[นิยายแปล] Keiken Zumi na Kimi to, Keiken Zerona Ore ga, Otsukiai Suru Hanashi. – ตอนที่ 17 แชร์

ผมเองก็ไม่มีที่ไปเหมือนกันก็เลยเลือกที่จะไปนั่งคิดเอาในห้องน้ำ

ผมได้รับคำใบ้จากคลิปการเล่นเกมของ KEN 

ในเกมยิงปืนแนวแบทเทิลรอยัล KEN มักที่จะหลอกล่อให้ศัตรูของเขาให้เข้ามาในเส้นทางที่เขาวางเอาไว้แล้วค่อยจู่โจม ในฐานะของอดีตเกมเมอร์ระดับมือโปร การเล็งยิงของเขาได้จัดว่าแม่นยำโครตๆ ดังนั้นถ้าหากว่าเขาล่อให้ศัตรูเข้าไปในจุดที่ไม่มีพวกอุปสรรคสิ่งกีดขว้างได้ล่ะก็ ถึงตอนนั้นเขาก็จะลากยิงหัวคมๆได้อย่างแม่นยำ

แล้วทำไมผมถึงไม่ลองทำแบบเดียวกันดูบ้างล่ะ?

พูดอีกนัยหนึ่งแทนที่ตัวผมกระเสือกกระสนพยายามที่จะเข้าไปจับมือเธอ ก็สร้างสถานการณ์ที่จะทำให้ชิราคาวะซังยื่นมือของเธอมาให้จับก็พอแล้วนี่!

แต่ต้องทำยังไงล่ะ?

อย่างแรกที่ผมคิดได้ขึ้นมาก็คือบ้านผีสิง แต่ผมก็ส่ายหน้าปฏิเสธทันที

ชิราคาวะซังเธอดูเหมือนจะเป็นคนประเภทที่โอเคกับเรื่องผีๆสางๆ

เธอพึ่งจะบอกกับผมทาง LINE ว่าเมื่อคืนนี้พึ่งดูหนังสยองขวัญต่างประเทศไปหยกๆ

ในกรณีนี้ผมก็คงจะไม่มีทางเลือกอื่นอีกแล้วนอกจากที่จะต้องใช้วิธีการโจมตีทางกายภาพ

พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ “พาเธอไปยังสถานที่ที่มันมีฐานรากไม่มั่นคง”

ไอ้พวกสะพานเชือกอะไรทำนองนั้นน่าจะเหมาะที่สุด แต่ผมก็ไม่คิดว่าจะมีสะพานแบบนั้นอยู่แถวๆนี้แถมนั่นก็ไม่ใช่สถานที่ที่มันเหมาะกับการออกเดทเลยสักนิด

หรือจะเอาเป็นพวกหลุมแอ่งน้ำตามถนนหนทางดี?

แต่เอาเข้าจริงๆก็ไม่รู้แล้วว่าที่ไหนมันจะเหมาะไปกว่าสะพานเชือกได้น่ะและการที่จะค้นหาที่นั่นมันก็ยิ่งไร้ความหมายยิ่งกว่าซะอีก

หลังจากครุ่นคิดเรื่องนั้นแล้ว ผมก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

 

“สระน้ำไง………..”

 

เราสามารถนั่งเรือในสระน้ำได้และในช่วงเวลาที่ก้าวขึ้นลงจากเรือก็เป็นโอกาสเหมาะเจาะที่สุดในเรื่องที่ยืนไม่มั่นคง

และที่สำคัญไปกว่านั้นการนั่งเรือการเป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสุดๆในการออกเดท

นี่มันสมบูรณ์แบบไปเลย!!

 

“เอาล่ะ !!”

 

ผมตะโกนออกไปโดยไม่ทันได้รู้สึกตัวว่าตัวเองกำลังอยู่ในห้องน้ำชายอยู่จากนั้นพอรีบดึงสติกลับมาและก็รู้สึกเขินชะมัดเพราะงี้ผมถึงยังออกไปตอนนี้ไม่ได้

 

“นี่ริวโตะ ! กลับบ้านกันเถอะ!!”

 

หลังเลิกเรียนของวันนั้น ชิราคาวะซังเธอก็มาหาผม

 

“เอ๊ะ?”

 

ชิราคาวะซังมองที่ผมด้วยความสับสันด้วยหางตาที่ชี้ขึ้น

 

“ไม่เอางั้นเหรอ~?……..ก็ในเมื่อตอนนี้เรื่องที่พวกคบกันอยู่มันก็รู้กันไปทั่วแล้ว มันก็ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย ถ้าพวกเราจะได้กลับบ้านด้วยกันบ้างน่ะ”

“อะ-อ่า ครับได้ครับ”

“ถ้างั้นก็ตัดสินใจได้แล้วสินะ!”

