บทที่ 149 งานเลี้ยงต้อนรับ 2
โรงเรียนเปิดภาคเรียนในเดือนเมษายน มาถึงวันแรกก็โดนบอกให้ช่วยดูแล 2 เอลฟ์ กับ 1 คนแคระ
อเลนชวน 3 คนไปที่โรงอาหาร ที่นี่เป็นโรงอาหารสำหรับนักเรียนปี 2 ที่อยู่ใกล้ตึกเรียน โดยมีเหล่านักเรียนล้อมวงคุยกับเอลฟ์และคนแคระอยู่ทุกหนทุกแหง
ดูเหมือนทุกคนคงคิดเหมือนกันที่มากินข้าวพร้อมกับกระชับมิตรไปด้วย
แนะนำตัวอีกครั้งพร้อมกับพูดเรื่องที่จะทำหลังจากนี้
โดยบอกไปว่าปัจจุบันพวกอเลนลงดันเจี้ยนทุกวัน เพราะอาจารย์ประจำชั้นบอกว่าให้ช่วยดูแล เลยถามไปว่าอยากะทำอะไร หรือคาดหวังอะไรไว้หรือเปล่า
แล้วโซฟี่ก็ตอบมาทันทีว่า ฉันอยากจะลงดันเจี้ยนด้วย เพราะตอบออกมาทั้งที่ยังพูดไม่จบเลยชะงักไปนิดหน่อย เอลฟ์ที่ชื่อฟอร์มาร์ดูเหมือนจะให้ความสำคัญกับความเห็นของคนที่ต้องคอยคุ้มครองเลยไม่พูดอะไร
ทางด้านเมรูรุบอกว่า ผมเองอยากไปดันเจี้ยนด้วยแต่มีปัญหาบางประการอยู่ ถ้าจะให้เล่าเรื่องมันค่อนข้างยาว แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็อยากจะไปด้วย
เลยตัดสินใจเข้าปาร์ตี้ ‘เกมเมอร์หมกมุ่น’ คิดว่าการคุยคืบหน้าไปได้ด้วยดี
และถามเกี่ยวกับเรื่องที่อยู่หลังจากนี้
พวกอเลนมีฐานอยู่แล้ว โดยทั้ง 5 คนอาศัยอยู่กับครอบครับและคนรับใช้ เลยถามไปว่ายังมีห้องว่างเหลืออยู่จะเอาอย่างไร ซึ่งโซฟี่ตอบก่อนที่จะพูดจบว่า ขออาศัยอยู่ด้วย หรือว่าเอลฟ์จะชอบตอบก่อนที่จะพูดจบกันนะ
เลยบอกไปว่าถ้าถึงวันหยุดจะให้ทุกคนไปช่วยย้ายของ
พอจบคาบเรียนตอนบ่าย เลยบอกอาจารย์ประจำชั้นว่าอยากจะขอเข้าพบผู้อำนวยการ
เนื้อหาที่จะไปคุยเกี่ยวกับจะให้ 3 คนนี้ไปที่ฐาน
โซฟี่เองก็พูดขอร้องอย่างเป็นทางการ ในระหว่างที่คุยทำให้รู้ว่าเธอมีตำแหน่งที่สูงกว่าผู้อำนวยการที่เป็นเชื้อพระวงศ์ โดยเธอบอกต่อว่าประเทศเอลฟ์ศรัทธาในราชาแห่งภูต และผู้มีสิทธิ์ปกครองแท้จริงคือราชินี
ไหนจะบอกต่อว่าโซฟี่เป็นไฮเอลฟ์ที่มีสิทธิ์สืบบัลลังก์ ส่วนผู้อำนวยการที่เป็นไฮเอลฟ์เหมือนกันไม่มีสิทธิ์สืบบัลลังก์
ทั้งที่เกิดในราชวงศ์ แต่เพราะไม่มีสิทธิ์สืบบัลลังก์ เลยต้องมาทรมานรับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการของประเทศเล็กๆ อย่างนี้
อเลนคิดว่าประเทศเอลฟ์คงใช้ระบบราชินี
หลังจากนั้นก็พูดเกี่ยวกับเรื่องของเมรูรุ
ได้ยินมาว่าเมรูรุมีพรสวรรค์ “นายพลศิลาเวท” เป็นสกิลหายากที่ 10 ล้านคนจะโผล่มาสักคน และอยากไปฝึกฝนในดันเจี้ยน
หลังจากนั้นผ่านไป 4 วัน ก็มาถึงวันหยุด
