บทที่ 126 ความวุ่นวาย 2
“……เหตุผลที่มาโรงเรียนเหรอ ต้องเล่าย้อนไปค่อนข้างไกลเลยนะ?”
เรื่องที่คีลมาโรงเรียนดูเหมือนอธิบายแค่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้วจะไม่เพียงพอ เลยถามว่าไม่เป็นอะไรใช่ไหมถ้าต้องเล่าเท้าความ
“ไม่เป็นไร”
“ถ้างั้น……”
คีลบอกมาว่าได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีจากไวเคานต์คาร์เนล มันเป็นเรื่องเมื่อนานมาแล้วเลยจำไม่ค่อยได้ แต่ยังมีความทรงจำตอนไปซื้อของสักอย่างแล้วมีคนรับใช้จำนวนมากตามไปด้วย
อย่างไรก็ตาม สภาพที่พรั่งพร้อมได้เปลี่ยนไปในพริบตา มันเกิดขึ้นในพิธีประเมินตอนอายุ 5 ขวบ
คีลมีพรสวรรค์ของบาทหลวง
เขาบอกว่าในระหว่างที่ทุกคนกำลังยินดีต่อผลการประเมิน กลับไม่มีทางลืมสีหน้าที่สิ้นหวังของไวเคานต์คาร์เนลได้เลย
หลังจากนั้นไม่นาน ก็ให้ออกจากเมืองคาร์เนลไปอาศัยอยู่ที่เมืองอื่นพร้อมกับคนรับใช้ไม่กี่คน ถึงจะไม่ได้ถามให้แน่ชัด แต่เขาบอกว่าเป็นคำสั่งของไวเคานต์คาร์เนล
“……”
เซซิลทำสีหน้าราวกับจะบอกว่ามีเรื่องอย่างนั้นด้วยหรือ
หลังจากนั้นก็ไม่ได้รับการศึกษาให้สมกับขุนนาง จนกระทั่งผ่านไป 7 ปี ค่าครองชีพที่ส่งมาจากไวเคานต์คาร์เนลก็ลดน้อยลง
ความทรงจำสุดท้ายที่นึกออกเกี่ยวกับไวเคานต์คาร์เนลคือตอนอายุ 5 ขวบ ส่วนน้องสาวอย่างนีน่าก็มาเล่นได้แค่ปีละ 1 ครั้ง
ตอนอายุ 10 ขวบ ยังไงก็ต้องไปโรงเรียนเลยส่งอาจารย์มาสอน ขุนนางที่มีพรสวรรค์ทุกคนจะได้รับมอบหมายหน้าที่ และถูกกำหนดไว้ว่าต้องไปโรงเรียนและผ่านการสอบเข้าให้ได้
พอได้ยินเรื่องนั้นจึงตระหนักได้ว่าตัวเองยังอยู่ในตระกูลคาร์เนล
แล้วความวุ่นวายก็เกิดขึ้นเมื่อปลายปีที่แล้ว
จู่ๆเหล่าอัศวินมาบ้านของคีลและล้อมจับทุกคน ในระหว่างที่ยังไม่รู้เรื่องราวอะไร เหล่าอัศวินก็ถามว่าเป็นลูกของไวเคานต์คาร์เนลใช่หรือไม่
พอตอบไปว่าใช่ เขาตอบแค่ว่า งั้นเหรอ ก่อนจะอยู่ภายใต้การดูแลของอัศวินโดยที่ไม่ได้รับการบอกอะไรเลย
หลังจากผ่านไปหลายวัน ราชทูตก็มาหาคีล
แล้วบอกว่าราชทูตได้บอกเรื่องราวให้ฟัง สิ่งนี้เป็นแผนการของตระกูลแกรนเวล ตระกูลคาร์เนลไม่สามารถหลีกเลี่ยงการโดนยุบได้ เพราะทางนู้นมีราชวงศ์เป็นพวก
และบอกด้วยว่า ในสถานการณ์อย่างนี้ไม่รู้ว่าคีลและน้องสาวอย่างนีน่าจะโดนขายให้กับที่ไหน อย่างดีคงได้ใช้ชีวิตในฐานะประชาชน
