[นิยายแปล] Keiken Zumi na Kimi to, Keiken Zerona Ore ga, Otsukiai Suru Hanashi. – ตอนที่ 6 เดทแรกงั้นหรอ?

ตั้งแต่เมื่อวานแล้วมันเหมือนกับว่าผมกำลังฝันอยู่เลย                   

แต่ไม่ว่าผมจะหยิกแก้มตัวเองไปเท่าไหร่ก็ยังไม่ตื่น แถมยิ่งเพ้อฝันหนักกว่าเดิมอีกในช่วงตอนกลางคืน ฝันว่ากำลังมองชิราคาวะซังอยู่ที่ไกล ๆ แล้วตอนนี้ผมก็ค่อนข้างแน่ใจว่าตอนนี้ผมได้ตื่นจากฝันนั้นเรียบร้อยแล้วแสดงว่านี่มันจะต้องเป็นเรื่องจริงแน่ ๆ

ไม่อยากจะเชื่อเลย…เรา กำลังคบกับ ชิราคาวะซัง…

ผมไปโรง ๆ ทั้งที่หัวใจยังเต้นแรง และในหัวกำลังคิดแต่เรื่องนั้น และแล้วชีวิตในรั้วโรงเรียนวันที่สองหลังจากคบหากับ ชิราคาวะซังก็ได้เริ่มต้นขึ้น

หลังจากที่ผมมาถึงโรงเรียนและตรงดิ่งไปยังห้องของผม อิชิ ที่ยืนอยู่ตรงทางเดินหน้าห้องก็ตรงดิ่งมาหาทันทีเมื่อสังเกตเห็นผม

“นี่!!”

เขาวางมือจับไหล่ของผมอย่างเหนียวแน่นพร้อมกับมองผมด้วยดวงตาที่แดงก่ำ

“นี่มันเรื่องอะไรกัน!? มันเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้นฮะ!? ชั้นจะรู้ไหมกับแค่คำว่า ‘ก็มีอะไรหลายๆอย่างเกิดขึ้น’ที่เอ็งพิมพ์มาใน line น่ะมันวนเวียนอยู่ในหัวจนนอนไม่หลับเลยนะเฟ้ยเอ็งรู้รึเปล่า!?”

“ทะ..โทษที เอ่อ..ชั้นไปมาน่ะ…บ้านของชิราคาวะซัง”

“อะ………….อะไรนะ!!!”

ทันใดนั้นเสียงโทนต่ำก็ดังมาจากข้างหลัง

“เอ็งได้ทำหรือเปล่า?”

ผมหันไปดูก็เจอกับ นิชิที่ทำหน้าเหมือนหน้ากากโนะยืนอยู่

“เหวอ ตกใจหมดเลย”

“ตอบมา ตูถามว่าเอ็งได้ทำหรือเปล่า”

นิชิกดดันผมด้วยคำถามที่เนื้อเสียงยังกับการสอบปากคำผู้ร้าย

“มีอะไรจะสารภาพหรือเปล่า คาชิ”

“บอกมาซะ!”

อิชิก็กดดันผมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด หมอนี่บีบไหล่ผมอย่างแรงจนเหมือนนิ้วของมันจมเข้าไปในไหล่ของผม แน่นอนมันค่อนข้างเจ็บเลย

“ชั้นไม่ได้ทำน่ะ…”

““ได้ยังไง!?””

ทั้งสองตะโกนขึ้นพร้อมกัน

“พ่อแม่เธออยู่บ้านหรอ!?”

“เปล่า…”

“หรือว่าอยู่ดี ๆ เธอก็ตั้งการ์ด!?”

“ไม่ เหมือนเธอจะเต็มใจด้วยซ้ำ…”

ทันทีที่ผมตอบไป ทั้งสองคนก็แยกเขี้ยวใส่ผมอย่างกับหน้ากากฮันเนีย

(TL NOTE: หน้าปีศาจของญี่ปุ่นที่แทนความหมายของความอิจฉา,ริษยา)

“ถ้างั้นทำไมเล่า!?”

“มะ..มันต้องการการเตรียมตัวก่อนน่ะ”

“อย่างที่ชั้นเคยพูดอยู่เสมอไง ใช่! แม้แต่พวกมืดมนเองอย่างน้อยก็ควรจะมีถุงยางพกติดตัวเอาไว้ซักอันนึง! มันคือมารยาทของสุภาพบุรุษยังไงล่ะ ได้ยินหรือเปล่า!”