 

ชิราคาวะซังเธอพูดอย่างอารมณ์ดีมีความสุขแล้วพวกเราก็เดินออกจากโรงเรียนด้วยกัน

 

“ว่าแต่ยามานะซังล่ะครับ?  ไม่กลับบ้านพร้อมกันกับเธอมันจะดีเหรอครับ?”

“วันนี้นิโคลเข้างานพาร์ทไทม์น่ะ ไว้พวกเราค่อยคุยกันตอนดึกๆเอาก็ได้เพราะงั้น ส.บ.ม.อ.ห จ้า” 

“แล้วงานพาร์ทไทม์ที่ว่ามันคืองานอะไรเหรอครับ?”

“ก็ที่อิซากายะน่ะ”

(**TL NOTE: อิซากายะ เป็นชื่อเรียกของร้านแนวกินดื่มที่จะไม่เหมือนกับพวกผับมันจะคล้ายๆกับร้านอาหารที่มีเหล้าเบียร์หลากชนิดพร้อมเสิร์ฟกินคู่กับแกล้มมากกว่า ส่วนมากพวกมนุษย์เงินเดือนเลิกงานก็จะชอบมานั่งในร้านแบบนี้เพื่อแก้เครียดจนกลายเป็นวัฒนธรรมไปแล้ว**)

“เห ก็ฟังดูคล้ายกับตัวเธอดีนะครับ…..”

“ทีแรกเธอก็ไปสัมภาษณ์งานของร้านอาหารครอบครัวน่ะแต่ด้วยเล็บกับสีผมของเธอมันไม่ผ่านเพราะงั้นเธอก็เลยหดหู่ไปเลยตอนนั้น”

“อย่างนี้นี่เอง”

“วันที่นิโคลไปทำงานพาร์ทไทม์ เธอก็ชอบกลับบ้านดึกเพราะอย่างนั้นพวกเราก็เลยได้เม้าท์มอยกันผ่านโทรศัพท์ตอนช่วงดึกๆเสมอเลย”

 

อย่างนี้นี่เองนั่นคือสาเหตุที่โทรคุยกันลากยาวจนดึกดื่นค่อนคืนก่อนถึงช่วงวันหยุดสินะ

 

“แล้วชิราคาวะซังเอง…….ไม่ได้ทำงานพาร์ทไทม์หรืออะไรกับเขาบ้างเลยเหรอครับ?”

“ไม่เป็นไร ขอผ่านค๊า~. พอลองได้ฟังเรื่องราวจากนิโคลแล้ว ชั้นก็รู้สึกว่าชั้นคงจะเครียดจนอกแตกตายแน่ๆเวลาที่ได้เจอพวกลูกค้าแย่ๆน่ะ และบางครั้งคุณย่าเองก็ให้ค่าขนมชั้นด้วย ยังไงซะมันก็พอที่จะประทังชีวิตอยู่ได้ล่ะนะ”

“เข้าใจแล้วครับ”

 

หลังจากนั้นชิราคาวะซังก็จ้องหน้าผม

 

“……เอ หรือว่าบางที……ชั้นควรจะหางานพาร์ทไทม์สักที่ทำดีกว่าไหมนะ?”

“มะ-ไม่สิ คือผมไม่ได้หมายความแบบนั้นนะครับ แต่….”

 

ในหัวของผมก็พอนึกภาพของชิราคาวะซังในชุดที่ทำงานพาร์ทไทม์ออกมาได้ลางๆ

 

 

 

 

 

“ผมก็แค่คิดว่าเครื่องแบบร้านเค้กมันคงจะเข้ากันกับชิราคาวะซังดีน่ะครับ…….”

 

หลังจากได้ยินเรื่องนั้นชิราคาวะซังก็ตาเบิกกว้าง

 

“อ๋า ~ หมายถึงอย่างนั้นเองหรอกเหรอ ~ ร้านเค้กสินะ!! นายนี่ชอบของน่ารักๆใช่ม้า ~ หื้ม ริวโตะ ~”

“เอ๊ะ! เดี๋ยว ไม่ใช่นะครับ!”

 

เมื่อถูกเธอพูดหยอกล้อจู่ๆผมก็เขินจนเลิ่กลั่กทำอะไรไม่ถูก

 

“มะ-ไม่ใช่ว่าผมชอบหรืออะไรอย่างนั้นนะครับ!”

“หรือบางทีนายอาจจะชอบแนวชุดผ้ากันเปื้อนสินะ? อย่างพวกเมด? นายนี่อ่านทางง่ายชะมัดเลย!!!”

