แล้วชิราคาวะซังก็รับดินสอไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับก้มตัวเข้ามาหาผม
“……….!?”
ผมรู้สึกแปลกใจที่เธอเริ่มเขียนชื่อของเธอลงบนกระดาษที่โต๊ะเรียนของผม เล่นเอาผมรู้สึกประหม่าจนเหงื่อแตกพลั่กเพราะรู้สึกตื่นเต้นที่ได้มีโอกาสได้เห็นชิราคาวะซังในระยะเผาขนแบบนี้
และเมื่อมองไปที่ชิราคาวะซังที่อยู่ใกล้ๆแล้ว ขนตาของเธอช่างแพรวพราว แถมมันก็รู้สึกทรมานโครตๆเพราะว่าผมเองก็อยากจะเห็นหน้าร่องอกของเธออยู่เหมือนกันแต่ว่าด้วยมุมนี้ทำให้เสื้อของเธอบังหน้าอกจนมิดชิด อย่างไรซะเธอเป็นคนที่ร่าเริง ร่าเริงจนเกินไป เพราะถ้าโต๊ะเรียนของผมมันอยู่ทางด้านหลังห้องสักประมาณหนึ่งร้อยเมตรล่ะก็ ผมก็คงเลือกที่จะเดินกลับไปเพื่อเขียนชื่อลงบนโต๊ะตัวเอง แต่เธอกลับเลือกที่จะยืมดินสอโดยที่ไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าเพื่อนร่วมชั้นที่เป็นเพศตรงข้ามที่เธอไม่เคยเสวนาด้วยเลยแม้แต่ครั้งเดียวก็ตามและบางทีแม้แต่ชื่อของผม เธอเองก็คงจะยังไม่รู้จักเลยซะด้วยซ้ำ ด้วยความคิดแบบนั้น คนอย่างผมไม่คิดว่าจะเข้าใจเรื่องแบบนี้ได้หรอกนะ แม้ว่าจะเกิดใหม่อีกกี่ชาติก็ตาม
และนั่นอาจจะเป็นสิ่งที่ผมรู้สึกได้เมื่อได้มองดูชิราคาวะซัง ผู้ที่มักจะถูกเพื่อนหน้าตาดีมากมายรายล้อม แต่เธอเองก็ยังไม่ลังเลที่จะพูดคุยกับพวกนักเรียนที่ดูอึมครึมเมื่อมีโอกาส ผมเห็นฉากแบบนี้หลายต่อหลายในช่วงปีแรกที่ผ่านมา
ที่เธอทำแบบนั้นได้เพียงเพราะว่าเธอเป็นคนร่าเริงอย่างงั้นหรอ? บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าตัวเธอน่ะได้รับความนิยมโครตๆ ก็เลยไม่จำเป็นที่จะต้องพะวงหน้าพะวงหลังเรื่องภาพลักษณ์ของตัวเองเวลาพูดคุยปฏิสัมพันธ์กับพวกคนที่มืดมนยังไงล่ะ เธอเองก็อาจจะไม่สนใจเลยด้วยซ้ำว่าคนอื่นจะมองเธอยังไง
ในช่วงเวลาที่ผมจนปัญญาจากการถูกเธอเข้ามากระชั้นชิดอย่างคาดไม่ถึงพอเธอเขียนชื่อของเธอเสร็จชิราคาวะซังก็เงยหน้าขึ้นมามองผม
“ขอบคุณนะ”
รอยยิ้มที่สวยงามและเปล่งประกายพร้อมกับความอบอุ่นที่ถูกทิ้งไว้บนดินสอกดที่เธอส่งคืนมามันเปรียบดั่งหมัดอัพเปอร์คัตสุดแข็งแกร่ง! และนั่นคืออีเว้นท์ที่เกิดขึ้นราวๆสิบวินาที
แต่อย่างไรก็ตามมันก็เป็นอีเว้นท์ที่เพียงพอที่จะทำให้ผมตกหลุมรักชิราคาวะซัง!
ผมอยากให้คุณลองจินตนาการถึงฉากของสาวสวยที่หลุดออกมาจากโปสเตอร์มาอยู่ตรงหน้าของคุณแล้วเธอก็พูดว่า “ขอบคุณนะ” ต่อหน้าคุณพร้อมกับส่งยิ้มให้ด้วย จากนั้นผมก็อยากให้คุณพิจารณาเอาเองเพราะไอ้คนอย่างผมที่ไม่มีแฟนมาตลอดสิบหกปีที่ผ่านมาของชีวิตและยิ่งไปกว่านั้นผมมันก็เป็นไอ้คนมืดมนที่สนใจในเพศตรงๆข้ามเอามากๆเลยด้วย
นี่ผมคงจะตกหลุมรักเธอไปแล้วงั้นสินะ?
