เนื่องจากโรงเรียนของเราเป็นโรงเรียนเอกชนในโตเกียว นักเรียนจำนวนมากจึงเดินทางมาโรงเรียนด้วยรถไฟ และนี่ก็คือสถานี O ที่มีทางแยกสำหรับ JR5 และรถไฟใต้ดินอยู่
“อ๊ะ อืม….อยู่ที่สถานี K น่ะครับ”
“ของชั้นสถานี A น่ะ”
“งั้นหรอครับ…..ก็ใกล้ดีนะครับ”
สถานีที่ใกล้บ้านที่สุดของผมก็คือสถานี K ซึ่งอยู่ห่างจากที่นี่ไปอีกสามสถานีและสถานี A ก็เป็นสถานีที่สองถัดไปจากที่นี่ก่อนที่จะถึงสถานี K
“โอ้! ถ้างั้นเราก็ขึ้นรถไฟสายเดียวกันงั้นสิ งั้นไปกันเล๊ยยย”
“ยะ-เย้….”
ผมถูกชิราคาวะซังบังคับลากเดินไปตามจังหวะของเธอ
พวกเราขึ้นรถไฟกันและเพียงแค่สองสถานีเราก็จะถึงสถานีที่ชิราคาวะซังจะต้องลงที่นั่นในอีกไม่ช้า ไอ้เจ้าสถานการณ์ที่สุดจะเหลือเชื่อนี่มันก็คงจะจบลงในตอนนี้แล้วสินะ
จนถึงก่อนหน้านี้แม้ว่าผมจะคิดว่าตัวผมเองประหม่าจนคิดว่าคงไม่สามารถอยู่กับเธอได้ แต่มันก็รู้สึกแปลกๆอยู่เหมือนกัน เพราะผมรู้สึกไม่เต็มใจที่จะแยกจากเธอไปเลย
“มันก็ใกล้ถึงแล้วนะ ถ้างั้นก็…”
ในที่สุดเมื่อเราเข้าใกล้สถานี A และผมกำลังจะบอกลาส่งเธอไป “เอ๊ะ?” ชิราคาวะซํงก็มองผมด้วยความประหลาดใจ
“นายจะไม่ไปส่งชั้นจนกว่าจะถึงบ้านหรอกหรอ?”
“เอ๊ะ?”
ผมไม่รู้วิธี “พาคนอื่นกลับบ้าน” จากโรงเรียนจนถึงบ้านเลยจริงๆ แต่ว่าถ้าเป็นแฟนก็คงจะไปส่งเธอถึงบ้านเลยจะเป็นการดีกว่า….
“ถ้าอย่างนั้นก็….”
และสถานการณ์เหลือเชื่อนี้ก็ยังคงดำเนินต่อไป
ผมไม่ต้องจ่ายค่าโดยสารที่แวะลงกลางทางเพราะบัตรโดยสารของผม ผมก็เลยตัดสินใจที่จะลงที่สถานี A กับเธอและพาชิราคาวะซังไปส่งจนกว่าจะถึงบ้าน
สถานีแห่งนี้เป็นสถานีที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่ที่มีแหล่งช้อปปิ้งกระจัดกระจายอยู่รอบๆทางด้านหน้าสถานีและใช้เวลาเดินจากที่นี่ไปยังบ้านของชิราคาวะซังก็ราวๆสิบห้านาที
แล้วก็พูดตามตรงเลยว่าผมจำอะไรไม่ได้เลยว่าเราคุยอะไรกันบ้างในช่วงเวลานั้นที่กำลังเดินไปยังบ้านของเธอ มันคือความเป็นจริงที่ดูไม่สมจริงเอาซะเลยไอ้การที่
“ผมได้คบกับชิราคาวะซัง” คำนี้มันทำให้ผมทิ้งดิ่งความรู้สึกของตัวเองทำให้ความคิดของผมมันเบี่ยงเบนไปจนท้ายที่สุดผมก็ประหม่าเกินไปจนไม่มีสมาธิกับการสนทนาเลยแม้แต่น้อย
“ที่นี่ล่ะ บ้านของชั้น”
สถานที่ที่ชิราคาวะซังหยุดและพูดออกมานั้น คือ บ้านไม้สองชั้นที่ภายนอกดูค่อนข้างเก่าหน่อยๆและบ้านในระแวกนี้ก็ให้ความรู้สึกคล้ายๆกันไปหมด จนดูเป็นย่านพักอาศัยที่ดูเข้มงวดพอสมควรเลย
ผมไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดีเกี่ยวกับภายลักษณ์ภายนอกของตัวบ้านที่ไม่สามารถคาดเดาได้จากภาพลักษณ์ของชิราคาวะซังเลย
“บ้านสวยดีนะครับ…”
ผมพูดแสดงความคิดเห็นออกไปอย่างระมัดระวัง
แล้วชิราคาวะซังก็ยิ้มอย่างมีความสุข
“จริงหรอ? ขอบใจนะ”
รอยยิ้มของเธอมันเป็นรอยยิ้มที่แสดงความรู้สึกขอบคุณจากใจจริง
“…………..”
