บทที่ 111 คาบเรียน
พวกอเลนได้ฐานไว้ใช้ชีวิตที่เมืองแห่งการศึกษาแล้ว วันพรุ่งนี้โรงเรียนจะเปิดการศึกษา เลยพูดถึงกำหนดการณ์ที่จะทำต่อจากนี้
จากการตรวจสอบเรื่องของโรงเรียนกับไวเคานต์ ทำให้รู้ว่ามีคาบเรียน 4 วัน กับวันหยุด 2 วัน
ถ้ายึดตามนั้น ในช่วง 4 วันที่ไปโรงเรียนจะซื้อของใช้ในชีวิตประจำวันมาไว้ที่ฐาน ส่วนอาวุธและเครื่องป้องกันค่อยไปซื้อตอนสุดสัปดาห์ก่อนไปดันเจี้ยน โดยพื้นฐานจะไปดันเจี้ยนสุดสัปดาห์ 2 วัน
ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับอาวุธและเครื่องป้องกันอเลนจะเป็นคนออกให้ การลงทุนครั้งแรกทางนี้จะเป็นคนจัดการให้เอง ดูเหมือนในดันเจี้ยนจะได้อาวุธกับเครื่องป้องกันดีๆมาอยู่ เลยคุยกันว่าจะหาของใหม่มาเปลี่ยนด้วยการลุยดันเจี้ยน
แล้วต้องการหินเวทจำนวนมากเพื่อการเติบโตของตัวเอง ถ้าการใช้ชีวิตที่ฐานค่อนข้างอยู่ตัวแล้ว เลยขอร้องไปว่าอยากจะเอาเงินที่หาได้จากดันเจี้ยนไปซื้อหินเวท ซึ่งทั้ง 3 คนตอบว่าได้แน่นอน
จะออกค่าเช่าบ้านที่ใช้เป็นฐาน, ค่าอาวุธและเครื่องป้องกันให้ คิดว่าคงตอบอย่างนั้นอยู่แล้วเพราะบอกเป้าหมายหลังจากนี้ไปแล้ว
อเลนคิดว่าไปดันเจี้ยนสัก 1-2 เดือนก็น่าจะได้ชีวิตที่อยู่ตัวแล้ว
พวกอเลนทั้ง 4 คน มาโรงเรียนตามที่ได้รับแจ้งตอนฟังประกาศผล ตรวจเลขตึกเรียนที่ถูกเขียนไว้ตรงแผ่นป้ายพิธีประเมิน ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังห้องเรียนที่ถูกกำหนดเอาไว้
(คนผ่านราวๆ 3000 คนเหรอ)
ดูเหมือนจะมีคนผ่านราวๆ 3000 คน จากผู้สมัคร 20000 คน ถ้าพูดถึงการสอบเข้ามหาวิทยาลัยของโลกก่อนแล้ว คิดว่าอัตราส่วนเทียบเท่ากับมหาวิทยาลัยยากๆ ห้องเรียน 1 ห้องมีนักเรียน 30 คนซึ่งมีทั้งหมด 100 ห้อง
(ตกค่อนข้างเยอะนะเนี่ย เอาเถอะประชาชนที่มีพรสวรรค์ ไม่จำเป็นต้องรับราชการทหาร พันธมิตร 5 ทวีปเองก็ไม่ได้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันซะด้วยสิ)
ประเทศในกลุ่มพันธมิตร 5 ทวีปไม่ได้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน แต่ละประเทศแต่ละทวีปต่างมีเหตุผลที่แตกต่างกันไป