ด้วยเหตุนี้เองผมจึงตกหลุมรักชิราคาวะซัง และจนถึงตอนนี้เธอก็เป็นคนที่ผมชื่นชมมาโดยตลอดและตอนนี้ผมก็เริ่มที่จะใส่ใจตัวเธอมากขึ้นด้วย
แต่ก็แน่นอนว่ามันไม่ได้ทำให้ผมคิดว่า “ผมอยากจะได้คบกับเธอ” มันก็ไม่แปลกหรอกนะเพราะผมเองก็เป็นเด็กผู้ชายที่อยู่ในวัยที่คิดหลงผิดอย่างรุนแรงไม่ทางใดก็ทางหนึ่งอยู่เหมือนกันนั่นแหละ แต่ก็นะผมน่ะไม่หน้าด้านมากพอที่จะคิดเกินเลยไปไกลขนาดนั้น
ในช่วงปีหนึ่งปีที่ได้อยู่ร่วมห้องเดียวกันกับเธอก็อาจจะมีโอกาสที่ได้ใกล้ชิดกับเธอมากขึ้นเล็กน้อยโดยการที่ขอให้เธอมายืมของๆผมอีกสักครั้งทีเถอะนะ…………..
ด้วยความคาดหวังเพียงเล็กน้อยภายในใจของผมนี้
ผมจึงเดินหน้าใช้ชีวิตในรั้วโรงเรียนอย่างเงียบๆ
หลังจากนั้นเวลาก็ล่วงเลยไปและผมก็ไม่มีโอกาสที่จะได้พูดคุยกับชิราคาวะซังเลยแถมตอนนี้ก็เข้าใกล้ช่วงกลางภาคของเทอมแรกแล้วด้วย
ตอนช่วงพักกินมื้อเที่ยงที่ผมกำลังทานมื้อเที่ยงกับเพื่อนสองคนตรงมุมของห้องเรียน
อ่า แน่นอนว่าผมเองก็พอมีเพื่อนอยู่สองสามคนที่เป็นผู้ชายล้วนๆ และถ้าคุณยังคิดจะถามผมต่อว่ามีคนอื่นอีกไหม? ผมก็คงจะรู้สึกเจ็บแปล๊บๆล่ะนะ
“เฮ้อออ รู้สึกหน่วงๆจัง นอนไม่พอแหงๆ”
คนที่พูดออกมาต่อหน้าผมและเอาอาหารจากกล่องข้าวเข้าปากในขณะที่กำลังหาวอยู่ก็คือ อิจิชิ ยูสุเกะ จากห้องเดียวกันหรือชื่อเล่นคือ อิจิ
เราเป็นเพื่อนร่วมห้องกันตั้งแต่ปีหนึ่งและเข้ากันได้ดีพร้อมกับมีความนใจอะไรๆที่เหมือนๆกันและผลจากการใช้ชีวิตที่ไม่รักษาสุขภาพจากการที่เขาเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับเกม ทำให้เขามีรูปร่างค่อนข้างอ้วนท้วนสมบูรณ์และเมื่อรวมกับความสูงของเขาแล้วรูปร่างภายนอกของเขาค่อนข้างเป็นคนที่ตัวใหญ่เลยทีเดียว
“เมื่อคืนน่ะนะ KEN เล่นอัพคลิปซะเที่ยงคืนเลยแล้วพอชั้นดูจบก็เล่นเกมต่อยันหว่างเลย”
เมื่อได้ยินอิจิพูดออกมาแบบนั้นผู้ชายที่กำลังกินข้าวกล่องข้างๆผมก็เงยหน้าขึ้นมามอง
“ชั้นเองก็นอนไม่พอก็เพราะ KEN เหมือนกันนั่นแหละ ตื่นเช้ามาเพื่อรอการแจ้งเตือนรับคนของ KEN ทาง Twitter ชั้นคิดว่าน่าจะมีโอกาสได้เข้าร่วมไปนัวกับพวกเขาได้แล้วแท้ๆเชียวแต่ก็ถูกปฏิเสธเพราะห้องเต็มซะงั้น ชั้นเลยหงุดหงิดหาห้องอื่นเล่นแม่มเลย”
คนที่กำลังพูดอยู่ก็คือ นิชินะ เร็น จากห้องข้างๆมีชื่อเล่นว่า “นิชิ” ดูเหมือนว่าเจ้าอิจิจะได้ยินว่าหมอนี่เองก็มีความสนใจเหมือนกันๆก็เลยเรียกหมอนี่มาสุมหัวด้วยกันจนสุดท้ายก็มาถึงจุดที่ได้ทานมื้อเที่ยงด้วยกันนี่ล่ะ
ใบหน้าของเจ้านิชิอาจจะเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้กลุ่มมันพอดูร่าเริงขึ้นมาหน่อยก็ว่าได้ อย่างไรซะหมอนี่มีดวงตาที่กลมโตน่ารักและใบหน้าที่ดูเด็กจนดูเหมือนเป็นพวกเด็กม.ต้น
รูปลักษณ์ของเขามันตรงกันข้ามกับอิจิโดยสิ้นเชิง นิชิมีรูปร่างเล็ก ส่วนตัวผมเองที่นั่งอยู่ระหว่างพวกเขาก็มีรูปร่างที่สูงปานกลางพร้อมกับหน้าตาเห่ยๆ