ทุกคนมาช่วยย้ายสัมภาระของทั้ง 3 คนจากหอพักโรงเรียนไปที่ฐาน
เนื่องจากเพิ่งมาถึงโรงเรียน และหอพักของโรงเรียนมีพวกเครื่องเรือนอยู่แล้ว ทำให้มีสัมภาระแค่นิดหน่อย เพราะอย่างนั้นเลยจบด้วยการให้รถม้าขนแค่ 1 รอบ
คืนวันนั้นได้จัดเลี้ยงต้อนรับเพื่อนใหม่ทั้ง 5 คน
ทำไมถึงเป็น 5 คน นั่นก็เพราะว่าโซฟี่มีคนรับใช้เอลฟ์มาด้วย 2 คน
(คนเพิ่มขึ้นเยอะนะเนี่ย ดีนะที่เอาฐานใหญ่พักได้ถึง 20 คน)
อเลน คุเรนะ เซซิล โดโกร่า และคีล รวม 5 คน
น้องสาวของคีลกับคนรับใช้ของตระกูลคาร์เนลรวม 7 คน
คนรับใช้หญิงของตระกูลแกรนเวล 1 คน
โซฟี่กับฟอร์มาร์และคนรับใช้รวมเป็น 4 คน
เมรูรุ 1 คน
ฐานที่อยู่ได้ 20 คน พอขึ้นเดือนเมษายนมีคนใหม่เข้ามาอีก 5 คน รวมทั้งสิ้น 18 คน
อนึ่ง คนรับใช้หญิงของตระกูลแกรนเวล ไวเคานต์แกรนเวลเป็นคนให้มาเอง
เขากล่าวไว้ว่าการให้คนรับใช้ของตระกูลคาร์เนลดูแลอย่างเดียวมันดูไม่ดี เลยส่งมาให้ 1 คนเพื่อควบคุมสมดุลของขุนนาง ตั้งแต่เดือนตุลาคมปีที่แล้ว ก็มีคนมาคอยดูแลเซซิล 1 คน ซึ่งค่าจ้างไวเคานต์เป็นคนออกให้
ในระหว่างที่คิดว่าพอไม่ได้ใช้รถไฟเวทมนตร์แล้วค่อนข้างใช้เวลานาน รถม้าก็มาถึงฐานสักที คุเรนะกับเซซิลที่นั่งรถไฟเวทมนตร์กลับมาฐานก่อนได้ออกมาต้อนรับ
‘ยินดีต้อนรับกลับมาฆ่า’
“อือ กลับมาแล้ว”
สัตว์อัญเชิญวิญญาณ C ออกมารับถึงตรงสวน อาจจะทำให้คนที่อยู่รอบๆคิดว่าบ้านนี้เป็นบ้านผีสิงก็ได้
“““……”””
เอลฟ์กับคนแคระจ้องมองตุ๊กตาลอยได้ เลยบอกว่าไว้จะอธิบายทีหลัง ให้เอาสัมภาระไปวางไว้ในฐานก่อน
ก่อนอื่นก็วางสัมภระไว้ที่ห้องของแต่ละคน
คิดอยู่ว่าคนรับใช้ของคีลจะคิดอย่างไรตอนที่เอลฟ์กับคนแคระมาที่นี่ แต่เพราะอเลนทำให้พวกเขามีความสามารถในการปรับตัวสูงและยอมรับได้ทันที ถ้าเทียบกับตุ๊กตาลอยได้แล้ว เอลฟ์กับคนแคระคงไม่ใช่เรื่องที่น่าประหลาดใจสักเท่าไรก็ได้
และทำอาหารหรูหราเลี้ยงต้อนรับทุกคน
“หือ? คนรับใช้ของโซฟี่ก็มานั่งด้วยกันสิ”
จะว่าไปยังไม่ได้ถามชื่อเลย
““ไม่เป็นไรค่ะ””
(เสียงประสานกันด้วย จะว่าไปดูเหมือนฝาแฝดเลย หรือจะเป็นทฤษฎีที่บอกว่าจะเห็นคนต่างเผ่าหน้าตาเหมือนกันหมด? คนแคระทุกคนจะดูเหมือนเมรูรุหรือเปล่านะ)
มีทฤษฎีที่อเลนไม่เข้าใจเพิ่มขึ้นมาอีก
“เอาเถอะน่า ประเพณีของโรงเรียนนี้คือไม่มีทั้งขุนนาง เชื้อพระวงศ์หรือราชินี ไหนๆก็เป็นงานเลี้ยงต้อนรับแล้ว ทุกคนมาสนุกด้วยกันเถอะ”
เพราะคนรับใช้เพิ่มขึ้น ทำให้อาหารหรูหราขึ้น
