ครั้งแรกที่ผมตกหลุมรักเพศตรงข้ามนั่นก็คือสาวสวย มาดเรียบร้อยผู้มีผมสีดำยาวสลวยที่ดูเข้ากันดีกับตัวเธอ เธอเป็นผู้หญิงที่ผมสารภาพรักเมื่อตอนที่อยู่ช่วงเรียน ม.ต้นตอนปีหนึ่ง ซึ่งเรื่องนั้นก็ได้กลายเป็นแผลใจของผม
แต่เดิมแล้ว ผมชอบผู้หญิงประเภทนี้มาโดยตลอด แม้จะเป็นในเกมหรือในอนิเมะ ผมก็มักถูกใจคาแรคเตอร์ที่ใสซื่อไร้เดียงสา มากกว่าตัวละครสาวๆสายเซ็กซี่
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงรู้สึกแปลกๆ ที่พบว่าตัวเองได้อยู่ท่ามกลางหญิงสาวแสนสวยและเปล่งประกายอย่างมากซึ่งตรงกันข้ามกับรสนิยมของผมเลย
นอกจากนั้นสาวสวยที่ว่ายังเป็น…. แฟนสาวของผมอีกต่างหาก
เวลาคิดอย่างนั้นก็จะรู้สึกไม่ชิน ควบคุมตัวเองไม่ได้ กระสับกระส่าย
ถ้ามีคนเห็นขึ้นมาจะทำยังไงดี ไม่ใช่ว่าผมจะรังเกียจการถูกมองอะไรขนาดนั้นแต่ ผมแค่กลัวจะถูกวิพากษ์วิจารณ์เพราะไอ้หนุ่มมืดมนอย่างผมนั้นได้มาอยู่กับเธอ
วันเสาร์ วันออกเดท ผมกำลังเดินอยู่กับชิราคาวะซัง ในขณะที่ครุ่นคิดและรู้สึกประหม่าในหลายๆด้าน
“หวา ไม่จริงหน่า !! นี่มันน่าร้ากกกกกก สุดๆไปเลยไม่ใช่หรือไง!?”
ที่ชั้นขายของแฟชั่นของอาคารสถานีชินจูกุ ผมกำลังเฝ้าดูชิราคาวาซังที่ตื่นเต้นอยู่
“น่ารักมาก ๆ !! น่ารักเกินไปแล้ว~ !! นี่ถ้าซื้อหลายสีล่ะก็~!”
พูดตามตรง ผมไม่เข้าใจความดีงามของสิ่งที่เธอกำลังยกย่องอยู่เลยซักนิดเดียว
เธอตื่นเต้นกับหลายสิ่งหลายอย่างที่เธอหยิบขึ้นมาซึ่งมันเกินความเข้าใจของผม เช่น เสื้อเปิดหลังที่ผมไม่แน่ใจว่าไอ้ของแบบนั้นเขาใส่กันไปได้ยังไง? หรือจะเป็นไอ้ลิปสติกสีแดงแป้ดอันนั่นก็ด้วย
พูดถึงไอ้เรื่องที่เข้าใจยาก ๆ ชุดของชิราคาวะซังในวันนี้ก็น่าทึ่งเช่นเดียวกัน
เธอสวมเสื้อเปิดไหล่สีขาว กระโปรงสั้นรัดรูปสีดำที่มีตัวพื้นผิวคล้ายกับหนัง รองเท้าแตะสีดำที่มีส้นสูงพอสมควรและนอกจากนี้ เธอยังถือกระเป๋าที่มีลวดลายคล้ายหนังงู
เธอคือสาวแกล และมันก็คงจะเป็นเรื่องน่าขำกับการที่มีไอ้หนุ่มมืดมนรุ่นผลิตจำนวนมากอย่างผมกำลังเดินอยู่เคียงข้างกับสาวแกลที่ไม่แคร์สายตาชาวบ้านไม่ว่าเธอจะเดินไปที่ไหนที่เธอต้องการจะไป
และเธอเองก็ยังน่ารักสุด ๆ อีกด้วย
“เอ๊ะ….นี่ๆ ผู้หญิงคนนั้น เธอน่ารักเป็นบ้าเลยว่าปะแก?”
“นี่หล่อนเป็นนางแบบหรืออะไรพวกนั้นหรือเปล่านะ? ชั้นไม่ค่อยรู้เรื่องแกลมากนัก ก็เลยไม่แน่ใจเท่าไหร่อ่ะ…”
และผมก็ยังได้ยินสิ่งหญิงสาวสองคนที่ดูเหมือนจะเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยกระซิบกระซาบคุยกันเมื่อพวกเขาเห็นชิราคาวะซัง
อย่างที่ผมคิด ความน่ารักของชิราคาววะซังอยู่ในระดับจะที่ทำให้เธอโดดเด่นแม้กระทั่งเธอจะอยู่ใจกลางเมืองแบบนี้ก็ตาม
เมื่อฉันคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ผมก็รู้สึกกลัวๆปนมีความสุขกับการที่ได้เดินไปด้วยกันกับเธอในฐานะ “แฟน” ของผู้หญิงคนนั้นแต่นั่นก็ทำให้ผมรู้สึกประหม่ามากขึ้นเรื่อยๆ
ใช่แล้ว ผมน่าจะมีอะไรกันกับเธอได้แล้ว…….ไม่สิ ไม่ๆ ผมน่ะไม่เหมือนกับแฟนเก่าของเธอนะ!
ขณะที่ผมกำลังหมกมุ่นอยู่กับความคิดอยู่ ข้างๆของผมชิราคาวะซังก็กำลังหมกมุ่นอยู่กับข้าวของพวกนั้น
“หวา… น่ารัก! น่ารักสุด ๆ ~ งั้นก็เอาอันนี้ละกัน~!”