“นายสองคนนี่ยอดไปเลยนะ สำหรับชั้นแค่ได้ตามคลิปของ KEN แค่นั้นก็เต็มกลืนแล้วล่ะ”
ผมพูดพร้อมกับปิดฝากล่องมื้อเที่ยงที่ว่างเปล่า
ความสนใจร่วมกันของพวกเรานั่นก็คือเกมนั่นเอง……….และเพื่อที่จะได้ขยายความให้ชัดเจนขึ้น ก็คือเราเป็นแฟนคลับของ “KEN” Youtuber ที่มีชื่อเสียงมากๆด้านการเล่นเกม
เคนเป็นอดีตเกมเมอร์มืออาชีพที่อัปโหลดคลิปตอนเล่นเกมหลากหลายประเภททุกๆวันอย่างต่อเนื่อง ด้วยทักษะระดับสูงเรื่องการพูดคุยผ่นการเล่นที่ดูตลกและร่าเริงของเขา ทำให้ดึงดูดความสนใจของผู้คนจำนวนมากและจำนวนผู้ติดตามของช่อง Youtube ของเขาก็ยังมีมากกว่าหนึ่งล้านคนแถมยังเพิ่มขึ้นเรื่อยอีกต่างหาก
เหล่าติ่งของ KEN ถูกเรียกว่า “KEN’s Kids” และยังมีผู้เล่นที่มีทักษะที่ติดต่อกับ KEN เป็นการส่วนตัวเพื่อให้สามารถเล่นด้วยกันกับเขาในคลิปที่อัปโหลดอีกด้วย เจ้าอิจิและนิชิ ต่างก็พากันตั้งเป้าอย่างลับๆและพากันขัดเกลาทักษะการเล่นเกมอย่างต่อเนื่องทุกๆวัน
สำหรับผมที่เป็นแฟนคลับประเภทที่ได้มากสุดก็แค่ตามดูคลิปสี่หรือห้าคลิปที่ KEN อัปโหลดทุกวันเพียงค่นั้น ในวันหยุดบางครั้งผมเองก็เล่นกับพวกอิจิกับคนอื่นๆอยู่บ้างเหมือนกันแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะเก่งเหมือน KEN หรอกนะ
ดังนั้นก็กะแล้วเชียวการที่ได้ดูคลิปที่คนอื่นเล่นน่ะมันสนุกกว่าล่ะนะ
“แล้วคิดไปคิดมา นี่เรากำลังจะได้ผลสอบกลางภาคกลับมาแล้วใช่ปะ?”
เมื่อนิชิพึมพัม สีหน้าของอิจิก็แข็งกระด้าง
“หยุดเลยยยยย ! หนนี้คือหนักหนาสาหัสจริงๆ KEN เองก็เหมือนกันโหดสลัดกับการรับสมัครเด็กใหม่เอาตอนช่วงสอบกลางภาคเนี่ย!”
“ก็จริงนะ ชั้นเองก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะเข้าไปเหมือนกัน แต่สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลว”
นิชิตอบด้วยสีหน้าท้อแท้และถอนหายใจ
“แล้วคาชิล่ะ? เรื่องการสอบเป็นไงบ้าง?”
จากนั้นเขาก็ส่งไม้ต่อให้ผมพูดต่อ
“เอ๊ะ?”
ผมมองไปที่พวกเขา อ่า ใช่ครับ พวกเขาเรียกผมว่า “คาชิ”
“อา…อื้อ ชั้นก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ก็มันเป็นการสอบครั้งแรกตั้งแต่ที่เราได้เปลี่ยนอาจารย์คนสอนใหม่ก็เลยทำให้แนวโน้มตอนออกสอบมันแตกต่างออกไปด้วยนี่นะ”
“แกแน่ใจนะ? เป็นอย่างนั้นจริงๆสินะ? อย่าคิดทรยศพวกชั้นนะเฟ้ย!?”
“อะ-อื้อ ตามนั้นแหละอิจิ”
ดูเหมือนครั้งนี้พวกเขากำลังประสบปัญหาอย่างหนักเลยแฮะ ถึงแม้ว่ามันจะเป็นเรื่องของคนอื่นก็เถอะแต่ผมเองก็กังวลอยู่เล็กน้อยเกี่ยวกับพวกเขา
“ชั้นน่ะงานเข้าสุดๆเลยล่ะ เพราะถ้าเกรดตกล่ะก็โดนพ่อแม่สวดจนหูชาแล้วคงจะให้เลิกเล่นเกมแน่ๆ”
“ชั้นเองก็ไม่ต่างกัน พ่อแม่ชั้นก็ขู่ว่าจะยกเลิกสัญญามือถือของชั้นด้วยถ้าเกิดว่าผลสอบออกมาไม่ดีล่ะก็”
นิชิและอิจิจับมือกันเห็นพ้องราวกับเข้าใจซึ่งกันและกัน
“นายเองก็เหมือนกันใช่มะ? ก็เราเป็นเพื่อนซี้กันไม่ใช่รึ?”