เขาบอกว่าพอได้ยินอย่างนั้นถึงกับสิ้นหวัง ก่อนจะบอกว่าขอให้ช่วยแค่น้องสาวก็ยยังดี แต่โดนบอกมาว่าทั้งหมดเป็นสิ่งที่กษัตริย์ได้ตัดสินไว้แล้ว
คิดว่าชีวิตคงจบสิ้นโดยที่ไม่รู้เรื่องราวใดๆ แต่เรื่องพูดของราชทูตยังไม่จบเพียงแค่นั้น
เขาถามว่าฉันมีพรสวรรค์ที่ล้ำค่าอย่างบาทหลวงอยู่ใช่ไหม
พอตอบไปว่าใช่ ราชทูตก็แจ้งออกมาต่อ
“ราชทูตบอกว่าถ้าหากฉันทำหน้าที่ของขุนนางครบ 5 ปี จะไปช่วยพูดกับกษัตริย์ว่าจะให้ฉันขึ้นเป็นเจ้าเมืองคนปัจจุบันเพื่อฟื้นฟูตระกูลคาร์เนล”
เขาบอกมาว่ามีอาณาเขตที่โดนปกครองโดยมอนสเตอร์ที่อันตรายอยู่ ขุนนางมีหน้าที่ต้องไปต่อสู้เพื่อราชอาณาจักรเป็นเวลา 3 ปี แต่เพราะครอบครัวของเจ้าก่อความผิด จำเป็นต้องรับหน้าที่เป็นเวลา 5 ปี ถึงจะชดใช้ความผิดทั้งหมดได้
คีลตอบทันที่ว่าจะทำ และอยากให้นีน่ามาที่เมืองแห่งการศึกษาด้วย พร้อมกับบอกราชทูตว่าอยากจะขอพาคนรับใช้ไร้ญาติ มาคอยดูแลคีลกับนีน่าด้วย
เขาตอบรับว่าถ้าแค่นั้นก็ได้ ทำตามใจชอบได้เลย ก่อนจะกลับมาที่เมืองคาร์เนลเพื่อช่วยโบสถ์จนถึงเดือนเมษายน
ดูเหมือนค่าเล่าเรียนราชวงศ์จะเป็นคนออกให้ ส่วนค่าครองชีพในโรงเรียนที่ได้มาเอาไปจ่ายเป็นค่าเดินทางของทุกคนจนหมดแล้ว
“……ถึงฉันจะสาปแช่งชิงชังพรสวรรค์นี้มาโดยตลอด แต่พรสวรรค์นี้มันมีความหมายอยู่ มันมีความหมายอยู่ไง……”
ภายในคีลมีอะไรบางอย่างเอ่อล้นออกมา ถึงจะรู้สึกโชคร้ายแต่ไม่เคยปริปากพูดออกมา ทุกคนนิ่งเงียบฟังคีลพูดจนจบ
“ฉันจะต้องฟื้นฟูตระกูลคาร์เนลให้ได้ ฉันตัดสินใจไว้แล้วว่าจะเป็นเจ้าเมืองเพื่อทวงสถานที่ให้แก่เหล่าครอบครัวที่คอยติดตามฉันซึ่งไม่เหลืออะไร”
คีลบอกว่านี่คือเรื่องงที่เขารู้ทั้งหมด ก่อนจะจบบทสนทนา
ทั้งคุเรนะและโดโกร่า ฟังชีวิตที่ตกต่ำของคีลด้วยใบหน้าที่เศร้าสร้อย
แล้วอเลนก็พูดขึ้นมา
“นี่ แล้วได้บอกมาหรือเปล่าว่าสถานที่มอนสเตอร์พวกนั้นอยู่เป็นสถานที่แบบไหน”
“เอ๊ะ? หมายความว่ายังไง?”
(กะแล้วเชียว คงบอกแค่ว่ามีมอนสเตอร์อยู่เยอะ คงไม่จำเป็นต้องบอกทั้งหมดสินะ ยังไงปีหน้าต้องเรียนประวัติศาสตร์จอมมารที่โรงเรียนอยู่ดี)
“ไม่รู้งั้นเหรอ แต่ก็ดีเลย คีลเองมีหน้าที่เหมือนกันสินะ?”
(อยากให้บอกเร็วกว่านี้)
“หา!? ก็ดีเลยอะไรกัน!!”
