องรางกันไหม?”
“เครื่องราง หรือเจ้าคะ?”
มารีอธิบายถึงเครื่องรางแห่งมิตรภาพนิรันดร์ที่ทำกันในเฮลิฟาลเต้ หญิงสาวแลกเส้นผมกับอีกฝ่าย เก็บไว้เป็นเครื่องประดับ
“เกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับความสนใจจากเจ้าหญิงจากแผ่นดินใหญ่ หากเป็นเครื่องราง เกรงว่าข้าน้อยคงไม่อาจตอบสนองความต้องการของท่านได้…”
หากเป็นเมื่อก่อน มารีคงจัดการให้เสร็จสรรพโดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายไปแล้ว แต่ก็เกิดเรื่องขึ้นหลายอย่างจนมารีเปลี่ยนแปลงไปเป็นคนที่เอาใจใส่ผู้อื่น ต่างจากบางคนแถวนั้นที่อยู่มานานแต่ก็ยังเป็นเด็กไม่รู้จักโต
“ท่านทราบว่า คำว่าเครื่องราง ในประเทศนี้เขียนอย่าไรหรือไม่เจ้าคะ?”
“ไม่รู้สิ ก็ไม่เคยเห็นนี่นา”
เมื่อมารีตอบเช่นนั้น ฮิโนเอะก็ขอตัวออกจากห้องไปครู่หนึ่ง และนำกระดาษ พู่กัน ถาดและแท่งหมึก มาจากลิ้นชักในห้องโถง จากนั้นก็เริ่มฝนหมึก โดยมีมารีและเซเลนคอยดูอยู่ข้างๆ
เมื่อได้น้ำหมึกมาแล้ว ฮิโนเอะก็จุ่มพู่กันและเขียนตัวอักษร ‘呪い***’ ลงบนกระดาษ
“คำนี้หมายถึงเครื่องรางเจ้าค่ะ”
“แล้วมันทำไมเหรอ?”
ฮิโนเอะตวัดพู่กันลงบนกระดาษอีกแผ่น เขียนตัวอักษร ‘呪い***’ ออกมาอีกครั้ง
“ตอนนี้คิดว่าอย่าไรเจ้าคะ?”
“โมจิ อร่อย…”
“ไม่ได้หมายความอย่างนั้นเจ้าค่ะ…”
“ความหมายต่างกันสินะ”
ฮิโนเอะพยักหน้า มารีเข้าใจถูกต้อง ขณะที่คำตอบเซเลนตอบไม่ค่อยจะตรงกับประเด็นสักเท่าไหร่
“ถูกต้องแล้ว ตัวอักษรนี้ยังหมายถึงคำสาป เพราะฉะนั้น เครื่องราง อาคม และคำสาป ล้วนเป็นสิ่งที่ใกล้ชิดจนยากที่จะแยกออกจากกัน ข้าน้อยเป็นผู้ครอบครองพลังต้องสาปอยู่แล้วจึงไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวเรื่องพวกนี้…”
“ก็เลยไม่อยากทำเครื่องรางด้วยกันสินะ”
“ต้องขออภัยจริงๆเจ้าค่ะ…”
“นี่แหนะ”
“ว้าย?”
มารีสับมือลงไปเบาๆบนหัวของฮิโนเอะที่ก้มหัวขอโทษอยู่ ถึงจะไม่ทำให้เจ็บแต่ฮิโนเอะก็ตกใจจนเอามือกุมไว้บนหัว
“ไม่อยากทำก็ไม่เห็นเป็นไรเลยนี่นา ฉันเองก็มีของเซเลนแล้วด้วย”
“แต่ก็ ความหวังดีของท่านขอรับไว้แค่น้ำใจก็พอเจ้าค่ะ มีคนน้อยนักที่อยากคบหากับข้าน้อย จึงรู้สึกซาบซึ้งยิ่งนัก”
“เครื่องรางมันก็แค่ความเชื่อ ไม่มีก็ไม่เห็นต้องคิดมากเลย”
“เป็นเพื่อน กันเถอะ”
“ท่านเซเลนก็ด้วย…”
เซเลนคล้อยตามสถานการณ์ที่มารีสร้างขึ้นมา ในใจจริงก็อยากเป็นเพื่อนกับสาวสวยทุกคนอยู่แล้ว โชคร้ายที่เธอไม่ถนัดเป็นฝ่ายเข้าไปทักก่อน แต่ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับตอนนี้ เพราะในเมื่อคลื่นลูกใหญ่ผ่านเข้ามา ก็จะไหลตามไปให้ทัน และก็ทำสำเร็จได้อย่างแนบเนียน
อีกด้านหนึ่ง มีน้ำตาไหลซึมออมาจากดวงตาของฮิโนเอะ เพราะทั้งมารีและเซเลนต้องการเป็นเพื่อนกับคนอย่างเธออย่างจริงจัง
ที่ผ่านๆมา ฮิโนเอะได้รับการปฏิบัติราวกับเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ อาจจะคล้ายๆตาลุงน่ารังเกียจอย่างเซเลนแต่ก็เป็นคนละอย่างกัน ไม่มีใครที่อยากเป็นเพื่อนกับเธอแม้แต่คนเดียว จนกระทั้งมีเด็กสาวต่างถิ่นสองคนเข่ามาช่วยค้ำจุนจิตใจของฮิโนเอะเอาไว้
“…ขอฝากตัวด้วยเจ้าค่ะ แต่ก่อนหน้านั้น ข้อน้อยมีเรื่องที่ต้องสารภาพ”
“สารภาพ?”