อาหารหรูหราต่างจากงานเลี้ยงต้อนรับคีลเมื่อปีที่แล้ว
อาหารที่ทุกคนตั้งใจทำเรียงรายอยู่โต๊ะใหญ่ที่นั่งได้ 20 คน คุเรนะเองถึงกับตาลุกวาว
อ้างคำพูดของผู้อำนวยการเพื่อให้นั่ง
“ถ้าท่านอเลนบอกอย่างนั้นแล้วละก็ มานั่งกันเถอะค่ะะ”
““คะ ค่ะ””
(ท่านอเลนเหรอ)
ทำไมโซฟี่ถึงเรียกอเลนว่าท่านอเลน ดูเหมือนเธอไม่สนกฎของโรงเรียนที่ผู้อำนวยการกำหนดไว้ว่าไม่ต้องเรียกให้เกียรติ
“มีเพื่อนใหม่ 5 คนมาที่ฐานนี้ ทุกคนสนิทกันเข้าไว้นะ”
“““ครับ/ค่ะ”””
อเลนทักทายอย่างเรียบง่ายและเริ่มงานเลี้ยงต้อนรับ คุเรนะพูดว่า “เอาละ” ก่อนจะยื่นมือไปหาอาหารอย่างไว
โต๊ะที่นั่งกันอยู่ 18 คน มี 4 คนที่ยังไม่ยื่นมือไปหยิบอาหารและกำลังสวดภาวนาอยู่
เหล่าเอลฟ์กำมือทั้งสองข้างไว้บนโต๊ะ และพึมพำอะไรอยู่ อเลนมองดูสภาพนั้น
“สวดภาวนาให้กับท่านราชาแห่งภูตเหรอ?”
เพราะสวดภาวนาเสร็จแล้ว เลยลองถามโซฟี่ดู
“ค่ะ ที่พวกฉันยังอยู่ตรงนี้ได้เพราะท่านราชาแห่งภูติค่ะ”
จากสัญญาที่ราชินีเอลฟ์ทำกับโรเซนราชาแห่งภูต ทำให้เหล่าเอลฟ์ได้รับเวทมนตร์แห่งภูตมา หากไม่มีสิ่งนั้นโรเซนเฮมประเทศของเอลฟ์อาจจะล่มสลายเพราะกองทัพจอมมารไปแล้วก็ได้
ในขณะที่มองเมรูก็คิดว่าประเทศ สายพันธ์และวัฒนธรรมคงแตกต่างกันอยู่ เพราะเธอกินอาหารโดยไม่สวดภาวนา
“ประเทศของเมรูรุไม่มีการสวดภาวนาสินะ”
“อือ ท่านดิกรักนิบอกว่าไม่ต้องทำอย่างนั้นก็ได้”
“ท่านดิกรักนิ?”
เพิ่งเคยได้ยินชื่อนี้เป็นครั้งแรก ทำให้คิดว่าน่าจะเป็นผู้มีชื่อเสียงของจักรวรรดิบาวกีส
“อือ ท่านดิกรักนิเป็นดันเจี้ยนมาสเตอร์ที่เหล่าคนแคระศรัทธาไง ดูเหมือนกำลังดีใจที่อีกไม่นานจะได้เลื่อนเป็นกึ่งเทพด้วย”
“ดันเจี้ยนมาสเตอร์? กี่งเทพ?”
เมรูรุพูดเรื่องเกี่ยวกับดิกรักนิ โดยบอกว่าเขาเป็นดันเจี้ยนมาสเตอร์ที่ควบคุมทุกดันเจี้ยน และอุปกรณ์เวทมนตร์ทุกอย่างเดิมทีเป็นเครื่องมือที่ดิกรักนิสร้างขึ้นมา โดยเหล่าคนแคระได้เลียนแบบและปรับปรุงสิ่งเหล่านั้นจนได้ใช้ของที่สะดวกสบายอย่างเรือเหาะเวทมนตร์ รถไฟเวทมนตร์ และอุปกรณ์เวทมนตร์อื่นอย่างโคมไฟเวทมนตร์ด้วย
ดังนั้นคนแคระส่วนใหญ่จะนับถือดิกรักนิ
(อ้อ ดังนั้นลูกบาศก์ที่อยู่ในดันเจี้ยนเองก็คงเป็นระบบอะไรสักอย่างสินะ จะบอกว่าเป็นอุปกรณ์เวทมนตร์มันก็ใช้อยู่หรอก)
เพราะเอลฟ์กับคนแคระมา ทำให้เปิดโลกกว้างขึ้น
“เมรูรุ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการเป็นกึ่งเทพเหรอ?”