“แน่นอน นั่นแหละคือเหตุผลที่จะต้องให้คนที่ได้คะแนนดีที่สุดฟังสิ่งที่คนคะแนนแย่ที่สุพูดน่ะ”
“ไหงมันถึงได้กลายเป็นแบบนั้นไปได้ล่ะ?”
ผมเป็นคนเดียวที่พูดแย้งโต้กลับข้อเสนอของนิชิเรื่องคนเกรดดีที่สุดต้องฟังคนเกรดแย่ที่สุดพูด ตอนนั้นเองผมก็ไม่ได้คิดลึกลงไปเกี่ยวกับเรื่องนี้และก็ไม่ได้ออกตัวปฏิเสธอย่างเด็ดขาดซะด้วย ผมจึงได้แต่ก้มหน้ายอมรับสัญญาใจที่ไร้สาระเช่นนี้ไป
จากนั้นสัปดาห์ต่อมาในช่วงพักเที่ยงก็มีการส่งกระดาษข้อสอบของทุกวิชากลับคืนมา
“อ่า ไม่มีประโยชน์……….มันจบสิ้นแล้ว………….”
สิ่งที่อยู่ในกำมือของอิจิก็คือกระดาษคำตอบของข้อสอบวิชาภาษาอังกฤษที่เขียนตัวอักษรสีแดงว่า “18 คะแนน”
และด้วยเหตุนี้เองคะแนนรวมของเจ้าอิจิจึงแย่ที่สุดในบรรดาพวกเราทั้งสามคน แม้ว่านิชิอาจจะไม่ได้เป็นคนแย่ที่สุดแต่คะแนนของเขาก็ไม่ได้จัดอยู่ในคนที่ได้คะแนนรวมดีที่สุดเช่นเดียวกัน เป็นผลทำให้ผมที่กำลังทำหน้าเอ๋อๆตามปกติของผมลงเอยด้วยการคนที่ได้คะแนนดีที่สุดไป
“นี่ ร่าเริงเข้าไว้สิอิจิ …… ถ้าหากว่านายบอกว่าจะแก้มือเอาใหม่ตอนปลายภาค ชั้นแน่ใจว่าแม่นายจะอนุญาติให้เล่นเกมได้หน่า ใช่มะนิชิ?”
“…………………..”
แม้ว่าผมเองก็ต้องการความเห็นของนิชิให้เห็นด้วยกับคำพูดของผม แต่นิชิก็เหม่อลอยออกไปด้วยใบหน้าซีดเซียว
สองคนนี้……………ผมว่าน่าจะโดนพ่อแม่ดุเป็นประจำเลยสินะเนี่ย……………..
“ร่าเริงเข้าไว้เซ่ ทั้งสองคน!!”
ในขณะที่ผมยังคงพยายามให้กำลังใจทั้งคู่ทันใดนั้นอิจิก็คว้าแขนของผมไว้แน่น
“นี่……….ยังจำสัญญาได้ใช่มะ? สัญญาน่ะ…….”
การจ้องมองนั้นเหมือนกับพวกซอมบี้ผีตายซากที่แววตากลวงโบ๋และน่ากลัว
“อะ-อืม…..”
“สัญญาที่ว่าคนที่ได้คะแนนดีที่สุดต้องฟังสิ่งที่คนที่ได้คะแนนห่วยแตกที่สุดพูดน่ะ……..”
“อื้อ ก็คงอย่างนั้น”
“ถ้าอย่างนั้นข้าขอบัญชา คาชิแกจงไปสารภาพรักกับคนที่แกชอบซะ !!!”
“ห๊ะ!!??”
ผมตะโกนออกมาโดยไม่รู้ตัวหลังจากที่ได้ยินคำสั่งบ้าๆบอๆและเพื่อนร่วมห้องก็หันหน้าจ้องมองมาที่ผมทันที
“ทำไมล่ะ? ทำไมต้องสั่งอะไรแบบนี้ด้วย? มีอย่างอื่นตั้งเยอะแยะที่นายจะได้ประโยชน์มากกว่า อย่างการที่ให้ชั้นเป็นลูกน้องเชื่อฟังคำสั่งหรือไม่ก็ให้เลี้ยงข้าวทั้งวันอะไรแบบนั้นน่ะ”
“หุบปากซะ ! ตอนนี้ชั้นน่ะอยู่ในจุดที่ตกต่ำที่สุดเรียบร้อยแล้ว แล้วชั้นก็จะลากแกลงมาด้วยเฟ้ย! ถ้าหากว่าแกเป็นพวกมืดมนเหมือนกันแล้วล่ะก็ ต้องสารภาพรักแล้วโดนปฏิเสธหน้าหงายอย่างน่าสังเวชแน่นอน !! ฉะนั้นจงลิ้มรสความสิ้นหวังในจุดตกต่ำที่สุดซะ!”
