และขณะที่ผมกำลังจะกลับไปที่ห้องเรียน ชิราคาวะซังก็พุ่งทะยานออกมาจากทางประตูที่เปิดอยู่
“ริวโตะ!”
พอผมมองเข้าไปข้างในห้องก็ยังมีนักเรียนจำนวนไม่น้อยเลยที่ยังอยู่ข้างในและพวกเขาก็กำลังมองมาที่ผมด้วยความสนใจเมื่อผมเดินกลับมา
“……ตอนนี้พวกเรากลับบ้านกันก่อนเถอะครับ”
หลังจากที่ผมกับชิราคาวะซังจบ ผมก็เดินเข้าไปในห้องเรียนแล้วคว้ากระเป๋าและบันทึกประจำวันของตัวเองอย่างรวดเร็วแล้วเอาไปส่งที่ห้องพักครูและก็เดินไปตรงชั้นวางรองเท้าพร้อมกันกับเธอ
ผมก็พึ่งเขียนบันทึกประจำวันไปได้แค่ราวๆสองสามเรื่องเอง แต่เนื่องจากคุโรเสะซังเธอเขียนส่วนของเธอได้อย่างถูกต้องเรียบร้อยดีพวกเราก็พอจะส่งแบบผ่านๆไปได้
“ชั้นขอโทษนะ………ที่ชั้นไม่สามารถที่จะบอกริวโตะเรื่องมาเรียได้น่ะ……..”
ทันทีที่พวกเราได้อยู่กันสองต่อสองชิราคาวะซังก็เริ่มพูดออกมา
“มาเรียน่ะเธอไม่ชอบกับการที่เธอได้เป็นฝาแฝดกับชั้น แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังเป็นปริศนาสำหรับชั้นอยู่ดีว่าทำไมเธอถึงได้ย้ายมาที่โรงเรียนของเราได้น่ะ…….”
คุโรเสะตั้งใจจะทำอะไรกันแน่? ผมเองก็ไม่อาจจะตรัสรู้ได้เหมือนกันบางทีอาจจะเพื่อตามรังควานชิราคาวะซังหรือไม่ก็………
“บางทีเธออาจจะแค่อยากจะอยู่ใกล้ๆชิราคาวะซังก็เป็นได้ครับ”
ผมพูดไปแล้วชิราคาวะซังก็ตกใจ
“ก็ถ้าเกลียดใครสักคนจนเข้าไส้ในระดับที่ไม่อยากจะเห็นหน้าจริงๆ ถึงมันอาจจะเป็นการล่วงเกินไปหน่อยแต่จะถึงเป็นชิราคาวะซังเองผมก็ไม่คิดว่าเธอจะอยากอยู่ร่วมกันกับคนที่เกลียดเหมือนกันครับ”
“อย่างงั้นเหรอ…….”
ชิราคาวะซังละสายตามองลงต่ำและพูดพึมพัมราวกับว่าเธอพยายามกลั้นมันไว้แล้วเธอก็เงยหน้าขึ้นมามองผม
“ขอบคุณนะริวโตะ”
พอได้เห็นเธอพูดแบบนั้นแล้วยิ้มอย่างน่ารักอีกครั้งผมก็รู้สึกว่าเธอดูคล้ายคุโรเสะซังอยู่หน่อยๆ
“ว่าแต่ริวโตะเถอะ โอเคกับเรื่องนี้แล้วอย่างนั้นเหรอ?”
หลังจากสวมรองเท้าและเดินออกมาจากอาคารเรียนชิราคาวะซังก็พูดกับผมด้วยท่าทีกังวล
“ก็ริวโตะน่ะ ไม่ชอบถ้าหากว่าทุกคนรู้เรื่องของพวกเราใช่ไหมล่ะ…..”
“อืม…….มันก็ใช่อยู่ครับ ยังไงก็เถอะครับ”
พอคิดๆดูว่าการที่ผลมันออกมาเป็นแบบนั้น ตัวผมเองก็คาดไม่ถึงเหมือนกัน
“เพราะผมไม่อยากให้ชิราคาวะซังต้องถูกเข้าใจผิดแบบนี้อีกต่อไปแล้วน่ะครับ”
ชิราคาวะซังตาเบิกกว้างกับคำตอบของผม
“นั่น…..ก็เพื่อชั้นเหรอ?……..”
ผมเห็นแสงวิบวับที่โผล่ขึ้นมาในแววตาของเธอขณะที่เธอจ้องมองมาที่ผม
ชิราคาวะซังก็น้ำตาไหลออกมา
และด้วยความตกใจเธอก็รีบใช้หลังมือของเธอปาดเช็ดน้ำตาจากดวงตาทั้งสองข้างอย่างรวดเร็ว
“หะ-เห อยากรู้จังว่าทำไมกันล่ะ?”
