ชิราคาวะ รูนะ สาวสวยเบอร์หนึ่งของโรงเรียน
การมีตัวตนอยู่ของเธอเป็นที่รู้จักกันดีนับตั้งแต่ที่เธอได้เข้ามาเป็นเด็กใหม่และแม้แต่คนที่ดูมืดมนอย่างผมเองก็ยังเคยได้ยินข่าวลือเรื่องที่ว่า “เธอเป็นสาวสวยอันดับหนึ่งของโรงเรียน” ตั้งแต่ช่วงแรกๆแล้ว
“เป็นเบอร์หนึ่งของชั้นปี” คำๆนี้เป็นเพียงแค่คำที่ทุกคนโมเมเรียกกันเองเพราะคิดว่ามันสะดวกดี อีกอย่างก็เพราะว่าไม่มีใครรู้ด้วยว่านักเรียนหญิงทุกคนในโรงเรียนนั้นหน้าตาเป็นอย่างไร? แต่ผมเองก็คิดว่า มันก็มีความเป็นไปได้สูงที่เธอจะเป็น “สาวสวยอันดับหนึ่งของโรงเรียนอย่างที่เขาว่ากันจริงๆ” และชิราคาวะซังเองก็ยังมีข่าวลือหนาหูที่ทำให้หัวใจพวกผู้ชายกระสับกระส่ายอยู่เหมือนกัน นั่นก็คือ “เธอคือยัยร่าน ที่ชอบทำเรื่องอย่างว่าและเปลี่ยนแฟนบ่อยเป็นว่าเล่นเพียงเพราะเธอรู้สึกว่าผู้ชายเพียงแค่คนเดียวมันไม่เพียงพอสำหรับเธอ” อะไรทำนองนั้น ดูเหมือนว่าคนที่เธอคบด้วยอย่างน้อยๆก็ได้ราวๆสามเดือนและรสนิยมเรื่องผู้ชายของเธอที่เธอเลือกออกเดทด้วยก็แตกต่างกันออกไปตั้งแต่คนมีอายุหน่อยๆจนถึงรุ่นราวคราวเดียวกัน
“ถ้าเป็นอย่างนั้นชั้นเองก็ยังพอมีโอกาสอยู่บ้างสินะ?” พวกผู้ชายที่หิวโหยทั้งหลายที่ได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับชิราคาวะก็พากันคิดเช่นนั้น จนผมก็อดคิดไม่ได้ว่ามันก็ดูตลกดีที่เห็นผู้ชายมารุมล้อมเธอเหมือนฝูงหมาไฮยีน่าแม้ว่าหน้าตาของพวกนั้นจะไม่ได้ครึ่งณเดชน์เลยก็ตาม
อ่า ใช่เพราะผมรู้ซึ้งถึงสถานที่ของตัวผมเองดีและไม่เคยคิดคาดหวังที่จะได้ออกเดทกับ ชิราคาวะซังเลย ผมคิดว่าแค่ได้มองเธอห่างๆอย่างห่วงๆเป็นครั้งคราวจากที่ไกลๆแค่นั้นมันก็เพียงพอแล้วล่ะ สำหรับผมแล้วการมีตัวตนอยู่ของชิราคาวะซังก็เปรียบดั่งดวงอาทิตย์ เพราะเธอสดใสมากจนผมมองเธอตรงๆไม่ได้ และถ้าผู้ชายที่มืดมนอย่างผมเข้าใกล้เธอมากเกินไป ก็อาจจะถูกเผาเป็นเถ้าถ่านก่อนที่จะได้กรีดร้องออกมาด้วยซ้ำ
ยิ่งดวงอาทิตย์ส่องสว่างมากแค่ไหน เงาก็ยิ่งมืดทึบลงมากเท่านั้น ยิ่งชิราคาวะซังดูสวยใสและเปล่งปลั่งมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งรู้ตัวเองว่าตัวผมมันมืดมนมากเท่านั้น ผมไม่เคยคิดที่จะคุยกับเธอเลยจริงๆ เพราะถ้าคุณเป็นพวกมืดมนล่ะก็ แค่เก็บความชื่นชมที่มีต่อชิราคาวะซังไว้ในใจของคุณเองก็เพียงพอแล้วล่ะ นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะได้ใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนที่แสนสงบสุขนี้ได้
เมื่อผมขึ้นชั้นมัธยมปลายปีที่สอง ความคิดแรกของผมที่ผุดขึ้นมาก็คือ
“โชคดีจังเลยนะ ที่ได้เรียนอยู่ห้องเดียวกับชิราคาวะซัง”
ชิราคาวะซังสวยมากจริงๆ ความสวยของเธอไม่ด้อยไปกว่าพวกดาราวัยรุ่นที่ปรากฏในหน้าจอทีวีเลย ในความคิดของผมเธอดูดีกว่าซะด้วยซ้ำ ด้วยดวงตาที่กลมโตและขนตาที่ยาว ปีกจมูกเล็กๆและดั้งจมูกตั้งตรงและริมฝีปากที่น่ารัก ด้วยส่วนประกอบทั้งหมดเหล่านี้ ได้รับการจัดวางอย่างสมดุลบนใบหน้าเล็กๆของเธอ
รูปร่างของเธอก็โดดเด่นเช่นเดียวกันและเมื่อคุณเห็นเธอเดินมาจากระยะไกล เธอดูเหมือนนางแบบก็มิปาน ถึงเธออาจจะไม่ผอมเหมือนพวกนางแบบจริงๆก็เถอะ แต่ต้นขาของเธอที่ยื่นออกมาจากกระโปรงสั้นของเธอก็มีเนื้อหนังจัดว่าอยู่ในปริมาณที่เหมาะสมและภาพเงาของหน้าอกของเธอที่มีขนาดใหญ่ก็กระเพื่อมไปมาจากกระดุมสองหรือสามเม็ดที่ถูกแกะออกจากด้านบน นี่มันของโครตดีย์ ! ผมยาวหยักศกพร้อมกับสีผมอ่อนๆของเธอดูเหมือนจะยิ่งเพิ่มความเซ็กซ์ซี่ให้กับเธอเข้าไปอีก
ถ้าชั้นคบกับเธอได้ล่ะก็….