“อะไรกัน โหดร้ายชะมัด!”
ถ้าสารภาพรักไปมันก็อาจจะจบลงแบบนั้นอย่างที่เขาพูด แต่ถ้าเพื่อนสนิทอย่างเขาพูดแบบนี้ออกมาผมก็รู้สึกเสียใจมากจนอยากจะร้องไห้ออกมา
“คำสั่งนี่มันบ้าบอคอแตก ตั้งแต่แรกแล้ว!”
“เอาหน่าๆคาชิ”
เมื่อผมพยายามที่จะประท้วงนิชิก็วางมือลงบนไหล่ของผม
“เอาเป็นว่าไว้ชั้นจะรอเก็บอัฐิ (กระดูกที่เผาแล้ว) ของแกก็แล้วกันนะ”
เขาพูดพร้อมกับยิ้มอย่างเป็นมิตร มันก็ดีอยู่หรอกนะที่นายกลับมาอารมณ์ดีขึ้นอย่างรวดเร็วแต่ทำไมผมกลับเห็นคำว่า “สมน้ำหน้า” ถูกเขียนไว้บนหน้าของนายอย่างชัดเจน
เลยล่ะเฮ้ย !!
“นี่พวกนายจะโหดร้ายกันเกินไปแล้วนะ! เดิมทีที่คะแนนสอบของพวกนายมันไม่ดีเพราะตัวพวกนายเองไม่ใช่รึยังไงกัน?”
“โฮ่ นี่แกคิดแบบนั้นจริงๆงั้นสินะคาชิ?”
“เฮ้ย คาชิ นี่มันไม่เห็นเหมือนตอนที่สัญญากันไว้เลยนี่หว่า? นายสัญญาเองนี่จำได้ป่าว? เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เรอะ?”
เมื่ออิจิพูดกับผมแบบนั้นผมก็รู้สึกเสียใจมากๆ
อ่า แน่นอนผมสัญญาเอาไว้และเราก็เป็นเพื่อนกัน ถ้าคนเหล่านี้ไม่ได้มาเป็นเพื่อนกับคนอย่างผมล่ะก็ ผมก็ไม่รู้ว่าจะได้ใช้ชีวิตแบบไหนในรั้วโรงเรียนในตอนนี้ ทุกช่วงพักที่จะต้องไปนั่งหลบในห้องน้ำแล้วนับนิ้วรอให้เวลาพักเบรคหมดแบบนั้นน่ะไม่เอาด้วยหรอก…..
เหตุผลที่ผมไม่ต้องใช้ชีวิตแบบนั้นก็เพราะมีนิชิและอิจิและสองคนนั้นก็กำลังจ้องมองมาที่ผมด้วยสีหน้าที่จะบอกว่ามิตรภาพของเราตอนนี้กำลังอยู่ในช่วงวิกฤต……….
“เออๆ โอเคก็ได้ เข้าใจแล้ว แค่สารภาพรักก็พอใช่ไหมล่ะ!”
ดังนั้นผมก็เลยลงเอยโดยการที่จะไปสารภาพรักกับคนที่ชอบนั่นก็คือ ชิราคาวะซัง
อย่างไรซะแค่คิดว่าจะไปสารภาพรักกับชิราคาวะซังที่เป็นสาวสวยที่สุดในชั้นปีไม่สิบางทีน่าจะสวยที่สุดในโรงเรียนเลยด้วยซ้ำ มันก็ทำให้หัวเข่าของผมสั่นเทิ้มไปหมด
แม้ว่าผมจะเก็บงำความรู้สึกนี้ที่มีต่อชิราคาวะซังเอาไว้แต่ผมก็คิดว่าคงไม่มีโอกาสแม้แต่หนึ่งในล้านที่ผมจะได้คบกับเธอ ในทางกลับกันถ้าหากว่าผมดันโชคร้ายหน่อย ตอนนี้เธอก็คงกำลังคบกับเพื่อร่วมชั้นใครสักคนอยู่และผมก็อาจจะได้รับดาเมจจากการที่ได้เห็นพวกเขาจู๋จี๋กันในระยะเผาขนอีกต่อนึง
และก่อนที่อะไรแบบนั้นจะเกิดขึ้นคงจะดีกว่าที่จะเลือกปฏิเสธความรู้สึกที่มีต่อรักที่ไม่มีทางสมหวังนี้ก่อนคงจะเป็นการดีกว่าเพื่อที่จะได้มีความสุขกับการใช้ชีวิตที่เหลือในโรงเรียนแห่งนี้และเพราะอย่างนี้ผมจึงให้กำลังใจหัวใจที่ท้อถอยของผมเองเพื่อที่จะได้รักษาสัญญาที่มีต่อเพื่อนซี้ของผมเอง
ในกรณีที่ผมโดนปฏิเสธหน้างหงายมามันก็คงไม่ได้มีผลกระทบทางสภาพสังคมของผมขนาดนั้นหรอก พอคิดถึงนิสัยของชิราคาวะซังแล้วผมก็ไม่คิดว่าเธอจะเป็นพวกนึกสนุกเอาไปเล่าให้เพื่อนๆฟังเพียงเพราะว่าเธอถูกผู้ชายมืดมนอย่างผมมาสารภาพรักหรอกนะผมคิดว่าเธอเองก็คงจะเคยชินกับการถูกสารภาพรักและก็คงจะลืมเรื่องนี้ไปในวันรุ่งขึ้นนั่นแหละ
ด้วยมือที่สั่นเทานี้กำลังเขียนคำลงในกระดาษระหว่างที่กำลังนั่งเรียนอยู่
และในที่สุดเวลาเลิกเรียนในวันนั้นผมก็เดินทางออกไปเพื่อที่จะสารภาพความรู้สึกของตัวเองในทันที ผมรู้สึกท้อและอยากเปลี่ยนใจจริงๆ ถ้าขืนใช้เวลานานไปมากกว่านี้ล่ะก็…
แต่ผมก็อยากจะรีบจบๆเรื่องนี้ให้โดยเร็วที่สุดเหมือนกัน การถูกปฏิเสธกลับมามันไม่ได้หมายความว่าโลกใบนี้มันจบสิ้นแล้วซักหน่อยนี่นะ เอาเป็นว่าค่อยกลับบ้านไปนอนดูคลิปของ KEN เยียวยาจิตใจเอาละกัน……….