 “ไม่ใช่……”

“อย่างนี้นี่เอง~ ถึงว่าล่ะนายถึงไม่ได้สนใจพวกเสื้อผ้าของสาวแกลเลย”

 

ตอนนี้ชิราคาวะซังกำลังมีความสุขอย่างเต็มที่อยู่

 

“มันก็ไม่ใช่แค่…………”

“ไม่เป็นไรๆ ไม่ต้องอายไปหรอกหน่า”

“มันก็ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวสักหน่อยนี่ครับ!! นั่นมันเป็นความใฝ่ฝันของผู้ชายทุกคนเลยนะครับ!!”

 “โอ้ว! ในที่สุดก็ยอมสารภาพออกมาแล้วสินะ!”

 

ชิราคาวะซังเธอพูดพร้อมกับออกอาการเว่อร์วังเกินจริงและหัวเราะคิกตักพร้อมกับรอยยิ้มที่พึงพอใจ

 

“เข้าใจแล้ว ฟุๆๆ”

 

ผมเบือนหน้าหนีจากเธอขณะที่เธอพึมพัมออกมาราวกับว่าเธอจับจุดอ่อนของผมได้

และผมก็เงียบไปด้วยความเขินอาย

ผมอายที่ชิราคาวะซังเธอดันรู้ถึงรสนิยมความชอบของผมซะได้

แต่การที่ได้พูดคุยเรื่องไร้สาระกับชิราคาวะซังแบบนี้………….ช่วงเวลาแบบนี้ผมรู้สึกมีความสุขมากๆเพราะมันเหมือนกับว่าพวกเรานั้นเป็นแฟนกันจริงๆ

ระยะหลังมานี้เวลาที่ผมได้อยู่กับชิราคาวะซังผมก็รู้สึกประหม่าน้อยลงมากกว่าเมื่อก่อนแล้ว

ทีแรกก็นึกว่าจะไม่มีอะไรที่ตัวผมจะเหมือนกับชิราคาวะซังผู้โด่งดังซะแล้ว มันก็เลยรู้สึกเหมือนกับว่ามันคือเรื่องลี้ลับที่พวกเราสามารถพูดคุยกันแบบนี้ได้ในตอนนี้

ผมเองก็ไม่ค่อยเต็มใจที่จะโดนเธอพูดหยอกล้อชวนใจเต้นแบบนี้นักหรอกนะ……….ยังไงซะผมก็กำลังพยายามหาหัวข้อที่สามารถที่จะเปลี่ยนเรื่องในตอนนี้ได้

จากนั้นผมก็นึกถึงเรื่องของคุโรเสะซังเมื่อเช้า

 

“จะว่าไป……..ผมได้ยินมาว่าคุโรเสะซังโทรหาเธอใช่ไหมครับ?”

 

สีหน้าของชิราคาวะซังแข็งขึ้นเล็กน้อยหลังจากที่ได้ยินคำพูดของผม

 

“อื้อ…….เธอโทรมาขอโทษชั้นน่ะ แล้วชั้นก็รับคำขอโทษไว้แล้ว นอกจากนี้ชั้นเองก็คิดว่าคงจะดีไม่น้อยเลยถ้าหากว่าชั้นกลับมาญาติดีกับมาเรียได้อีกครั้งนึงน่ะ……….”

“ผมก็หวังว่าอย่างนั้นครับ……….”

 

ผมรู้สีกอย่างนั้นจริงๆจากก้นบึ้งของหัวใจ

พวกเรามาถึงสถานีแล้วก็ขึ้นรถไฟขบวนเดียวกันและแน่นอนว่าลงสถานีที่ใกล้บ้านของชิราคาวะซังที่สุด

 

“ริวโตะ วันนี้ว่างรึเปล่า?”

 

พอชิราคาวะซังถามผม ผมก็พยักหน้า

 

“ว่างครับ”

 

นั่นก็เป็นเหตุผลที่ผมมาส่งเธอจนถึงบ้านนี่ล่ะและเมื่อผมกำลังจะพูดแบบนั้นชิราคาวะซังก็ดึงแขนผมไว้

 

“เอ๋……..”

 

ผมตกใจ จากนั้นชิราคาวะซังก็ยิ้มให้ผมด้วยใบหน้าที่น่ารักของเธอ

 

“ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็จะอ้อมกันหน่อยนะ!!”

 

เธอจับแขนของผมแค่เพียงครู่เดียวและยิ่งไปกว่านั้นก็จับแค่ตรงเสื้อเครื่องแบบของผม

ชิราคาวะซังเธอสัมผัสผม………..

พอผมคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ แก้มของผมก็ร้อนผ่าวส่วนแขนของผมเองก็ด้วย

หัวใจเต้นดังมากๆไปครู่นึงเลยหลังจากที่เธอจับ

สถานที่ที่ชิราคาวะซังพาผมไปคือห้างใกล้ๆสถานี

มันเป็นห้างทั่วไปที่มีร้านอาหารในเครือมากมายที่ชั้น 1 และพวกร้านเสื้อผ้าและของจำเป็นในชีวิตประจำวันก็อยู่ชั้นบนๆ

ชิราคาวะซังพาผมไปที่มุมหนึ่งของชั้น 5 ซึ่งเป้นชั้นบนสุดของตัวอาคารและก็หยุดเดินตรงนั้น

 

“ดูสิ มันอยู่นี่ไง!”