ความน่ารักของเธอทำให้หัวใจของผมมันเต้นแรงอีกครั้ง แต่ในขณะเดียวกันผมก็รู้สึกผิดและอยากหนีออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด
“ถ้าอย่างนั้นผมก็ขอตัวก่อน……”
ขณะที่ผมกำลังเผ่นแน่บชิราคาวะซังก็เรียกผมด้วยท่าทีร่าเริง
“นี่อยากแวะเข้าไปสักหน่อยไหม?”
“เห๊ะ?”
“พ่อแม่ของชั้นเองก็อยู่ที่ทำงานอยู่ ส่วนคุณย่าก็ไปเข้าคลาสเต้นฮูล่าน่ะ”
งั้นหรอ…ดูเหมือนว่าเธอคงจะอยู่กับคุณย่าสินะ หืม….แต่เข้าคลาสเต้นฮูล่าเนี่ย ช่างดูลื่นไหลไปกับวัยเยาว์จริงๆเลยนะครับคุณย่า แต่ว่ามันมีอีกอย่างที่สำคัญกว่าเหนือสิ่งอื่นใด
การแวะเข้าไปในบ้านของชิราคาวะซัง……….
เข้าไปในบ้านของเธอ………ที่ไม่มีใครอยู่………..มีแค่เราสองต่อสอง
“ธะ-เธอแน่ใจแล้วหรอ?”
ผมถามในขณะที่กลืนน้ำลายด้วยความกังวลใจและชิราคาวะซังก็พยักหน้าตอบกลับโดยไม่ลังเล
“ก็ใช่สิ ก็ริวโตะเป็นแฟนของชั้นนี่นา”
เอ่อ ถึงอย่างนั้นก็เหอะ……..แม้ว่าผมจะเป็นเพื่อนร่วมห้องที่แม้แต่ชื่อก็ยังไม่รู้จักจนถึงเมื่อกี้นี้เองอ่ะนะ? แม้ว่าผมจะคิดแบบนั้นกับตัวเองก็ตามที แต่ถ้าหากว่าเธอบอกว่าไม่เป็นไรผมก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องอดกลั้นอีกต่อไป
นี่ตัวผมกำลังจะตายรึเปล่านะ?………
เหตุการณ์พรรณนี้……..มันไม่ควรเกิดขึ้นในชีวิตของผมเลย….
“อะ-เอ่อ ถ้าอย่างนั้น ก็ขออภัยที่ล่วงล้ำนะครับ….”
ดังนั้นสามสิบนาทีหลังจากที่ผมพึ่งเริ่มคบกับ “แฟน” คนแรกของผมผมก็ต้องแวะเข้าไปเยี่ยมภายในบ้านของเธอ….