ผมบอกกับตัวเองไปแบบนั้นและผมก็ใส่กระดาษโน๊ตที่ได้เขียนตอนอยู่ในห้องเรียนไว้ที่ล็อคเกอร์ที่เก็บรองเท้าของชิราคาวะซังที่เขียนว่า
[ผมมีบางอย่างที่อยากจะคุยด้วย หลังจากได้อ่านแล้วได้โปรดมาเจอกันที่โรงจอดรถบุคลากรของโรงเรียนที่ด้านหลังอาคารเรียนด้วยนะครับ จากปีสองห้องA คาชิมะ ริวโตะ]
เหตุผลที่ผมตั้งใจเขียนชื่อตัวเองอย่าวชัดเจนไปก็เพราะว่าการที่ไม่เปิดเผยตัวตนมันดูน่าขนลุกเกินกว่าที่จะให้เธอมาหา ส่วนเหตุผลที่ผมเขียนห้องเรียนลงไปด้วยก็เพราะว่าถ้าหากว่าเขียนแค่ชื่อลงไปเธอก็คงจะแบบว่า “ไอ้หมอนี่มันใครน่ะ? ไม่รู้จักอ่ะ งั้นก็ช่างละกัน”
มันอาจจะลงเอยแบบนั้นก็ได้แต่ถ้าเขียนไปตามนี้ก็จะเป็น
“หืม….ชั้นไม่รู้ว่าเขาเป็นใครนะแต่ดูเหมือนว่าจะอยู่ห้องเดียวกันกับชั้น ฉะนั้นเขาก็น่าจะมีธุระอะไรกับชั้นนะ” อะไรทำนองนั้น และพอคิดอย่างนี้ผมก็เลยคิดว่ามันน่าจะทำให้เธอมาที่นี่ได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
“อาเร๊ะ คนที่คาชิชอบก็คือชิราคาวะซังของทุกคนเองงั้นหรอกหรอเนี่ย?”
“ก็ถ้าคิดจะสอยดาวล่ะก็ ให้มันน้อยๆหน่อยเถอะ นี่นายยังสติดีอยู่ปะเนี่ย?”
อิจิและนิชิเข้ามาเพื่อยืนยันชื่อบนล็อคเกอร์วางรองเท้าจากทางด้านหลังของผมและพูดออกมาอย่างดุเดือดและด้วยปฏิกิริยาของสองคนนี้มันก็ทำให้ผมรู้ตัวอีกครั้งว่าผมกำลังจะทำอะไรที่มันอุกอาจมากๆและหัวเข่าของผมก็สั่นอีกรอบ
ถ้าทำได้ผมก็อยากจะเก็บไอ้กระดาษนี่กลับแล้ววิ่งกลับบ้านไปซะให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย….
นั่นคือสิ่งที่ผมคิดในใจแต่ผมก็ไม่อยากทำให้เพื่อนของผมคิดว่าผมมันเป็นไอ้คนผิดสัญญาเหมือนกัน
เย็นไว้ ใจเย็นเข้าไว้สิ………
ตอนนี้ผมจะต้องทำภารกิจ “สารภาพรัก” นี้ให้สำเร็จนั่นแหละคือทั้งหมดที่ผมต้องคิด!