อิชิตะโกนออกมาพร้อมกับส่ายร่างใหญ่ ๆ ของเขาไปมา พาทำคนอื่น ๆ ที่เข้ามาในห้องมองพวกเราด้วยสายตาแปลกๆกันตรึมเลย

“ไม่ ไม่ใช่เตรียมตรงนั้น หมายถึงใจของชั้นเองต่างหากล่ะ…”

“ใจเอ็ง!?”

“นี่เอ็งเป็นสาวน้อยรึยังไงฟะ!?”

“เอ็งมันไม่ได้เนื้อหอมด้วยซ้ำ ทำไมไม่คว้าโอกาสนั่นไว้เล่า!?”

พวกเขาโถมคำถามมามากมายแล้วดันตัวผมไปติดกับผนังของโถงทางเดินจนผมรู้สึกหวาดกลัว

แม้ผมจะรู้สึกแย่กับการที่ไม่ได้มีอะไรกันกับชิราคาวะซังไปแล้วก็ตาม แต่ซ้ำร้ายยังมาโดนวิพากย์วิจารณ์หนักขนาดนี้มันก็ยิ่งตอกย้ำความเศร้าของผมมากยิ่งขึ้นไปอีก

“ตะ..แต่เราก็คบกันแล้วนะ  ไอ้โอกาสแบบนั้นน่ะมันคงไม่ได้มีแค่ครั้งเดียวใช่ไหมล่ะ?”

ทั้งสองกลับมาทำหน้าซีเรียสอีกครั้งทันทีที่ผมพูดออกไป

“คาชิ”

“นี่นาย อย่าบอกนะว่า นายคิดจริงจังเรื่องที่คบกับชิราคาวะซัง?”

“เอ๋”

พวกเขามองมายังผมที่กำลังสับสนราวกับมองสิ่งมีชีวิตที่น่าสงสาร

“อีกฝ่ายคือ ชิราคาวะ ลูน่า เอ็งรู้ใช่ไหม? ที่อยู่จุดสูงสุดของโรงเรียนนี้ เอ็งรู้ตัวใช่ไหม? กับพวกมืดมนอย่างเราๆเธอก็แค่เอามาเล่นสนุกแค่นั้นแหละ นั่นมันก็แค่ยัยบิชที่เปลี่ยนผู้ชายไม่ซ้ำหน้า ไม่ว่าจะยังไงเธอก็เลือกนายมาเพื่อวันไนท์แสตนได้คืนเดียวแล้วแยกทางแบบเมื่อวานเท่านั้นแหละ ทำไมนายถึงพูดออกมายังกับเป็นแฟนของเธอได้กัน”

“เอะ? เอ๋!!!!?”

ผมงุนงงและดูเหมือนจะแสดงท่าทีแบบนั้นออกไป นิชิส่ายหัวเหมือนกับกำลังพูดว่า “ให้ตายสิ”

“เอาเถอะ ปล่อยให้เจ้านี่มันฝันหวานต่ออีกซักหน่อยเถอะ อิชิ“

“อือ ฮึ ชั้นมันใจว่าไม่นานมันก็คงได้เรียนรู้ถึงความเป็นจริงแล้วล่ะ”

สองคนนั้นกอดคอกันมองผมด้วยสีหน้าสงสารก่อนจะเดินลงไปตามทางเดิน

“…..”

เอ๋?

ปะ เป็นอย่างนั้นใช้ไหม? เราไม่ได้กำลังโดนหลอกใช่ไหม? นี่เรากำลังคบกับชิราคาวะซังอยู่….ใช่ไหม?