ตอนนี้ผมยังมีความรู้สึกว่าตัวเองเหมือนกำลังถูกหลอกอยู่เลย แต่ว่านะ ตอนนี้ผมน่ะกำลังก้าวเข้าไปใน “บ้านของชิราคาวะซัง”
เท้าของผมมันรู้สึกยืนได้ไม่มั่นคงเอาเสียเลยและก็เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกว่านี่มันไม่ใช่เรื่องจริง
.”ขะ-ขออนุญาตินะครับ”
ขณะที่ผมเดินเข้าไปยังประตูหน้าบ้านผมก็ถูกล้อมรอบไปด้วยกลิ่นอายของบ้านของคนอื่น ที่พื้นมีรองเท้าสีฉูดฉาดอยู่จำนวนหนึ่งซึ่งผมคิดว่าเป็นของชิราคาวะซัง ซึ่งความสดใสของพวกมันทำให้หัวใจของผมเต้นแรงมากยิ่งขึ้น
“มาเร็ว ขึ้นกันเถอะ ห้องของชั้นอยู่ทางด้านบนน่ะ”
ผมถูกชิราคาวะซังกระตุ้นให้เดินขึ้นบันไดแคบๆที่มองเห็นอยู่ตรงหน้าทันที
บนชั้นสองมีห้องที่มีประตูบานเลื่อนแบบญี่ปุ่นและห้องที่มีประตูบานสวิงแบบตะวันตกอยู่ ส่วนชิราคาวะซังก็เดินไปจับลูกบิดประตูเพื่อเปิดประตูบานถัดไป
“เข้ามาสิ”
เมื่อเธอพูดอย่างนั้นเธอก็เปิดห้องของเธอให้ผมดูและผมก็พอสรุปได้ว่าเป็นห้องที่ดูๆแล้วก็เข้ากันได้ดีกับชิราคาวะซัง
สิ่งแรกที่ดึงดูดสายตาของผมก็คือเป็นห้องขนาดห้าเสื่อทาทามิที่ถูกล้อมรอบด้วยผ้าม่านสีชมพูเข้มรวมถึงปลอกหมอนและผ้านวมของเตียงนอนด้วย ตู้เสื้อผ้าเองก็ตั้งอยู่ข้างๆกำแพงมันให้ความรู้สึกไม่ได้เป็นตู้เสื้อผ้าที่ดูหรูหราอะไร แต่ก็มีดีไซน์ที่ดูดีมีไสตล์ และก็มีโต๊ะเขียนหนังสือ แต่โต๊ะนั้นถูกปกคลุมไปด้วยพวกกระเป๋าและสิ่งของจุกจิกจิปาถะ ซึ่งไม่ใช่สภาพแวดล้อมที่เอาไว้เล่าเรียนได้เลย
โดยรวมแล้วผมก็รู้สึกท่วมท้นไปด้วยสิ่งของจุกจิกเล็กๆมากมายที่ถูกวางไว้เต็มไปหมด เช่น ขวดเล็กๆ ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นเครื่องสำอางของเธอ ตุ๊กตาสัตว์ที่ดูเหมือนตัวมาสคอตรวมถึงพวกของวิบวับแวววาวที่เป็นเครื่องประดับ แต่ถึงอย่างนั้นของพวกนี้ก็ไม่ได้กระจัดกระจายไปทั่วอย่างไม่เป็นระเบียบสิ่งของทั้งหมดถูกจัดให้เข้าที่เข้าทางเข้ากับแนวทางเฉพาะของตัวเธอเอง
นอกจากนี้ยังมีกลิ่นของดอกไม้หรือผลไม้ของชิราคาวะซังที่ล่องลอยอยู่ในอากาศอย่างรุนแรงจนผมรู้สึกหายใจไม่สะดวก
“เป็นอะไรไปล่ะ? รีบเข้ามาเร็วๆสิ”
ชิราคาวะซังที่เข้าห้องไปก่อนก็เรียกผมเข้าไป ตอนนี้ผมรู้สึกหนักใจกับตัวเองที่ขาดภูมิคุ้มกันเรื่องห้องของผู้หญิงจริงๆ
“อะ-อื้ม ครับผม”
เมื่อผมรู้ตัวว่าการที่มายืนทื่ออยู่ตรงนี่ไปตลอดมันก็ออกจะแปลกไปหน่อยผมก็รีบเดินเข้าไปด้านในห้อง
“อยากนั่งตรงไหนก็เชิญเลยนะ”
ชิราคาวะซังเธอพูดอย่างไม่เป็นทางการและวางกระเป๋านักเรียนของเธอลงบนพื้น
“ชั้นจะไปเอาเครื่องดื่มมา เป็นชาข้าวบาร์เลย์ ได้ใช่ไหม?”
“อื้ม ขอบคุณครับ”
ชิราคาวะซังเดินออกจากห้องไปด้วยจังหวะฝีเท้าการเดินอย่างเบาๆของเธอที่เดินลงไปยังชั้นล่างนั้นสอดคล้องกับจังหวะการเต้นของหัวใจที่รุนแรงของผม
นี่เรื่องทั้งหมดนี่มันเกิดขึ้นได้ยังไงวะเนี่ย……………….