คนที่รู้ถึงอันตรายของกองทัจอมมารมากที่สุด คือประเทศที่ต่อสู้โดยตรงอย่างจักรวรรดิเกียมูทของทวีปกลาง, จักรวรรดิบาวกีสของประเทศคนแคระ และโรเซนเฮมของประเทศเอลฟ์
ต่อสู้สุดกำลังโดยมีวิกฤตความอยู่รอดของชาติเป็นเดิมพัน
แต่มีอีกหลายประเทศที่ไม่ได้ต่อสู้กับกองทัพจอมมารตรงชายแดนโดยตรงเหมือนอย่างราชอาณาจักรราตาชู
แล้ว 2 ทวีปที่อยู่ทางตอนใต้ไม่เคยโดนกองทัพจอมมารจู่โจมเลย ไม่รู้ว่าโลกนี้ไม่ใช่ทรงกลมหรือไม่รู้วิธีบุกทวีปทางตอนใต้กันแน่ ทำให้กองทัพจอมมารไม่สนใจ 2 ทวีปทางตอนใต้โดยสิ้นเชิง
ในสถานการณ์อย่างนี้จะให้ทุกประเทศเข้าใจถึงอันตรายจึงเป็นเรื่องที่ยากมาก
ในระหว่างนั้นก็มีการเรียกร้องให้เข้าร่วมการต่อสู้กับกองทัพจอมมาร ทำให้ประเทศที่ไม่ค่อยรับรู้ถึงอันตรายอิดออดจะส่งผู้มีพรสวรรค์มา มันต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้วเพราะจะไม่ปราบมอนสเตอร์ภายในประเทศที่ดุร้ายขึ้นจากจอมมารก็ไม่ได้ ไหนจะหินเวทและไอเทมในดันเจี้ยนที่จะทำให้ประเทศมั่งคั่ง เลยไม่ค่อยยอมส่งผู้มีพรสวรรค์กันมาสักเท่าไร
จากผลสรุปนั้น เลยให้ส่งมาแค่ขุนนางเท่านั้น ในการประชุมพันธมิตร 5 ทวีป 2 ทวีปทางใต้กับเหล่าประเทศอื่นนอกเหนือจากผู้นำของทวีปกลางต่างยื่นข้อเสนอออกมา เพื่อที่จะปกป้องประเทศเลยจะให้แค่ขุนนางเท่านั้นที่รับหน้าที่
คำตอบได้ถูกตัดสินไว้แล้วว่าจะเอาประชาชนที่มีพรสวรรค์หลายหมื่นคน หรือขุนนางที่มีแค่ไม่กี่ร้อยคนไปสนามรบ แน่นอนว่าไม่มีทางเลือกที่จะมห้ส่งประชาชนธณรมดาหลายร้อยคนไป สิ่งนี้อาจจะมนุษยธรรมที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อลดผู้เข้าร่วม
(จะว่าไป ใน 3000 คนมีขุนนางราวๆ 10% สินะ)
ปีก่อนนักเรียนปี 1 ราวๆ 3000 คน มีเกือบ 300 คนเป็นขุนนาง ในห้องที่มี 30 คนอย่างนี้คิดว่าน่าจะมีขุนนางอยู่หลายคน
อเลนนั่งที่พร้อมกับคิดเรื่องเกี่ยวกับพันธมิตร 5 ทวีป แล้วนักเรียนทุกคนก็มาถึงโดยไม่มีใครสาย มีทั้งคนที่พูดคุยอย่างสนิทราวกับมาจากที่เดียวกัน หรือคนที่นั่งหลับคนเดียว ทุกคนต่างรอให้คาบเรียนเริ่ม