ผมสูดหายใจเข้าลึกๆแล้วบอกกับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่าพร้อมกับเดินมุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่นัดหมายเอาไว้
ที่จอดรถของบุคลากรของโรงเรียนที่อยู่ด้านหลังของอาคารเรียนเท่าที่ผมรู้มันคือสถานที่ที่ได้รับความนิยมน้อยที่สุดเรื่องการมาสารภาพรัก และในช่วงเวลานี้ของวันที่พึ่งจะเลิกเรียนและกิจกรรมชมรมต่างๆก็กำลังดำเนินอยู่อย่างเต็มที่ ก็ยังไม่มีวี่แววของบุคลากรหรือครูบาอาจารย์คนไหนปรากฏตัวให้เห็นเลยสักคน มีแต่รถที่จอดเรียงๆกันเป็นแถวหลายสิบคันและที่นั่นผมก็นั่งรอชิราคาวะซังอยู่คนเดียวอย่างเงียบๆ
ส่วนเจ้าอิจิและนิชิน่าจะกำลังซ่อนตัวอยู่ด้านหลังของรถคันไหนสักคันและเฝ้ามองดูอยู่ไม่ไกลมาก
ชิราคาวะซังเธอไม่ได้มาที่นี่ง่ายๆหรอก หลังเลิกเรียนคนอย่างเธอมักจะพูดคุยสนุกสนานกับเพื่อนๆในห้องเรียนและผมเองก็ยังไม่เคยเห็นเธอออกจากห้องเรียนเร็วกว่าผมเลยด้วยซ้ำ ผมก็เลยไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าเธอจะสังเกตุเห็นกระดาษโน๊ตข้อความในล็อคเกอร์วางรองเท้าของเธอ
รอมาได้ 20…….ไม่สิ 30 นาทีได้แล้วมั้ง……….
ในที่สุดเมื่อผมเห็นเธอปรากฏตัวจากทางอีกด้านหนึ่งของอาคารเรียนผมก็รู้สึกโล่งอกมากๆ ผมเองก็เตรียมใจไว้แล้วว่าถึงเธอจะไม่มา ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้สารภาพรักกับเธอ แต่ผมก็รู้สึกได้ถึงความสำเร็จบางอย่างภายในตัวของผมอยู่ดี
ชิราคาวะซังมองไปรอบๆและเดินเข้ามาหาผมหลังจากแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่แถวๆนี้
“นายเป็นคนวางเจ้านี่ไว้งั้นหรอ?”
กระดาษสีขาวเธอถือแล้วยกขึ้นมาคือกระดาษโน๊ตจากผมเอง
“ครับผม!”
เมื่อผมตอบด้วยเสียงสั่นๆชิราคาวะซังก็หัวเราะคิกคักเล็กน้อย “ฟุๆ”
นี่เธอหัวเราะเยาะผมงั้นหรอ?
พอผมคิดถึงเรื่องนั้นใบหน้าของผมก็ร้อนผ่าวด้วยความอับอาย
“ทำไมนายถึงได้สุภาพจังเลยล่ะ? ไม่ใช่ว่าเราอยู่ห้องเดียวกันแล้วก็อายุเท่ากันหรอกหรอ?”
เมื่อเธอพูดแบบนั้นผมก็รู้สึกว่าที่เธอไม่ได้กำลังเยาะเย้ยผม เรื่องเสียงที่สั่นเครือของผมแต่ดูเหมือนเธอจะคิดว่าการพูดแบบสุภาพๆนั้นดูตลกจริงๆ
ผมรู้สึกโล่งใจเล็กน้อย แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกเศร้าปนไปด้วยเพราะผมคิดว่าเธอคงไม่รู้ว่าผมจริงจัง ถึงแม้ว่างานนี้ผมจะเตรียมตัวมาแล้วก็เถอะ แต่มันก็ไม่ง่ายเลยที่จะต้องทำเรื่องที่ทำไปแล้วมันจะต้องคว้าน้ำเหลวแน่ๆน่ะ แล้วเธอก็เดินเช้ามาหาผมแล้วหยุดอยู่ตรงหน้าผมประมาณสองเมตรได้แล้วเธอก็พูด
“แล้วนี่มันคืออะไรล่ะ? นายอยากจะคุยอะไรงั้นหรอ?”
อ่า ชิราคาวะซัง………….
ผมประหม่าเกินไปจนมองหน้าเธอไม่ติด แต่ผมก็มั่นใจว่าใบหน้าของเธอตอนนี้ใบหน้าของเธอนั้นต้องสวยมากแน่ๆ
ผมน่ะ…….กับเธอแล้ว………
พูดสิ ผมต้องพูดมันออกไป…………ขืนเอาแต่เงียบอยู่ต่อไปแบบนี้ แม้แต่คนที่มีบุคลิกที่ดีอย่างชิราคาวะซังก็คงจะเบื่อหน่ายผมเป็นแน่แท้
ด้วยความคิดนั้นผมจะเงยหน้ามองขึ้นไปอย่างสิ้นหวัง
“………….!!”
ใบหน้าที่สวยงามอย่างไม่น่าเชื่อของชิราคาวะซังที่มองตรงมาที่ผม ทำให้หัวใจของผมเต้นแรงและแม้ว่าผมกำลังจะอ้าปากพูด แต่เสียงมันก็ไม่ออกมาจากลำคอ
“ชะ ชะ ชะ ชอ…..”