ผมเตรียมใจที่จะถูกปฏิเสธ แต่ตอนนี้กลับอยู่ในฐานะ “แฟนหนุ่ม” ของชิราคาวะซังแถมยังได้นั่งอยู่ในห้องของเธอที่บ้านของเธออีก ผมเองก็ยังไม่อยากจะเชื่อกับสถานการณ์ในตอนนี้เลยจริงๆ
แต่ยังไงซะ
ตอนนี้ผมอยู่ในห้องของชิราคาวะซังสินะ….
“ฟู่วววววววววว”
ตอนนี้เรามาหายใจเข้าลึกๆ
อืม มีกลิ่นของชิราคาวะซังด้วยแฮะ………
ด้วยความคิดนั้นมันเติมเต็มความรู้สึกที่คิดลึกของผมและหลังจากนั้นผมก็พึ่งตระหนักได้
นี่มันน่าขนลุกชะมัด! ทำบ้าอะไรของผมวะเนี่ย!!
แต่นี่มันก็เป็นสถานการณ์ที่ผมได้อยู่ตัวคนเดียวในห้องของหญิงสาวที่ผมโหยหามาโดยตลอด ผมก็เลยรู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองกำลังถูกกระตุ้นให้ทำสิ่งที่ไม่ดีอยู่
ยกตัวอย่างเช่น การเปิดเจ้าลิ้นชักนี่………
มันเรียกว่าโชคดีรึเปล่านะ? ที่ทางเข้าประตูหรือจะให้พูดอีกนัยนึงก็คือข้างๆผมมันมีกล่องหีบสีขาวๆอยู่ ซึ่งนั้นคือสิ่งของส่วนตัวอย่างแท้จริงได้ถูกวางไว้อยู่โต้งๆแบบนี้
ดูเหมือนว่ามันจะบรรจุชุดชั้นในหลากชนิดของเธอไว้อยู่แล้วตอนนี้ผมก็ละสายตาจากมันไปไม่ได้เลย………….
หยุดนะเว้ย!! นั่นเป็นสิ่งเดียวที่ไม่ควรทำ………..แต่ว่า…..ผมก็อยากจะเห็นอ่ะ………..
หลังจากที่นางฟ้าและปีศาจในจิตใจของผมมันตบตีกันสักพักหนึ่งผมก็ได้ข้อสรุปออกมา
และผู้ที่ชนะนั่นก็คือ “ฝ่ายปีศาจนั่นเอง”
“แค่นิดหน่อยก็แล้วกัน……….”
ผมพ่นคำแก้ตัวออกมาเพราะรู้สึกผิดและรีบวางมือลงตรงลิ้นชักและเมื่อผมเปิดลิ้นชักออกมาเพียงไม่กี่เซนติเมตรผมก็ส่งเสียงออกมาโดยไม่รู้ตัว
“โหวว….”
ลายลูกไม้สีขาวมันติดอยู่ในเบ้าตาของผมทำให้มือของผมหยุดชะงักไป
นะ-นะ นี่คือ…….เสื้อผ้าส่วนตัว……..ของชิราคาวะซัง !!
ในขณะนั้นเองมองก็มองขึ้นไปยังสรวงสวรรค์และได้ลิ้มรสความสุขทั้งหมดที่ได้เห็นของส่วนตัวของเธอ
“ขอโทษที่ให้รอนะ”
“อุหวา !!!”
ผมประหลาดใจมากจนสะดุ้งกระโดดเด้งขึ้นจากพื้นและกระแทกกับลิ้นชักที่กำลังเปิดอยู่ในตอนนี้อย่างสวยงาม
“โอ้ย….อูยย”
ชิบหายแล้ว ผมลืมปิดลิ้นชัก…….
“ฮะ? มันเปิดอยู่งั้นหรอ? ขอโทษทีนะ”
อย่างไรก็ตามชิราคาวะซังเธอไม่ได้สงสัยในตัวผมและหันไปมองลิ้นชักเมื่อเธอสังเกตุเห็นว่ามันเปิดแง้มออกมา ชิราคาวะซังก็วางชาข้าวบาร์เลย์ไว้แล้วจับตัวชั้นในลายลูกไม้สีขาวที่อยู่ในลิ้นชักออกมา
“นี่ๆดูนี่สิ”
“…………..!!!”
นี่เธอโชว์อะไรให้ผมดูเนี่ย !!!