ฮิโนเอะพูดเช่นนั้นและก้มหัวต่อหน้าเซเลน ซึ่งแน่นอนว่าเซเลนไม่รู้เลยว่านี่มันเรื่องอะไรกัน
“ตอนที่ได้พบกันครั้งแรก ข้าน้อยใช้อาคมกับท่านเซเลน”
“หืม”
วัยเด็กของฮิโนเอะมีแต่โดยดูถูกเหยียดหยามจนไม่สามารถไว้ใจใครได้ ทุกครั้งที่พบกับคนแปลกหน้า เธอจะตรวจสอบคนคนนั้นว่ามีเจตนาร้ายหรือเปล่า เป็นการป้องกันตัวที่ฮิโนเอะทำจนติดเป็นนิสัย
ตอนที่พบกันก็เห็นได้ว่ามารีและกลุ่มคนคุ้มกันมีตำแหน่งสูงอย่างเห็นได้ชัด ส่วนคุมะฮาจิอย่างน้อยก็เป็นคนประเทศเดียวกัน เหลือแต่เซเลนดูแปลกแยกออกไป ดูไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหนและต้องการอะไร ฮิโนเอะจึงทำการตรวจสอบเซเลน
“กลางดวงใจของท่านเซเลน ข้าน้อยเห็นจิตใจอันสูงส่ง สง่างามและมากด้วยปัญญา เปล่งประกายบริสุทธิ์เสียจนข้าน้อยแทบไม่เชื่อในสายตาของตนเอง จนกระทั่งได้มาทำความรู้จักกับท่านในตอนนี้ ช่างเป็นการกระทำที่น่าอับอายเหลือเกิน”
“ไม่เป็นไร”
สำหรับเซเลน สาวน้อยน่ารักทำอะไรก็ไม่ผิดอยู่แล้ว เซเลนจึงให้อภัยแม้จะไม่เข้าใจเรื่องราวก็ตาม ซึ่งก็ช่วยรักษาความรู้สึกของฮิโนเอะได้เป็นอย่างดีจนเธอยิ้มออกมาได้
“ดีแล้ว ทีนี้พวกเราก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกลกันอีกต่อไป แต่ว่า…ฮิโนเอะ เธออายุเท่าไหร่แล้วล่ะ?”
“ข้าน้อยเพิ่งอายุเก้าปีเมื่อไม่นานมานี้เจ้าค่ะ”
มารียิ้มอย่างภูมิใจ
“ฉันสิบขวบ เธอเก้า และเซเลนแปด เท่ากับว่าฉันอายุเยอะที่สุดเป็นพี่ของพวกเธอ อย่าลืมซะล่ะ”
แม้พูดว่าให้เป็นเพื่อนกัน แต่มารีก็ยังทำเหมือนเป็นเหมือนพี่น้องซึ่งเธอเป็นคนที่โตที่สุดในสามคน ฮิโนเอะกับเซเลนก็ไม่คัดค้าน แม้ไม่มีการแลกเปลี่ยนเครื่องรางกันตามความเชื่อในเฮลิฟาลเต้ แต่ทั้งสามก็ตัดสินใจเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน
มารีอายุสิบขวบ ฮิโนเอะอายุเก้าขวบ เซเลนอายุแปด(+38)ขวบ ถึงตอนนี้จะเพิ่มมาอีกหนึ่งคน แต่ค่าเฉลี่ยอายุก็ยังเป็น เก้า ไม่เปลี่ยนแปลง หรือถ้านับอีกแบบ อายุเฉลี่ยก็จะลดลงไปแหลือยี่สิบเอ็ดเลยทีเดียว ด้วยเหตุนี้ มิตรภาพระหว่างสามสาวก็ได้ก่อตัวขึ้นมา แม้จะมีชายวัยกลางคนปะปนมาด้วยแต่ก็ยังพอนับเป็นกลุ่มสามสาวได้อยู่
“ตอนนี้ข้าน้อยคงต้องขอตัวไปเตรียมอาหารเย็นก่อน หวังว่าจะมีโอกาสได้พูดคุยกันอีกครั้งเจ้าค่ะ”