ผมเป็นบ้าอะไรของผมวะเนี่ย!! ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมาติดอ่างเอาตอนจะสารภาพรักซะได้!! แต่ว่าตอนนี้น่ะผมมาไกลเกินกว่าที่จะถอยกลับแล้ว !!
“ผะ-ผะ-ผมชอบเธอ !!”
ทำไปแล้ว พูดออกไปแล้ว………..
ผมเกลียดตัวเองในตอนนี้ชะมัด อยากจะมุดหนีลงไปในพื้นคอนกรีตแล้วแล้วหนีไปจากตรงนี้เลยจริงๆ
“เอ๊ะ? ซูซูกิ?”
(พระเอกติดอ่างคำว่า ซูกิ = ชอบ น้องเลยได้ยินเป็น ซูซูกิ แทน)
ชิราคาวะซังย่นคิ้วของเธอแล้วจ้องมองมาที่ผมจากนั้นเธอก็ก้มหน้าลงไปมองสิ่งที่เขียนบนกระดาษและทำหน้าจริงจังมากขึ้น
นี่ก็เป็นอีกครั้งที่ผมคิดว่าเธอสวย เนื่องจากเธอแต่งตัวเหมือนกับสาวแกลผมก็คิดว่าบางทีเธอเองก็คงไม่ได้แต่งหน้าด้วย ผมรู้สึกทึ่งกับคุณสมบัติความงดงามของเธอ
และในเมื่อตอนนี้การสารภาพรักครั้งยิ่งใหญ่ของผมมันได้ล้มเหลวไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ผมก็คงจะไม่มีอะไรที่จะต้องละอายใจอีกต่อไป
“นี่….ว่าแต่ซูซูกินี่คือใครงั้นหรอ?”
ชิราคาวะซังยังคงมีสีหน้าเคร่งเครียด
“เอ๊ะ?”
ผมคิดอย่างจริงจังว่าซูซูกินั้นคือใคร? จากนั้นมันก็วกเข้ามาหาตัวผมเต็มๆเพราะคำสารภาพรักแบบเงอะงะของผมแท้ๆเลยทำให้เธอเข้าใจผิด
“มะ-ไม่ใช่ครับ….อืม คือว่า…….ผมชอบเธอน่ะ”
คราวนี้ผมพูดออกไปอย่างถูกต้อง คงจะเป็นเพราะว่าไม่มีอะไรจะเสียอีกต่อไป
จากนั้นดวงตาของชิราคาวะซังก็เบิกกว้าง
“อ๋า…นายหมายความว่าอย่างนั้นเองงั้นหรอกหรอ?”
และชิราคาวะซังก็มองออกไปชั่วขณะนึงราวกับว่าเธอเข้าใจทุกอย่างแล้วและดูเหมือนว่าเธอกำลังหนักใจอยู่
“ทำไมล่ะ?”
นั่นคงเป็นคำถามที่ตั้งขึ้นมาเป็นข้อพิจารณาที่เธอคิดขึ้นมาก่อนที่จะบอกปฏิเสธผมล่ะนะ
“เอ๊ะ…”
“ทำไมนายถึงได้ชอบชั้นล่ะ?”
ผมไม่คิดว่าจะถูกถามอะไรแบบนี้และผมก็เริ่มครุ่นคิดกับตัวเองทันทีว่าทำไมผมถึงได้ชอบเธอกันนะ?
“กะ-ก็เพราะเธอ….นะ-น่ารักยังไงล่ะ….”
ผมเกรงว่าเสียงของผมตอนนี้มันกำลังสั่นและฟังดูเหมือนกับว่าเสียงมันกำลังจะจางหายไป
แต่…..
ต่อให้ผมจะล้มเหลวในการพูดสารภาพไปอีกสักกี่หน ผมก็ถูกเธอปฏิเสธเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นแหละ ผมคิดแบบนั้นกับตัวเองและรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย
“…………..”
ชิราคาวะซังกระพริบตาและมองมาที่ผม แก้มของเธอมีสีแดงเล็กน้อยและเธอก็หลับตาลงราวกับกำลังเขินอาย
“ฟู่วว”
เธอพึมพัมราวกับว่ากำลังปกปิดความลำบากใจของเธอและในวินาทีถัดมาเธอก็มองมาที่ผมและก็พูดอะไรบางอย่างที่สุดจะอุกอาจ
“ถ้าอย่างนั้นเรามาคบกันดีไหม? ตอนนี้ชั้นเองก็ไม่มีใครด้วยสิ”
ในทีแรกผมก็ไม่เข้าใจว่าเธอพูดอะไรออกมา
ถ้าอย่างนั้นเราก็มาคบกันไหม? ตอนนี้ชั้นเองก็ไม่มีใครด้วยสิ มาคบกันไหม คบกันไหม คบกันไหม
ชิราคาวะซัง ? คบกับใครนะ !!?? อย่าบอกนะว่า…………กับผมงั้นหรอ !!!!!!!!!!!!
“เอ๋ !!!!!!”