เธอกำลังพยายามฝืนยิ้มแย้มออกมาอยู่
“ชั้นน่ะนะ……เป็นพวกบ้าล่ะ อย่างเรื่องข่าวลือเสียๆหายๆ ชั้นเองก็ยังคิดว่าตัวเองก็ไม่ได้สนใจกับเรื่องพวกนั้นมากเท่าไหร่เลยแต่ก็……ชั้นก็อยากจะรู้อยู่หน่อยๆ……แบบว่ามันยังระรานชั้นอยู่รึเปล่านะ?”
ผมคิดว่าชิราคาวะซังเธอเป็นผู้หญิงที่แกร่งสุดๆ
แม้แต่สำหรับตัวเธอเองมันก็คงจะเป็นเรื่องยากที่จะต้องทนอยู่กับการถูกเพ่งเล็งจากสายตาอยากรู้อยากเห็นของเพื่อนร่วมชั้นทุกวี่ทุกวัน เพียงเพราะข่าวลือแย่ๆที่ไม่มีมูลอะไรเลย
“แต่ชั้นก็อยากจะรู้นะว่าข่าวลือพวกนั้นมันเกี่ยวกับอะไร? ชั้นสงสัยว่าสิ่งที่แฟนเก่าของชั้นเอาไปชั้นไปพูดให้มาเรียฟังมันเป็นไปในทางที่มันแปลกๆรึเปล่านะ?”
“เอ๊ะ?”
ผมรู้สึกประหลาดใจพอได้ยินอย่างนั้น
หรือว่าบางที………
ชิราคาวะซังเธออาจจะยังไม่รู้ว่าจริงๆแล้วข่าวลือพวกนั้นคือสิ่งที่คุโรเสะซังกุเรื่องขึ้นมาเองเพื่อที่จะได้ใส่ร้ายป้ายสีเธอ
นี่เธอจะเป็นคนดีไปถึงไหนครับเนี่ย………เธอชักจะดีเกินไปจนทำให้ผมเริ่มกังวลหน่อยๆแล้วนะ
ในตอนนี้ช่างมันก่อนละกัน ไม่ต้องพูดอะไรมากไปกว่านี้
ปล่อยให้สองพี่น้องเขาจัดการกันเองคงจะดีกว่าและสุดท้ายผมก็มั่นใจว่าคุโรเสะซังเธอจะยอมเอ่ยปากขอโทษชิราคาวะซัง
ผมเองก็ยังไม่ได้บอกชิราคาวะซังด้วยสิว่าสาวสวยที่เคยปฏิเสธผมในอดีตก็คือคุโรเสะซัง
พวกเราได้เป็นเพื่อนร่วมชั้นที่นั่งข้างๆกัน เรื่องนี้มันก็มีบางอย่างที่น่าอึดอัดใจอยู่ล่ะนะ………แต่ตอนนี้ผมก็ได้รู้แล้วว่าพวกเธอทั้งสองคนเป็นพี่น้องกัน ผมก็เลยคิดว่าไว้ผมค่อยตีเนียนเฉลยเรื่องนี้แบบติดตลก ในสักวันหนึ่งที่พวกเธอกลับมาญาติดีกันและยิ้มให้กันได้อีกครั้งละกัน
“ผมก็ว่าอย่างนั้นครับ…..ก็คงเป็นข่าวลือแปลกๆล่ะมั้งครับ”
“แล้วริวโตะ………ไม่เชื่อข่าวลือพวกนั้นเหรอ?”