ถ้าหากว่าชั้นได้คบกับเธอแล้วล่ะก็ !!
ผมคิดว่ามีผู้ชายไม่น้อยเลยล่ะที่มีอาการหลงผิดแบบนี้ และเพื่อที่จะได้เปลี่ยนความฝันเหล่านั้นให้กลายเป็นความจริงก็มีแม้แต่กระทั่งผู้ชายที่เริ่มเข้ามาข้องแวะรอบๆตัวเธอเมื่อพวกเขาได้มีโอกาสที่ได้อยู่ห้องเดียวกันกับเธอแต่อย่างไรซะ คนที่แม้แต่หายใจก็ยังดูมืดมนอย่างผมน่ะไม่มีทางที่จะไปทำเรื่องที่ทนดูไม่ได้แบบนั้นหรอกนะ
ถึงแม้ว่าเราจะอยู่ในพื้นที่เดียวกัน แต่มันก็ยังคงมีช่องว่างที่ติดหนึบอยู่ยงคงกระพันยิ่งกว่าแผ่นอะคลิลิกระหว่างผมกับชิราคาวะซังอยู่ดี ซึ่งมันเป็นระยะห่างทางสังคมที่เกิดขึ้นมาโดยธรรมชาติ
และระยะห่างนี้จะไม่มีวันหดสั้นลง……….
และด้วยเหตุนี้เองผมจึงเฝ้าดูความงดงามของเธอจากที่ไกลๆ แต่อย่างไรก็ตามช่วงเวลานั้นมันก็มาอย่างกระทันหัน! เพราะอยู่มาวันหนึ่งผมที่ถูกจัดให้อยู่ในห้องเรียนเดียวกันกับชิราคาวะซังแล้วในช่วงโฮมรูมก่อนที่เราจะได้กลับบ้าน ชิราคาวะซังก็ได้เดินมาส่งเอกสารให้กับอาจารย์ ถ้าผมจำไม่ผิดล่ะก็ น่าจะไม่ได้ส่งแบบฟอร์มเอกสารตอบกลับเกี่ยวกับเรื่องการแจ้งประชุมผู้ปกครองกับคุณครู ซึ่งมันควรที่จะต้องส่งตั้งแต่เมื่อวานแล้วนี่นา? เธอก็เลยถูกครูเรียกให้ลุกจากที่นั่งไปที่ด้านหน้า
ตัวผมชื่อว่า คาชิมะ ริวโตะและได้รับมอบเลขที่นั่งโต๊ะเรียนไว้ด้านหน้าของโต๊ะคุณครูแถวๆหน้าห้องเรียน และเหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นเมื่อจู่ๆชิราคาวะซังที่เดินมาจากด้านหลังห้องหยิบยื่นกระดาษออกไปให้อาจารย์
“นี่ชิราคาวะซัง เธอยังไม่ได้เขียนชื่อของเธอเลยนะรู้ไหม?”
“อะ-โอ๊ะ ! จริงด้วยค่ะ”
ชิราคาวะซังมองไปที่เอกสารของเธอแล้วจากนั้นก็หันไปรอบๆ แล้วเธอก็อ้าปากพร้อมกับมองมาทางผม โดยที่ผมไม่สามารถที่จะละสายตาจากการโจมตีที่น่าประหลาดใจนี้ของเธอ
“นี่ๆนายน่ะ ขอชั้นยืมดินสอของนายหน่อยจะได้รึเปล่า?”
ผมคิดว่าหัวใจของผมมันกำลังจะกระโดดทะลุออกมาจากปากของผมซะแล้วสิ
“อะ-อือ…….”
ผมตอบกลับและหยิบดินสอออกจากกล่องดินสอแล้วยื่นให้กับเธอ ตอนนี้ผมพยายามระงับอาการสั่นของมือของผมแทบไม่ได้เลยจริงๆ