ไม่เหมือนกับการพยายามหนีอย่างที่ผ่านๆมา ฮิโนเอะเดินออกไปด้วยท่าทางแจ่มใส ส่วนมารีก็โบกมือลาฮิโนเอะที่หันหลังกลับไปยังทางเดิน
“เอาล่ะ วันนี้ก็เหนื่อยมาทั้งวัน มีเวลาพักสักที ฉันเองก็ต้องขอตัวด้วยเหมือนกัน”
“อือ”
และมารีกับเซเลนก็แยกย้ายกันไปห้องนอนคนละห้อง มารีอยู่ทีห้องด้านหน้า และเซเลนอยู่ที่ห้องด้านใน โดยมีประตูเลื่อนกั้นไว้ มารีที่เหน็ดเหนื่อยจากการตั้งใจทำงานตั้งแต่ลงจากเรือในช่วงเช้าก็ได้นอนหลับทั้งชุดของเธอทันทีที่เอนตัวลงนอนไปบนฟูกที่ปูไว้
“อุหวา”
[“องค์หญิง ดูเหมือนทุกอย่างจะเรียบร้อยดีนะครับ”]
ในตอนที่เซเลนนอนเหยียดตัวตรงบิดขี้เกียจอยู่บนฟูกนอน บัตเลอร์ก็มุดออกมาจากข้างในอกเสื้อของเธอ บัตเลอร์หลบอยู่เงียบๆมาตลอดเพราะรู้ว่ามีมนุษย์บางคนที่เกลียดกลัวหนู และเขาก็ไม่อยากทำลายมิตรภาพอันสวยงามของเจ้านายจึงไม่โผล่ออกมาให้เห็น
ความจริงแล้ว ‘จิตที่เปล่งประกายบริสุทธิ์’ ที่ฮิโนเอะเห็นนั้นไม่ได้มาจากจิตใจของเซเลน แต่เป็นของบัตเลอร์ที่ซ่อนตัวอยู่ในชุดของเธอ ด้วยหัวใจอันยิ่งใหญ่ของบัตเลอร์ แผ่รัศมีออกมาบดบังหัวใจดำมืดของเซเลนจนมิด ประหนึ่งฉากการปรากฏตัว ‘คนที่ดูแข็งแกร่งเบื้องหน้าเป็นตัวปลอม คนรับใช้ที่ดูกระจอกงอกง่อยข้างหลังนั่นต่างหากเป็นตัวจริง’ ที่มักจะเห็นกันตามมังงะอยู่บ่อยๆ
[“เวทมนตร์ที่มองเข้าไปในจิตใจของผู้อื่นของเด็กคนนั้น เป็นเวทมนตร์ที่แตกต่างจากในทวีปมากเลยนะครับ แต่ในที่สุดก็มีคนที่สามารถมองเห็นความงดงามขององค์หญิงได้ทั้งภายนอกและภายใน”]
“ก็ดี”
แม้แต่ตัวจริงก็ยังเข้าใจผิดไปด้วย
[“ถ้าเช่นนั้น กระผมจะเริ่มทำการตรวจสอบรอบๆนี้นะครับ ยิ่งเป็นดินแดนที่ไม่รู้จักเช่นนี้ หวังว่าหนูตัวอื่นๆในพื้นที่จะให้ความร่วมมือ”]
“อือ ฝากด้วย”
และแล้ว ตัวจริง จิตใจอันสูงส่งของบัตเลอร์ก็วิ่งออกไปทำการสำรวจ เหลือไว้เพียงจิตใจอันผิดเพี้ยนของเซเลนที่เตรียมตัวนอน
____________________
* คำว่าผู้หญิงสะกดด้วยตัวอักษร 女 หากนำตัวอักษรนี้สามตัวมารวมกันก็จะเป็น 姦 หรือ 姦しい ที่แปลว่า เอะอะ,เจี๊ยวจ๊าว,หนวกหู
** 甲 乙 丙 丁 戊 …… / Kou Otsu Hei Tei Bo…… / ลำดับหนึ่ง ลำดับสอง ลำดับสาม ลำดับสี่ ลำดับห้า….. (มีต่อไปอีกเหมือนการนับเลข แต่ในที่นี่ยกมาแค่สาม)
ลำดับสาม 丙(へい/ Hei) เรียกได้อีกแบบว่า ひのえ(Hi-no-e)
*** 呪い
อ่านได้ทั้ง まじない/Majinai ที่หมายถึงเครื่องรางของขลัง คาถาอาคม
และ のろい/Noroi ที่หมายถึงที่หมายถึงคำสาป
”