ผมพยักหน้าเมื่อถูกชิราคาวะซังถาม
“ผมไม่เชื่อเลยครับ”
“แต่ริวโตะเองก็ไม่ได้รู้ใช่ไหมล่ะ? เรื่องเกี่ยวกับตัวชั้นก่อนที่พวกเราจะมาคบกันน่ะ”
นั่นเป็นคำพูดที่ผมต้องพูดกับตัวผมเองต่างหากล่ะ
ความจริงคือไม่ใช่ว่าผมรู้สึกโอเคกับเรื่องนั้นหรอกนะ พอนึกถึงเรื่องแฟนเก่าของเธอหน้าอกมันก็เจ็บแปล๊บขึ้นมา
แต่ว่านะ
“ต่อให้ชิราคาวะซังในอดีตจะเป็นอย่างในข่าวลือจริงๆ เธอคนนั้นก็แตกต่างจากชิราคาวะซังในวันนี้อย่างสิ้นเชิงครับ ผมจะไม่ยอมให้อดีตที่ผ่านมาแล้วมาทำลายชื่อเสียงของชิราคาวะซังในตอนนี้จนป่นปี้หรอกนะครับ”
แล้วชิราคาวะซังก็ยิ้มอย่างขมขื่นให้กับผมที่พูดตอบอย่างจริงจังกลับเธอไป
“ก็นะ ชั้นเองก็ไม่ได้ทำเรื่องอย่างที่ข่าวลือกล่าวหาหรอกนะ”
“ครับ ผมก็แน่ใจว่าเธอไม่ได้ทำครับ”
พอผมยิ้มและหยักหน้ารอยยิ้มของชิราคาวะซังก็หายไปจากใบหน้าของเธอและพอมองดูใบหน้าของเธอต่อแก้มของเธอก็ดูเหมือนจะแดงขึ้นหน่อยๆ
“ริวโตะเนี่ย…..แปลกคนจริงๆเลยนะ”
ผมไม่ได้ถามอะไรกลับไปเพราะผมรู้ดีว่ามันไม่ได้มีความหมายอะไรแย่ๆและเพื่อเป็นการพิสูจน์กับเรื่องนี้เธอก็ยิ้มให้ผมอย่างมีความสุข
“ขอบคุณนะริวโตะ!!”
พอผมได้เห็นรอยยิ้มอันแสนน่ารักของเธอแล้ว ผมก็อยากจะโผเข้าไปกอดเธอเลยจริงๆ
แต่หลังจากนั้นมันก็แทงใจผม
เพราะตั้งแต่วันแรกที่ผมได้เริ่มคบกับชิราคาวะซังจนมาถึงตอนนี้ ผมก็ไม่เคยได้แตะเนื้อต้องตัวชิราคาวะซังเลย
แม้ว่าเราจะเดินเคียงข้างกันแบบนี้โดยที่ไหล่ของพวกเราเกือบจะได้แตะกัน
ผมก็ไม่รู้ถึงความอบอุ่นของตัวเธอเลย
เมื่อผมตระหนักได้ถึงความจริงข้อนี้ผมก็รู้สึกได้ที่ความรักที่หลั่งไหลเข้ามา
แต่ข้างในก็ยังรู้สึกปวดใจอยู่หน่อยๆ
จนกระทั่งเมื่อสักครู่ที่ผ่านมา
ผมคิดว่ามันคงจะเป็นเรื่องใหญ่แน่ๆถ้าเกิดว่าทุกคนรู้ว่าผมกำลังคบกับชิราคาวะซังอยู่
มันเหมือนกับการโดนพินิจพิเคราะห์ด้วยสายตา,ชี้นิ้วและหัวเราะเยาะเย้ย…..อีกทั้งผมยังจินตนาการว่าผมคงจะโดนสาปส่งเวลาที่ได้เดินผ่านใครสักคน
นั่นคือเหตุผลที่ผมพาตัวเองหนีออกมาเมื่อวานนี้และเมื่อผมมาโรงเรียนในวันรุ่งขึ้นที่ห้องกลับเรียนอย่างปกติสุขเหมือนเดิมอย่างน่าประหลาดใจ
ถ้าจะมีอะไรที่มันเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อยล่ะก็คงจะเป็น
“อรุณสวัสดิ์นะ คาชิมะคุง”
พวกผู้หญิงบางคนที่อยู่ในห้องเรียนของผมที่ผมไม่เคยได้พูดคุยด้วยมาก่อนก็เข้ามาทักทายผมขณะที่ผมเดินผ่านพวกเธอ
“อรุณสวัสดิ์ครับผม…..”
“ชั้นไม่เคยสังเกตุเห็นมาก่อนเลยเพราะเขาไม่ได้โดดเด่นอะไร แต่คาชิมะคุงเนี่ยก็ไม่เลวเลยว่ามะ”
“อื้อๆ เขาดูใจดีเหมือนกันนะ หน้าตาก็ไม่ได้แย่อะไรด้วย”
“ใช่ๆ มาทรงนี้ต้องเป็นคนดีแน่นอนเลย ก็แหม ถึงว่าล่ะชิราคาวะซังถึงได้เลือกเขาน่ะ”
จากที่ได้ยินที่พวกเธอคุยกันดูเหมือนว่าพวกเธอไม่ได้พูดอะไรเสียๆหายๆให้ผมล่ะนะ
พอผมนั่งลงตรงที่นั่งคุโรเสะซังที่นั่งอยู่ข้างๆผมก็มองมาที่ผม
“อะ-อะ-อรุณสวัสดิ์………”
ที่ดูอึดอัดแบบนี้ก็คงเป็นเพราะเรื่องเมื่อวานนี้
แต่พวกเราก็สบตากันผมก็เลยพูดทักทายเธอกลับ
“อะ-อรุณสวัสดิ์ครับผม”
ผมคิดว่าเธอจะไม่สนใจผมแล้วซะอีกแต่คุโรเสะซังกลับเข้ามาทักผมเองด้วยเสียงเล็กๆราวกับเป็นแค่เสียงบ่นพึมพัมส่วนแก้มของเธอก็แดงก่ำและดวงตาของเธอก็แหวกว่ายไปมาราวกับกำลังเขินอายอยู่
“…………..?”