ในขณะที่ผมติดสตั้นไปพร้อมกับความคิดของผม ชิราคาวะซังก็คลี่มันออกและเผยให้ผมเห็นโดยไม่ลังเล
“นี่ไงๆ มันน่ารักสุดๆไปเลยใช่ม้า? มันคือชั้นในที่ชั้นพึ่งซื้อมาเองแหละ ชั้นกะว่าจะใส่มันตอนที่ได้ใส่เสื้อเปิดหลังน่ะ”
“…………………..”
เมื่อผมเห็นชั้นในสีขาวที่ถูกกางออกตรงเบื้องหน้าของผม ผมก็รู้สึกหน้ามืดวิงเวียน คล้ายจะเป็นลม
“คะ-คะ-ครับ มันก็ดูดีนะ….”
อย่างที่คิดเลยว่าการที่แอบดูของๆคนอื่นโดยที่ไม่ได้ขอเนี่ยเป็นเรื่องที่ไม่สมควรจริงๆนั่นแหละ
ผมขอสาบานกับหัวใจของตัวเองว่าจะไม่ทำอะไรแบบนี้อีกเด็ดขาด
“เอาล่ะ นี่ชาจ้า”
และชิราคาวะซังก็ไปถือชาข้าวบาเลย์ด้วยมือทั้งสองข้างของเธออีกครั้ง
“มานั่งสิๆ”
“อ๊ะ ขอบคุณครับ”
เมื่อฟื้นคืนสติได้แล้วผมก็ว่าจะนั่งลง
แต่ว่านั่งตรงไหนล่ะ?
ห้องนี้ไม่มีโซฟาหรือเก้าอี้เลย สิ่งที่ดูเหมือนจะนั่งได้ก็มีแค่เก้าอี้ตรงโต๊ะเรียนหนังสือของเธอ หากเป็นอย่างนี้ก็คงช่วยไม่ได้ ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากนั่งบนพื้นไม้หรือว่าที่เตียงแล้วล่ะนะ…..
เตียง……….
หือ….เตียง ?
มันก็มีอยู่หลายครั้งอยู่เหมือนกันที่คุณจะนั่งบนเตียงแทนที่จะไปนั่งโซฟา และก็มีบางครั้งที่คนสองคนจะนั่งข้างๆกันบนเตียงและสนทนากันอย่างชิลๆ แต่ว่ามันเป็นไปไม่ได้กับสถานการณ์ในตอนนี้นี่สิ !!
เจ้าของห้องก็คือชิราคาวะซังที่ผมใฝ่ฝันมาโดยตลอดและเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดในชั้นปีเราและก่อนหน้านี้เธอก็ได้กลายเป็น “แฟนสาว” ของผมโดยที่ผมก็ยังไม่อยากจะเชื่อ
และถ้าเรานั่งเคียงข้างกันบนเตียงมันคงจะเป็นอะไรที่บ้ามาก!
“อะไรล่ะนั่น ?”
เมื่อชิราคาวะซังสังเกตุเห็นผมที่ยังไม่ได้นั่งและเหมือนว่าเธอกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่แล้วจู่ๆเธอก็ทำหน้าเหมือนเข้าใจบางอย่าง
“โอเค นายอยากอาบน้ำก่อนงั้นหรอ? ห้องอาบน้ำอยู่ชั้นล่างน่ะ อยากให้ชั้นพานายไปไหม?”
“เอ๊ะ?”
เดี๋ยวนะ ตอนนี้เธอกำลังพูดอะไรอยู่น่ะ?
เพราะถ้าหากเธอพูดอะไรบางอย่าง อย่างการอาบน้ำล่ะก็ความคิดของผมมันจะไปทางด้านนั้นมากขึ้นเรื่อยๆ
หรือบางทีชิราคาวะซังเธอเป็นประเภทรักสะอาดจัดๆและปล่อยให้แขกอาบน้ำที่บ้านได้งั้นหรอ? หรือเธอจะบอกเป็นนัยๆว่าตัวผมเหม็นงั้นหรอ?
เดี๋ยวสิไม่ใช่อย่างงั้นสิ แม้ว่าก่อนหน้านี้เธอจะพูดอย่างไม่เป็นทางการว่าให้ผมนั่งลงก็เถอะ…..และในขณะที่ผมกำลังคิดกระวนกระวายวกไปวนมาอยู่ชิราคาวะซังก็ทำหน้าเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง
“หรือว่าริวโตะเป็นประเภทไม่ต้องอาบน้ำก็ได้งั้นหรอ?”