ที่สองคนนั้นพูดมาทำเอาผมรู้สึกใจคอไม่ดีเลยจริงๆ

ทันใดนั้นผมก็รู้สึกถึงแรงสั่นของโทรศัพท์ของผมในกระเป๋าชุดนักเรียน

“…หืม”

พอผมนำขึ้นมาดูก็เจอกับหน้าต่างข้อความไลน์

LUNA☆

 

 

 

 

จากชิราคาวะซัง

หลังจากได้เห็นนี่ก็ทำให้ผมมั่นใจได้ว่าอีเวนท์เมื่อวานนั้นไม่ใช่ความฝันหรือภาพลวงตา

ถ้าเราไม่ได้คบกัน มันก็ไม่มีทางที่เธอจะส่งข้อความนี่มาได้ อันที่จริง แม้แต่แลกเบอร์กันก็ยังไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

ถ้าเธอแกล้งเพื่อที่จะได้เล่นสนุกกับรีแอคชั่นของมืดมนล่ะก็คงอะไรยุ่งยากแบบนี้หรอก

พอคิดแบบนั้นก็ค่อยเบาใจหน่อย

 

 

 

 

 

 

ถ้าปั่นจักรยานไปสถานีและรีบหน่อยก็น่าจะถึงทันคาบแรกนะ สู้ๆ เธอทำได้!

 

 

 

ผมพิมพ์เป็นแต่ข้อความน่าเบื่อ ๆ แบบนี้นี่แหละ แต่อย่างน้อยผมก็เป็นพวกตอบข้อความทันทีนะ

โทรศัพท์ของผมสั่นอีกครั้งแล้วข้อความของชิราคาวะซังก็โผล่ขึ้นมา

 

 

☆LUNA☆

 

คนใจร้าย! ตอบกลับมาซะจริงจังเชียว กระซิก กระซิก  ✩จะพยายามค่า✩

 

 

 

“คนใจร้ายตอบกลับซะจริงจังงั้นหรอ….”

ขอโทษนะครับที่ส่งอะไรน่าเบื่อๆแบบนี้

แต่ก็ปกติแหละที่จะส่งแต่ข้อความจริงจังไปแบบน้า ถ้าเราลองไปเล่นมุกใส่ชิราคาวะซังแล้วดันแป้กขึ้นมา น่าจะขำไม่ออกไปชั่วชีวิตเลย

ตอนแรกก็คิดว่าจะพิมอะไรตอบเธอไปหน่อย แต่เธอน่าจะกำลังยุ่งอยู่กับการเตรียมตัวผมเลยส่งไปแค่สติ๊กเกอร์ ‘พยายามเข้านะ’พร้อมกับเก็บมือถือลงกระเป๋า

จากนั้นไม่นานมือถือของผมก็สั่นอีกครั้ง เธอตอบกลับมาด้วยสติ๊กเกอร์กระต่ายที่ดูไม่ค่อยจะน่ารักเท่าไหร่กำลังทำสีหน้าเร่งรีบ

“ถ้างั้น เราเองก็เตรียมตัวบ้างดีกว่า”

ผมหลุดออกมาโดยไม่รู้ตัวพร้อมกับวางมือถือลง

ชิราคาวะซังมาถึงตอนช่วงท้ายคาบแรก เสื้อผ้าหน้าผมยังแป๊ะเหมือนเดิม 

สมกับที่เป็นเธอ ผู้ไม่ยอมประนีประนอมเวลาที่ใช้ในการแต่งตัว

พอมองดูรุปโฉมอันแสนน่ารักของเธอ ทำให้ผมนึกย้อนไปถึงเมื่อวาน ช่วงเวลาที่ราวกับเป็นความฝัน รู้งี้ควรจะตอบรับคำเชิญมันซะให้จบ ๆ จะได้ไม่ต้องมาโดนความรู้สึกเสียดายเล่นงานแบบนี้

จากนั้นก็ถึงช่วงเวลาพักระหว่างคาบ โดยที่ผมยังไม่ทันรู้ตัว  ชิราคาวะซังก็มาที่โต๊ะของผมซะแล้ว

“รุณสวัสดิ์”

“อะ..อรุณสวัสดิ์”

ผมกังวลกับสายตารอบข้างที่เหมือนกับกำลังมองบุคคลที่หน้าสงสัยยังไงอย่างนั้น

“เธอมาสายนะ”

ผมต้องการที่จะตัดบทสนทนาจิปาถะออกไป ผมจึงเป็นฝ่ายเริ่มด้วยตนเอง

“อืมม,ชั้นตื่นสายน่ะ”

“เกิดอะไรขึ้น เธอนอนดึกหรอ?”