 

สิ่งที่เธอชี้ไปคือผนังกระจกเดี่ยวๆที่ดูเหมือนกับตู้โชว์

ภายในของมันตรงส่วนของพื้นที่ถูกแบ่งออกเป็นบูธแผงกั้นหลายแผงทั้งในแนวนอนและแนวตั้งโดยแต่ละบูธก็จะมีสัตว์อยู่หนึ่งถึงสองตัว

 

“ร้านขายสัตว์เลี้ยงงั้นเหรอครับ”

“ช่าย!”

 

ชิราคาวะซังวิ่งเข้าไปที่บูธแมวด้วยดวงตาที่เป็นประกาย

 

“นี่มันน่ารักที่สุดเล๊ย ~! อื้ม ผ่อนคลายดีแท้ ~! ถ้าหากว่าคุณย่าของชั้นไม่ได้เป็นโรคภูมิแพ้ล่ะก็ ชั้นเองก็คงจะได้เลี้ยงสักตัวแล้วแท้ๆเชียว ~”

 

จริงๆมันก็มีน้องหมาด้วยล่ะนะ แต่ชิราคาวะซังเธอก็ปฏิเสธไม่ยอมย้ายหนีจากน้องแมวไปไหนเลย

 

“ชิราคาวะซัง เป็นทาสแมวมากกว่าทาสหมาเหรอครับ?”

“อื้ม ! แต่ชั้นว่าน้องหมาก็น่ารักดีเหมือนกันนะ~!”

 

หลังจากตอบคำถามของผมเสร็จเธอก็เอาตัวเข้าไปแนบติดหนึบกับผนังกระจกแก้วอีกครั้ง

 

“ดูสิๆ นายไม่คิดว่าเด็กคนนี้น่ารักบ้างเหรอ? เดี๋ยวอีกไม่นานเด็กคนนี้ก็จะได้ไปแล้วล่ะ เพราะงั้นช่วงนี้ชั้นก็เลยมาที่นี่บ่อยหน่อย”

 

สิ่งที่ชิราคาวะซังชี้ไปก็คือลูกแมวพันธุ์มันชกิ้นสีเทาที่อยู่ด้านหน้าของเธอที่มีป้ายราคาห้อยไว้พร้อมเขียนว่า ‘หนูได้บ้านใหม่แล้วฮับ’

 

“เธอได้มาที่นี่บ่อยเหรอครับ?”

“อื้ม ที่นี่เป็นที่โปรดของชั้นเลยล่ะ! ก็คงมาเป็นกิจวัตรของชั้นไปแล้วมั้งนะ? แล้วนั่นก็เป็นเหตุผลที่ชั้นอยากจะมาที่นี่กับริวโตะน่ะ”

 

เธอมองมาที่ผมโดยที่มือทั้งสองข้างยังเกาะกระจกอยู่

 

“ริวโตะก็เป็นคนบอกเองใช่ไหมล่ะ? นายพูดว่า ‘ผมเองก็อยากจะชอบในสิ่งที่ชิราคาวะซังชอบด้วย’ นั่นน่ะมันทำให้ชั้นมีความสุขมากๆเลยนะ รู้ไหม?”

“เอ๋……..”

 

ผมค่อนข้างแน่ใจว่านั่นคือ……สิ่งที่ผมพูดออกไปในวันเกิดของเธอตอนที่ผมไปไล่หาร้านชานมไข่มุกทั่วทุกสารทิศ

เธอจำได้สินะ

 

“เพราะอย่างนั้น………ชั้นก็เลยอยากที่จะแชร์สิ่งที่ตัวเองชอบหลายๆอย่างให้กับริวโตะน่ะ”

 

หลังจากพูดแบบนั้นชิราคาวะซังก็ยิ้มในขณะที่เขินอายเล็กน้อย

แม้ว่าผมจะดีใจที่เธอจำเรื่องที่ผมพูดออกไปได้ก็จริง แต่ผมก็ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเธอเองก็จะพูดแบบนั้นออกมาด้วยเหมือนกัน

ผมเขินจนหน้าอกร้อนผ่าว

 

“ไหนดูซิ~ ใครเป็นเด็กดีเอ่ย ~”

 

ชิราคาวะซังที่กำลังเล่นกับน้องแมวโดยใช้นิ้วไปหมุนด้วยเล็บสีฉูดฉาดของเธอราวกับเป็นของเล่นแมวผ่านทางกระจกมันดูน่ารักกว่าตอนปกติอีกนะเนี่ย

Comment

Options

not work with dark mode
Reset