เซซิลเองก็เข้าร่วมบทสนทนา อนึ่ง เกี่ยวกับการเรียกชื่อได้บอกไปแล้วว่าให้เรียกชื่อห้วนๆได้เลย
มีแค่โซฟี่เท่านั้นที่เรียกอเลนว่า “ท่านอเลน” แต่กับคนอื่นก็เรียกชื่อห้วนๆ
“เรื่องนั้น เอ่อ แบบว่า……”
เมรูรุพูดติดขัด ดูเหมือนเธอจะไม่รู้เรื่องนี้
“เกี่ยวกับเรื่องนั้น การสวดภาวนาของเหล่าผู้คนทำให้เทพถือกำเนิดขึ้นมาค่ะ”
โซฟี่บอกเกี่ยวกับเทพและการสวดภาวนา ราชาแห่งภูตเองแรกเริ่มก็เป็นแค่ภูต เพราะเหล่าเอลฟ์ให้ความไว้วางใจและสวดดภาวนาเรื่อยมา ผลนั้นทำให้ภูตได้เป็นราชาแห่งภูต และกลายเป็นกึ่งเทพ
ถ้าหากสวดภาวนาต่อไปจากกึ่งเทพจะกลายเป็นเทพ และเธอบอกว่าเอลฟ์ปรารถนาให้ราชาแห่งภูตได้เป็นเทพ
และดิกรักนิที่ควบคุมดันเจี้ยนเอง จากการที่เหล่าคนแคระได้สวดภาวนาต่อมาเรื่อยๆ อีกไม่นานจะได้เป็นกึ่งเทพแล้ว
“แบบว่า แต่ละประเทศก็แตกต่างกันนะเนี่ย”
คีลเองก็ได้เปิดโลกกับสิ่งที่ได้ฟังจากโซฟี่
“แล้วเรื่องดันเจี้ยนจะเอาไงเหรอ? ถึงจะยังไม่ได้คุยกัน แต่จะไปลุยดันเจี้ยนระดับ B ใหม่ไหม?”
โดโกร่าถือเนื้อด้วยมือข้างหนึ่ง ก่อนจะถามเกี่ยวกับเรื่องต่อจากนี้ โซฟี่ ฟอร์มาร์และเมรูรุผ่านดันเจี้ยนระดับ C กันแล้ว แต่ยังไม่ผ่านดันเจี้ยนระดับ B
ตอนนี้พวกอเลนผ่านดันเจี้ยนระดับ A 3แห่งจนกลายเป็นนักผจญภัยระดับ A แล้ว
และตอนนี้อยู่ระหว่างลุยดันเจี้ยนระดับ A แห่งที่ 4 อยู่ โดยดันเจี้ยนระดับ A แห่งที่ 4 นี้น่าจะผ่านได้ตอนเดือนกรกฎาคม หลังจากนั้นค่อยไปหาและผ่านดันเจี้ยนระดับ A ที่ราชอาณาจักรสักแห่ง ถ้าทำอย่างนั้นแล้วจะได้รับตั๋วเชิญไปยังดันเจี้ยนระดับ S
ถึงจะพูดแค่ว่าให้ทั้ง 3 คน เข้าปาร์ตี้ ‘เกมเมอร์หมกมุ่น’ แต่ยังไม่ได้บอกเลยว่าหลังจากนี้จะทำอย่างไรกันต่อ เขาเลยพูดออกมาว่าจะไปผ่านดันเจี้ยนระดับ B ใหม่อีกครั้งเพื่อทั้ง 3 คนหรือเปล่า
สายตาของทุกคนจับจ้องไปที่อเลย ถึงทุกคนจะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน แต่ความเห็นและความคิดของอเลนมันช่วยได้เยอะกว่า เลยอยากถามว่าจะเอาอย่างไร
“ไม่หรอก จะลุยดันเจี้ยนระดับ A ทั้งอย่างนี้และให้จบตอนเดือนกรกฎาคม และในขณะเดียวกันจะให้พวกโซฟี่ผ่านดันเจี้ยนไปเรื่อยๆ”
“หือ? หมายความว่ายังไง?”
“แยกปาร์ตี้ไง”
“““แยกปาร์ตี้?”””
อเลนพูดเกี่ยวกับแผนการลุยดันเจี้ยนหลังจากนี้ให้ฟัง