ทันใดนั้นมีชายที่สวมเครื่องแบบราวกับเป็นอาจารย์ของโรงเรียนเข้ามาในห้อง เขาอายุ 40 ปีนิดๆ ตัดผมสั้นรูปลักษณ์ไม่ชวนให้คิดว่าจะเป็นคนที่ประกอบอาชีพสุจริตเลย กล้ามเนื้อใหญ่โตจนคิดว่าเสื้อผ้าเล็กไปหนึ่งขนาดหรือเปล่า
“โอ้ว ทุกคนมากันแล้วสินะ”
เขายืนตรงโต๊ะครูที่ตั้งอยู่หน้าห้องเรียน ก่อนจะมองรอบห้องและพูดออกมา
“ฉันคาลโรว่า ในช่วง 3 ปีนี้จะเป็นครูประจำชั้นของพวกเธอ ขอแนะนำตัวง่ายๆก็แล้วกัน”
ครูประจำชั้นพูดออกมาคนเดียว มีทั้งคนที่ตั้งใจฟัง คนที่ฟังอย่างเหม่อลอย ถึงจะฟังกันหลากหลาย แต่เพราะรูปลักษณ์ภายนอกเช่นนั้น ทำให้ทุกคนฟังอย่างเงียบๆ
“ตามปกติฉันเป็นหัวหน้ากิลด์สาขาที่เมืองหลวง พรสวรรค์คือปรมาจารย์ดาบ ส่วนระดับของนักผจญภัยตอนนี้อยู่ระดับ A ได้ยินมาว่าปีนี้มียอดนักดาบเข้าเรียนด้วย เพราะอย่างนั้นเลยโดนเรียกให้มา”
เขาบอกว่าโดนจนได้พร้อมกับเกาศีรษะ ดูเหมือนจะถูกส่งมาจากกิลด์นักผจญภัยให้รับหน้าที่ที่เมืองแห่งการศึกษา 3 ปีเพื่อคุเรนะ
(ถูกส่งมาจากกิลด์นักผจญภัยเหรอ ถึงกิลด์นักผจญภัยจะเป็นอิสระจากราชอาณาจักร แต่กับพันธมิตร 5 ทวีปมันเป็นอย่างไรกันนะ แต่ถ้าถูกส่งมาอย่างนี้แสดงว่าน่าจะให้ความร่วมมือกันอยู่)
แล้วนึกถึงการต้อนรับที่สุภาพตอนไปสมัครตรานักผจญภัยขึ้นมา
“ครูประจำชั้นเลยต้องรับผิดชอบดูแลห้องนี้ แล้วเป็นผู้สอนดาบด้วย คนที่มีพรสวรรค์นักดาบหรือผู้ใช้ดาบ จะได้ฉันเป็นอาจารย์ฝึกสอน”
และเริ่มพูดถึงเรื่องที่ต้องเรียนในปี 1 พอพูดเสร็จ ก็บอกว่าวันนี้จบแค่นี้ ทำให้คิดว่าวันนี้มาเพื่อฟังครูประจำชั้นพูดอย่างเดียว
นักเรียนปี 1 ช่วงเช้าจะเรียนวิชาทั่วไป ส่วนช่วงบ่ายจะไปฝึกตามพรสวรรค์ของแต่ละคน ถ้าเป็นนักดาบก็ไปเรียนดาบ, ผู้ใช้หอกก็ไปฝึกหอก เนื่องจากมีอาจารย์ที่มีพรสวรรค์มากมายเลยทำการชี้แนะได้ และมีการเขียนไว้ว่าพรสวรรค์นี้ให้ไปรวมตัวที่ไหน ทำให้นักเรียนทุกคนเริ่มจดใส่กระดาษ
“อ้อ ใช่แล้ว เดือนกรกฎาคมกับเดือนกุมภาพันธ์จะมีการสอบ ถ้าคะแนนต่ำกว่า 40 จะถือว่าสอบตก ตั้งใจเรียนกันด้วย อ้อ อเลน”
(หือ?)
“ครับ”
“ดูเหมือนเธอจะได้คะแนนสูงสุดในวิชาประวัติศาสตร์”
“เอ๊ะ?”