พอผมต่อบทสนทนาต่อไปชิราคาวะซังก็พูดพร้อมกับสีหนน้าที่ช่วยให้สงสัย

“เวลาที่ชั้นคิดเรื่องริวโตะ ทำเอาชั้นนอนไม่หลับเลย”

“เอ๋?”

ผมตกใจจนแทบไม่ได้สนใจรอบข้างเลยว่าเกิดอะไรขึ้น และมองไปที่เธอ

“เพราะว่ามันเป็นครั้งแรกกับคนแบบริวโตะนี่นา แบบว่ามันก็เลยแปลกๆน่ะ”

“เอ๋ อย่างนั้นหรอ…?”

พูดเองก็เศร้าเอง แต่ผมเองก็คิดนะว่าตัวเองมันเป็นพวกมืดมนรุ่นผลิตจำนวนมาก.. ใช่เป็นประเภทที่ไม่มีอยู่ในรอบตัวของชิราคาวะซังแน่ ๆ

“ลูน่า!”

จู่ๆก็มีสาวสวยเรียกชื่อของชิราคาวะซังจากข้างหลังห้อง

แม้จะอยู่ท่ามกลางกลุ่มของสาวงาม แต่ออร่าของเธอนั้นค่อนข้างแรงเลย

เธอคือเพื่อนสนิทของชิราคาวะซัง สาวแกลผู้มีสายตาขึงขัง

ผมสัมผัสได้ว่าเธอจ้องมาที่ผม ผมเลยก้มหน้าลงพยายามทำตัวเหมือนเป็นอากาศ

“หืม?”

จากนั้นชิราคาวะซังก็กลับไปพร้อมกับ “เจอกันน้า” ให้กับผม

หลังจากนั้นชิราคาวะซังก็มาคุยกับผมทุกๆ การพักเบรกระหว่างคาบ

ก็ดีใจอยู่หรอก แต่อีกใจนึงก็กังวลกับสายตารอบข้างจริง ๆ

โดนเฉพาะสายตาที่มองผมอย่างกับศัตรูของสาวแกลคนนั้น

“น่ะ..นี่ ชิราคาวะซัง”

ก็ถูกจ้องซะขนาดนั้น คงช่วยไม่ได้ที่ผมต้องกระซิบคุยกับชิราคาวะซัง

“เธอยังไม่ได้บอกคนอื่นเรื่องที่เราคบกัน สินะ?”

“เอ๋?”

ชิราคาวะซังมองผมด้วยสายตาที่เหมือนกำลังถามว่า “ทำไมถึงถามอะไรแบบนั้น”

“ชั้นบอกนิโคลเพื่อนซี้ชั้นไปแล้วน่ะ”

ยัยสาวแกลที่สายตาขึงขังคนนั้นไม่ผิดแน่  เธอชื่อว่า ยามานะ นิโคล เธอตัวติดกับชิราคาวะซังมาตั้งแต่ตอนเรียนปีหนึ่งแล้ว

“ทำไมอะ? มันไม่ดีหรอ? แล้วริวโตะไม่ได้บอกอะไรกับเพื่อนสนิทบ้างเลยหรอ?”

ชิราคาวะซังถามผม

“คือก็มีเพื่อนอยู่สองคนที่รู้เรื่องน่ะ”

“เห็นไหมล่า~”

และอะไร ๆมันก็แย่ลง มันไม่ใช่ว่าถูกบอกให้เก็บเป็นความลับอะไร ผมก็ไม่ได้ปริปากพูดอะไรออกไป แต่เพราะแรกเริ่มเดิมทีเจ้าอิชิกับนิชิเป็นคนที่มอบโอกาสให้ผมได้คบกับชิราคาวะซังเอง

และผมก็ไม่ได้บอกเธอเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยฉะนั้นมันก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ

“มันก็แค่.. ตอนที่ผมคุยกับชิราคาวะซังน่ะ…. เราเหมือนจะดูเด่นเกินไปน่ะ…”

ผมพูดไปพลางมองรอบ ๆ ไป

ผมมักจะกลมกลืนไปกับบรรยากาศของห้องเรียนช่วงพักเบรก แต่ถ้าเด็กผู้หญิงอย่างชิราคาวะซัง มาคุยกับคนมืดมนอย่างผมหลายต่อหลายครั้ง ครั้งในแต่ละวันแบบนี้

ก็คงจะต้องถูกมองแปลก ๆ ในสายตาของเหล่าผู้ที่กำลังจับจ้องชิราคาวะซังอยู่แน่ๆ(ผมมั่นใจว่าต้องมีคนประเภทนี้แน่นอนเพราะผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น)

“หมายความว่าเราไม่ควรพูดคุยกันมากเกินไปที่โรงเรียนแล้วก็เก็บเรื่องที่เรากำลังคบกันอยู่ไว้เป็นความลับอย่างนั้นหรอ?”