“ปาร์ตี้นี้นอกจากคีลแล้ว ยังมีอีก 2 คนที่มีหน้าที่อยู่ด้วยไง”
เซซิลที่เกิดเป็นขุนนาง กับคุเรนะที่มีพรสวรรค์ของยอดนักดาบ พร้อมบอกไปว่าอเลนและโดโกร่ามีแผนจะไปสนามรบที่ถูกปกครองโดยมอนสเตอร์พร้อมกับสองคนนั้นอยู่
“……แล้วอยากจะบอกอะไรกันแน่”
คีลถามหาความหมายที่แท้จริงของคำพูดอเลนในขณะที่ยังคงจ้องมอง
“ดูเหมือนจะมีเป้าหมายเดียวกันไง ไปทำหน้าที่ให้ลุล่วงด้วยกันเถอะ”
“จะ จะบ้าหรือเปล่า! นายได้ยินเรื่องที่เล่าหรือเปล่า……ฉันเป็นลูกของไวเคานต์คาร์เนลนะ”
“เรื่องแค่นั้นไม่มีปัญหาหรอก”
“ระ เรื่องแค่นั้น……?”
เขาประหลาดใจกับคำพูดของอเลนมาก แล้วจะให้อธิบายมาถึงตรงนี้ทำไมเนี
อเลนเข้าใจถึงสถานการณ์ในตอนนี้
(ถึงอย่างนั้น คิดว่ามันน่าประหลาดอยู่ ปกติมันเป็นอย่างนี้อยู่แล้วสินะ ไม่มีทางที่จู่ๆจะมามีเป้าหมายเดียวกันได้หรอก)
จำได้ว่าเกมที่อเลนในโลกก่อนหาเพื่อนได้อย่างง่ายดาย ความทรงจำที่ได้เพื่อนเพิ่มเข้ามาเรื่อยๆตั้งแต่แรกก็มี ภายในนั้นมีที่ได้เพื่อนในร้านเหล้าของเมืองแรกด้วย
คิดว่ามันแปลกมาโดยตลอด ทำไมถึงหาเพื่อนที่เตรียมตัวเตรียมใจเสี่ยงชีวิตไปปราบลาสบอสได้อย่างง่ายดายขนาดนั้น
พอมาใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างโลกทำให้พอจะเข้าใจ แต่มันก็ไม่ได้มีเพียงแค่นั้น
เบื้องหน้าของอเลน มีเด็กหนุ่มอายุ 12 ปีที่ตั้งใจจะฟื้นฟูตระกูลเพื่อน้องสาวและคนรับใช้ไร้ญาติ
จุดประสงค์ของผู้ชายคนนี้ไม่ใช่การกำจัดจอมมาร
“คีลอาจจะยังเคยได้ยินก็ได้ แต่สถานที่มอนสเตอร์อยู่เยอะนั้น มีเกินครึ่งที่เสียชีวิตภายในเวลา 3 ปีและมากถึง 70% ถ้าอยู่ถึง 5 ปี มอนสเตอร์ส่วนใหญ่เป็นระดับ B ขึ้นไป เรื่องพวกนี้ราชทูตได้บอกหรือเปล่า? หรือเขาบอกว่าเป็นเรื่องง่ายๆ?”
คีลทำตาลุกโพรงด้วยความประหลาดใจ มอนสเตอร์ระดับ B ใครๆก็รู้ว่ามันอันตรายขนาดไหน
5 ปี เป็นช่วงเวลารับราชการทหารของอาชญากรผู้มีพรสวรรค์
(กะแล้วว่าต้องไม่ได้บอกให้รู้ สภาพอย่างนี้คงบอกแค่ว่าอันตรายเพราะมีมอนสเตอร์เยอะเท่านั้น ไม่ได้บอกเกี่ยวกับเรื่องของจอมมาร)
สีหน้าที่ประหลาดใจของคีลกลับมาเป็นปกติ
“แล้วมันยังไง? สิ่งที่ฉันต้องทำยังไงก็ไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ดี”
(นั่นสินะ นายเองก็มีอยู่แล้วสิ)
คีลคงเตรียมตัวเตรียมใจยิ่งกว่าใครๆ ถึงขนาดที่ใช้เงินค่าครองชีพในโรงเรียนทั้งหมดเพื่อครอบครัว
“พวกฉันรู้จักสถานที่นั้นเลยลุยดันเจี้ยน เพราะรู้ว่ามันอันตรายขนาดไหนไง ช่วงเวลาแค่ 3 ปีมันแค่พริบตาเดียวเท่านั้น”
“……อย่างงั้นเหรอ”
ดูเหมือนคีลเองคงจะสงสัยมาตลอดว่าทำไมพวกอเลนถึงได้ยึดติดกับดันเจี้ยนมากนัก สิ่งนั้นเป็นการเตรียมตัวสำหรับการต่อสู้ที่จะเริ่มหลังจบการศึกษาของพวกพ้อง
“คีล มากับพวกฉันสิ ไปสู้ด้วยกัน นี่เป็นการต่อสู้ร่วมกัน เป้าหมายไม่เหมือนกันก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลยนี่?”