เอ๊ะ? เดี๋ยวก่อนๆเธอพูดถึงเรื่องนี้ทำไม?
ขณะที่ผมกำลังสับสนวุ่นวายอยู่ การกระทำต่อไปของเธอก็ทำให้ผมประหลาดใจ
ชิราคาวะซังวางแก้วชาลงและเอามือไปแตะที่ส่วนหน้าอกบนชุดเครื่องแบบนักเรียนของเธอ
“พอดีวันนี้มีคาบพละ ตัวชั้นก็อาจจะเหม็นนิดหน่อย น่าอายจัง…..”
ในขณะที่พูดเธอก็ปลดกระดุมเสื้อหนึ่งเม็ดบนเสื้อของเธอ จากนั้นก็สองเม็ด สามเม็ด จนผมเห็นร่องอกที่เปิดกว้างของเธอ…….ผมไม่สามารถละสายตาไปจากร่องลึกที่เผยให้เห็นชั้นในลายลูกไม้ของเธอได้จริงๆและผมก็เผลอกลืนน้ำลายลงคอโดยที่ผมไม่รู้ตัว
“นะ-นี่คือ ชุดชั้นในของชิราคาวะซัง……เดี๋ยวก่อนเดี๋ยว ! ไม่ดีๆ อย่ามองนะ ถ้าผมจ้องมันมากเกินไป ผมก็จะดูเหมือนเป็นพวกโรคจิตเลยไม่ใช่รึยังไงกัน?
อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าเธอกำลังเมินผมและปลดกระดุมเม็ดถัดๆไปเรื่อยๆโดยไม่ลังเล
“ดะ-เดี๋ยวก่อน ชิราคาวะซัง !”
หลังจากที่มาไกลขนาดนี้การพูดคุยก็คงไม่มีประโยชน์อีกต่อไปแล้ว
การพูดคุยเรื่องที่ว่าอาบน้ำก่อนหน้านี้และอื่นๆ รวมถึงสิ่งที่เธอพูดเมื่อครู่น่ะมันมีความหมายเพียงอย่างเดียว
นี่เธอกำลังจะทำเรื่องอย่างว่า………กับผม……นี่มันเหลือเชื่อเกินไปแล้ว ไม่ได้อำกันใช่ไหมเนี่ย?
มันจะดีอย่างงั้นหรอ?
ในการที่ผมจะคิดว่าผมสามารถบอกลาชีวิตไอ้หนุ่มซิงแสนมืดมนไปได้ ที่ผมไม่เคยคาดคิดมาก่อนจนถึงตอนนี้น่ะนะ?
ยิ่งไปกว่านั้นผมก็ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคู่นอนของผมจะเป็นชิราคาวะซัง นี่มันดวงอะไรกันวะเนี่ย? ไม่สิ แต่เดี๋ยวก่อน นี่เธอโอเคกับเรื่องนี้จริงดิ?
“ดะ-เดี๋ยวก่อน รอก่อน…”
ด้วยน้ำเสียงที่กำลังรู้สึกแปลกประหลาดใจของผม ชิราคาวะซังจึงหยุดปลดกระดุม
“หืม? อะไรหรอ?”
ผมกลืนน้ำลายและพูดกับเธอที่กำลังมีท่าทีสงสัยอยู่
“นี่เธอกำลังจะทำ..อะไรน่ะ?”
อย่างที่คิดมันยังเร็วเกินไป ไม่ว่าจุดสูงสุดของความหลงผิดในฐานะผู้ชายคนหนึ่งจะสูงลิ่วแค่ไหนก็ตาม แต่ผมก็ไม่เคยคิดจินตนาการถึงพัฒนาการความสัมพันธ์ที่รวดเร็วขนาดนี้มาก่อนเลย
พูดตามตรงผมตามจังหวะนี้ไม่ทันแล้วจริงๆ มันต้องมีอะไรสักอย่างที่ผิดพลาด
ผมต้องยืนยันความตั้งใจของเธอก่อนที่เธอจะทำเรื่องที่เข้าใจผิดอะไรสักอย่าง
“นายพูดอะไรน่ะ?…..งั้นพวกเราจะไม่มีเซ็กส์กันหรอ?”
ผมติดสตั้นกับคำตอบที่เถรตรงเกินไปของเธอ นี่เธอเอาจริงดิ !
อ่านตอนใหม่ก่อนได้ที่เพจ Ms.Elizabeth