ชิราคาวะถามผมด้วยเสียงโทนต่ำ ผมผงกหัวอย่างตื่นตัว

“เปล่-..เอ่อ,อืมใช่แล้วล่ะ แบบนั้นมันจะช่วยได้มากเลย”

ไม่รู้ว่าผมอยู่ในฐานะที่จะขออะไรแบบนี้ได้หรือเปล่า แต่ถ้าจะให้พูด ไอ้การที่ผมได้คบกับชิราคาวะซังมันก็เกินฐานะของผมไปไกลแล้ว

“…เข้าใจแล้ว”

ชิราคาวะซังตอบแบบไม่ค่อยเต็มใจ

“ถ้างั้นชั้นจะพูดคุยกับริวโตะได้ตอนไหนล่ะ?”

“เอ๊ะ?”

ผมผงะไปทันทีหลังจากที่ถูกถามแบบนั้น

“บะ-บางที เราอาจจะนัดเจอกันตอนวันหยุดอะไรแบบนั้นก็ได้นะ”

ผมเกรงว่านี่มันจะมากเกินไปสำหรับผมที่จะพูดอะไรแบบนี้ อีกตัวตนของผมกำลังต่อว่าตัวผมเองว่า สำหรับไอ้มืดมนอย่างเอ็งมันยังเร็วไปร้อยปีที่จะเก็บชิระคาวะซังไว้คนเดียวในช่วงเวลาวันหยุด แต่นั่นก็เป็นสิ่งเดียวที่ผมคิดได้ ณ จุดๆนี้แล้ว

“หมายถึง เดทหรอ?”

“บุเหะ!?”

ผมลงเอยที่การเผลอส่งเสียงประหลาดออกไป ชิราคาวะซังกลับมาใช้เสียงโทนปกติก่อนจะถามผม

ยังโชคดีที่นักเรียนคนอื่น ๆ ยังคงอยู่ในห้องวิทยาศาสตร์ และกำลังค่อย ๆ กลับมา เลยทำให้ไม่มีนักเรียนคนไหนได้ยิน

“อะ..อืม ประมาณนั้นแหละ…”

คำว่า เดท ทำให้ใจของผมสั่น สายตาก็เลิ่กลั่ก

“ถ้าไม่ได้ ผมก็ไม่ได้จะว่าอะไรนะ…”

แย่ล่ะสิ ผมเป็นแฟนของเธอนะ ถ้าเธอปฏิเสธขึ้นมามีหวังช็อคแน่ ๆ

“ได้สิ”

ชิราคาวะซังตอบขึ้นมาทันที

“วันอาทิตย์ชั้นมีแพลนอยู่นิดหน่อย แต่ถ้าวันเสาร์ชั้นว่างนะ แล้วเราจะไปไหนกันดี]jt?”

จากนั้นเสียงระฆังบอกคาบเรียนก็ดังขึ้นผมจึงเป็นฝ่ายเดินจากไปพร้อมกับทิ้งท้ายว่า “งะ-งั้น วะ..ไว้เจอกันนะ”

 

จากนั้นผมก็เตรียมหนังสือขึ้นมาบนโต๊ะทั้ง ๆ ที่หัวใจยังเต้นรัวอยู่ ซักพักหลังจากที่กลับมาโลกแห่งความจริงแล้ว ผมก็บ่นพึมพำออกมาตามสัญชาติญาณ

“วันเสาร์….มันก็พรุ่งนี้ไม่ใช้รึยังไงกัน…..”

เดทแรกในชีวิตคือวันพรุ่งนี้ แถมยังไม่ได้ว่างแผนอะไรเลย

ทั้งๆที่อีกฝ่ายคือชิราคาวะซังอะนะ!?

 

 

Comment

Options

not work with dark mode
Reset