สายตาของเพื่อนร่วมชั้นไปรวมตรงอเลนที่นั่งบริเวณหลังห้อง
“ดังนั้น อย่าเรียนแค่คนเดียว อยากให้ช่วยสอนเพื่อนๆเพื่อจบการศึกษาไปพร้อมกันที”
ทำไมมีแค่อเลนเท่านั้นที่โดนบอกอย่างนี้
(นี่มัน หรือว่าเรื่องของคุเรนะสินะ เฮ้ๆ อย่างนี้ไม่ใช่การให้ผ่านด้วยการประเมินต่ำไปสินะ)
คุเรนะชำเลืองมองอเลนด้วยสายตาที่ดูทึ่งๆ ดูท่าคงไม่รู้เรื่องเลยสินะ
“คะ ครับ เข้าใจแล้วครับอาจารย์”
“……อ้อ คิดว่าพวกเธอคงรู้อยู่แล้ว ในห้องเรียนนี้มีทั้งทาสติดที่ดิน ประชาชนแล้วก็ขุนนางอยู่ ถึงฐานะจะหลากหลาย แต่เป็นนักเรียนของโรงเรียน ดังนั้นพวกเธอไม่จำเป็นต้องพูดเคารพกันมาก สนิทๆกันไว้ซะ”
ครูประจำชั้นเหมือนจะนึกอะไรออกตอนได้ยินการใช้คำพูดของอเลน
ครูประจำชั้นบอกว่า เวลาเรียกกันเองไม่ต้องเติม “ท่าน” ต่อท้าย แล้วก็ถ้ามีการสร้างระดับอาวุโสนอกเหนือจากอาจารย์และลูกศิษย์แล้วละกะโดนตักเตือน
ไม่เกี่ยวว่าจะเป็นราชวงศ์หรือทาสติดที่ดิน ดูเหมือนไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพูดด้อยค่าทาสติดที่ดินหรือประชาชนให้มากเกินไป
นักเรียนที่ฟังอย่างเงียบๆมาโดยตลอด เริ่มส่งเสียงจอแจออกมาว่าจริงหรือเปล่า
เซซิลนั่งอยู่ด้านหลังอเลน ทำให้เขาพูดกับเธอทั้งที่ยังหันหน้าตรงอยู่
“เซซิล ต่อจากนี้ดูเหมือนจะไม่ต้องเรียกให้เกียรติแล้ว”
“……”
อเลนพูดราวกับจะบอกว่า “หลังจากนี้จะเรียกว่าเซซิลแล้วนะ” ทำให้เธอถึงกับแข็งทื่อไป
“หือ? เซซิลเป็นอะไรไปเหรอ?”
“เซซิลเป็นอะไรไป?”
อเลนกับคุเรนะมาพูดกับเซซิลที่เป็นอย่างนั้น แล้วตอนที่โดนเรียกห้วนๆหลายครั้งนั้น
“อ๊อก!”
“อะ อเลน ทำไมถึงพูดเรียกได้ง่ายๆอย่างไม่ลังเลเนี่ย? ตามปกติคิดยังไงกับฉันกัน?”
เซซิลยืนขึ้น และใช้แขนทั้งสองรัดคอของอเลน หรือก็คือโช้กสลีปเปอร์
“เอ๊ะ? อุ๊ก”
(นะ นี่มันที่สอนให้ใช้ป้องกันตัวที่คฤหาสน์นี่ สมเป็นเซซิลใช้ออกมาได้ในทันที อะ อึดอัด คะ ความทนทานทำหน้าที่หน่อยสิ พลังของนายไม่ได้มีแค่นี้นี่)
เลเวลเพิ่มขึ้นทำให้ความทนทานเพิ่มขึ้นอยู่ แต่รู้สึกส่งผลน้อยในการใช้ชีวิตประจำวัน ต่อให้พลังโจมตีเพิ่มมากขึ้นแต่มันก็ถูกปรับให้พอเหมาะเพื่อไม่ให้ติดขัดในการใช้ชีวิตประจำวัน ทำให้รู้สึกว่าความทนทานเองก็คงถูกปรับให้พอเหมาะเช่นกัน
“บอกมาซะ ภายในใจของอเลนเรียกฉันว่ายังไง? หรือว่าจะเป็นเซซิล?”
เซซิลกระซิบเบาๆให้อเลนได้ยินเพียงคนเดียว ถ้าตอบผิดนี่คงแย่แน่
“นะ แน่นอนว่าต้องคุณหนูเซซิลไงครับ ต้องเรียกอย่างนี้ อยู่แล้ว”
พยายามแก้ตัวออมาอย่างเต็มที่ว่า ว่าเรียกคุณหนูเซซิลอยู่ตลอด แต่มันรู้สึกเจ็บปวดใจเพราะต้องปฏิบัติตามกฎของโรงเรียน แต่เพราะโดนรัดคออยู่ทำให้แทบจะส่งเสียงออกมาไม่ได้
“นะ นี่ ไม่ได้บอกให้สนิทกันขนาดนั้นสักหน่อย……”
ครูประจำชั้นถึงกับพึมพำออกมาอย่างหน่ายๆ ตอนเห็นสภาพของอเลนกับเซซิล