(การต่อสู้กับกองทัพจอมมารหรือต่อสู้กับจอมมารเป็นอย่างเดียวกัน ไม่ได้หลอกสักหน่อย กลับกันอาจจะทำให้ฟื้นฟูตระกูลได้เร็วกว่าก็ได้)
ถ้าพูดถึงกองทัพจอมมารที่นี่มันจะดูยุ่งยาก เลยคิดว่าไว้พูดวันหลังก็แล้วกัน
“ต่อสู้ร่วมกัน?”
“ใช่แล้ว คีลต่อสู้เพื่อเป้าหมายของคีลก็พอ”
คีลที่ได้ยินถึงขนาดนั้นก็สับสนว่าควรทำอย่างไรดี การออกไปจากที่นี่นั้นง่ายดายแต่ถ้าอย่างนั้นแล้วนีน่ากับคนรับใช้จะเป็นอย่างไร คงต้องกลับไปใช้ชีวิตที่ยากจนต่อ
คนที่จะเป็นเจ้าตระกูลคาร์เนลเพื่อฟื้นฟูตระกูล ไม่ต้องคิดก็รู้แล้วว่าควรจะทำเช่นไร
“ฉะ ฉันจะใช้ประโยชน์จากยอดนักดาบเพื่อเป้าหมายของตัวเองนะ บอกไว้ก่อนเลยว่าจะใช้ความแข็งแกร่งของพวกนายเพื่อครอบครัวของตัวเอง อย่างนั้นก็ได้เหรอ?”
(อย่างนั้นก็ได้ แต่ไม่จำเป็นต้องบอกออกมาก็ได้นะ นายเนี่ยเป็นคนดีจริงๆ)
“อืมๆ ไปสู้ด้วยกันเถอะ!”
คุเรนะตอบสนองต่อคำว่ายอดนักดาบ ก่อนจะยื่นมือไปหาคีล
“……อะไรกัน?”
คำพูดของคุเรนะเสียดแทงเข้าไปในอกของคีล รอยยิ้มไร้กังวลที่แทบจะทำให้รู้สึกผิด
“ตัดสินได้แล้วสินะ ต่อจากนี้ก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วย เซซิลกับโดโกร่าก็ด้วย โอเคใช่ไหม?”
เรื่องสำคัญคือการตัดสินใจเป็นพวกเดียวกัน
“ก็อย่างนั้นเลย ไม่นึกเลยว่าจะต้องมาอาศัยอยู่กับตระกูลคาร์เนล ฉันคงเป็นคนแรกของตระกูลแกรนเวลเลยก็ได้นะเนี่ย”
“ไม่มีปัญหา คีลเป็นพเพื่อนของพวกเราอยู่แล้วนี่ ให้พูดตามตรง ถึงตอนกลางๆจะไม่รู้ว่าพูดเรื่องอะไรก็ตามที”
ดูเหมือนโดโกร่าจะไม่เข้าใจถึงความวุ่นวายที่เกิดขึ้นกับตระกูล
“เอาละ ยังอยู่ระหว่างกินอาหาร แถมดูท่าจะยังกินกันไม่อิ่มเสียด้วย มากินเลี้ยงต้อนรับต่อกันเถอะ”
“อืมๆ ไปเรียกทุกคนกัน!”
“อะไรกันเนี่ย……”
คุเรนะขึ้นไปข้างบนด้วยรอยยิ้มต่อคำพูดของอเลน ส่วนคีลยังตามสถานการณ์ไม่ทัน เซซิลถอนหายใจพร้อมกับบอกว่าถ้านายชินกับมันได้เร็วๆก็คงจะดีอยู่