ผมคิดว่าคุโรเสะซังก็คงจะรู้สึกอัดอึดเหมือนกัน
เพราะงั้นผมจะไม่พยายามคุยกับเธอต่อก็แล้วกัน
แต่อย่างไรตอนคาบโฮมรูม
ตอนที่ทั้งห้องต้องพากันส่งเอกสารขึ้นมาจากทางด้านหลังขึ้นไปทางด้านหน้าเพื่อรวบรวมงานไปส่งที่โต๊ะของอาจารย์ผมก็เห็นคุโรเสะซังยังคงรอเอกสารจากทางด้านหลังของเธอขณะที่ผมเก็บเก็บเอกสารจากแถวของตัวเองเสร็จเรียบร้อยแล้ว
“คุโรเสะซัง”
เมื่อผมเรียกหาเธอและพยายามที่จะเอาส่วนที่เก็บมาทั้งหมดให้กับเธอ
แล้วไหล่และหลังหัวของคุโรเสะที่หันมาทางผมซังก็กระตุกขึ้น
ยังไงซะดูเหมือนว่าเธอไม่ต้องการที่จะหันมาทางนี้
สงสัยว่าเธอคงจะไม่ได้ยินผมรึเปล่านะ? ผมก็เลยแตะที่ไหล่ของเธอเบาๆ
“ฮย๊า!!”
คุโรเสะซังก็ร้องเสียงหลงออกมาเบาๆแล้วหันหน้าของเธอมา
ใบหน้าของเธอแดงก่ำและเธอก็จ้องมองมาที่ผมด้วยใบหน้าที่ยุ่งเหยิงราวกับว่าเธอถูกลวมลาม
“จู่ๆ อย่ามาแตะเนื้อต้องตัวตามใจชอบสิยะ!!!”
“ขะ-ขอโทษครับ……..”
“ชั้นเกลียดนาย……..”
อืมมันก็สมควรแล้วล่ะนะ………เพราะเมื่อวานผมดันทำสิ่งที่เหมือนกับว่าเป็นการสั่งสอนเธอไปแบบนั้นด้วยสิ…….และหลังจากที่ผมคิดเรื่องนั้นห้องเรียนก็เริ่มคึกคักหลังจากที่ส่งเอกสารใบงานเสร็จแล้วอาจารย์ก็เริ่มแจกเอกสารแจ้งเตือน
“……….นี่”
คราวนี้ผมก็รู้สึกแปลกใจเมื่อคุโรเสะซังเป็นฝ่ายชวนผมคุยเอง
“ครับ?”
“….ชั้นคิดได้ว่า….ชั้นผิดไปแล้ว…..เพราะงั้นเมื่อคืนนี้…..ชั้นก็เลยโทรหาเธอแล้วก็ขอโทษไปแล้ว……”
“เอ๊ะ?”
เธอกำลังพูดถึงเรื่องอะไร? ผมใช้เวลาคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“……หรือว่าจะเป็นเรื่องชิราคาวะซังเหรอครับ?”
เมื่อผมถามคุโรเสะซังก็พยักหน้า
“เพราะฉะนั้น……..”
คุโรเสะซังพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา
“ขอร้องล่ะ….นายอย่าได้เกลียดชั้นเลยนะ………..”
เธอพูดกับผมในขณะที่เธออายพร้อมกับหน้าแดงก่ำและก้มหน้าก้มตาลง
“เอ๊ะ?…..”
แค่ครู่เดียวเท่านั้นที่ผมเผลอคิดว่าเธอน่ารักจริงๆ
“…………”
ไหงเธอถึงได้มาขออะไรผมแบบนี้ล่ะ? ทั้งที่ก่อนหน้านี้เธอพึ่งจะบอกว่าเธอ ‘เกลียดผม’ ไปหยกๆ ตอนนี้ผมชักจะงงเป็นไก่ตาแตกซะแล้วสิ