เธอใช้อยู่คำเดียวซ้ำๆมาตั้งแต่เมื่อกี้นี้แล้วนะครับ
แต่ว่าความตื่นเต้นของเธอดูเหมือนจะเป็นของจริงแฮะ
ตาสองชั้นที่ดูไม่เหมือนกับคนญี่ปุ่นของเธอเป็นแวววาวเป็นประกาย และขนตาที่ปัดด้วยมาสคาร่าที่ดูหนามากกว่าตอนปกติก็สั่นสะท้านด้วยความสุขใจ ริมฝีปากมันวาวของเธอที่ดูเหมือนจะส่งเสียงออกมาทุกครั้งที่ได้สัมผัสก็ดึงดูดผมเช่นกัน
หรือจริง ๆ แล้วผมจะ……..ชอบสาวแกลงั้นหรอ..?
ไม่สิ….นั่นเป็นเพราะชิราคาวะซังน่ารักต่างหากล่ะ ไม่ว่าจะการแต่งหน้าหรือแฟชั่นแนวสาวแกลก็เข้ากันกับเธอมาก ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่แนวของผมสักเท่าไหร่ แต่ผมก็คิดว่าผมก็พอรับได้
ด้วยเหตุนี้ ผมจึงใช้เวลาราวๆสองชั่วโมงในการนั่งมองดูชิราคาวะซังซื้อเครื่องสำอางและเสื้อผ้าของเธอ
หลังจากนั้นเราก็ได้เข้ามาที่ร้านคาเฟ่ที่ดูคู่ควรแก่การนั่งถ่ายรูปอัพอินสตาแกรม
ชิราคาวะซังกำลังดื่มเครื่องเดิมคล้ายๆกับพาร์เฟ่ต์ก็ถามคำถามกับผม
“…นี่,ริวโตะ”
น้ำเสียงของเธอต่ำกว่าตอนที่เธอกำลังตื่นเต้นตอนที่อยู่ร้านค้ามากๆ
“นายโอเคหรือเปล่า? เดตแบบนี้มันไม่น่าเบื่อหรอ?”
“ไม่เบื่อหรอกครับ”
ผมตอบแบบนั้นไปเพราะฉันคิดอย่างนั้นจริงๆ แต่คิ้วสีน้ำตาลอ่อนของชิราคาวะซังก็ขมวดเข้าหาหากัน
“…โกหก…..ชั้นหมายถึง….ก็ริวโตะน่ะไม่ได้สนใจดูของที่ร้านเลยนี่นา ใช่ไหมล่ะ?”
“เอ๋? ไม่ครับ เอ่อ..คือ…..”
นั่นก็จริง
ผมหมายถึงเมื่อผู้ชายเห็นพวกของแฟชั่นของผู้หญิง…. มันก็โอเคแหละถ้าเป็นของที่เป็น unisex แต่ถ้าผู้ชายเห็นเสื้อผ้าที่ตั้งใจทำออกมาสำหรับผู้หญิงมันก็แหงอยู่แล้วที่พวกผู้ชายจะไม่สนใจ
(TL NOTE : Unisex เป็นคำใช้สื่อสำหรับสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ต่างๆที่ผลิตมาให้ใช้กับผู้หญิงก็ได้ผู้ชายก็ดีจะเพศไหนก็ใช้ได้)
ไม่มีอะไรที่ผมจะสามารถแถเรื่องนี้ให้ผ่านไปอย่างราบรื่นได้เลย
“….แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่น่าเบื่อเลยครับ ….เพราะผมคอยมองดูชิราคาวะซังอยู่ยังไงล่ะ”
เพราะกลัวว่ามันจะฟังดูน่าขนลุกจนเกินไป ผมก็เลยพูดประโยคสุดท้ายออกไปอย่างแผ่วเบา ๆ
และใบหน้าของชิราคาวะซังก็ดูประหลาดใจกับคำตอบของผม
“หมายความว่ายังไงน่ะ”
“เอ๊ะ!?”
ผมไม่ทันคาดคิดว่าเธอจะสนใจคำตอบของผมขนาดนั้นเลิ่กลักนิดหน่อย
“อืม……คือ….ก็แบบ…..ได้ดูว่าเธอชอบเสื้อผ้าแบบไหนหรือแบบเวลาที่เธอมีความสุขมันน่ารักขนาดไหนแบบนั้นน่ะ…เอ่อ ผมขอโทษนะ ผมมันคงน่าขยะแขยงใช่ไหมครับ..“
ขณะที่ผมทนไม่ไหวและเริ่มตำหนิตัวเอง ชิราคาวะซังก็ส่ายหัวด้วยใบหน้าจริงจัง
“นายมีความสุขกับการที่ได้ดูชั้นช้อปปิ้งอย่างนั้นหรอ?”
เมื่อถูกถามอย่างนั้นผมก็เลยพยักหน้าตอบกลับไป
“ตอนที่กำลังมองชิราคาวะซังที่กำลังเพลิดเพลินกับตัวเอง ผมเองก็รู้สึกเพลินคล้อยตามไปด้วยอะไรแบบนั้นน่ะครับ”
“…….”
ชิราคาวะซังเงียบราวกับว่ากำลังสับสนงงงวยอยู่
นี่ผมพูดอะไรไม่ดีออกไปรึเปล่านะ? และขณะที่ผมมองเธออยู่แก้มของเธอก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีชมพู
“….อะไรกันล่ะนั่น….มันน่าอายนะยะ…..”
“………”
คะ-คะ คาวาอิ้!!!
ชิราคาวะซังคนนั้นกำลังเขินอยู่อย่างนั้นหรอ!?
“…ริวโตะนี่แตกต่างจากคนอื่นสินะ”
รอยยิ้มเขินอายที่เธอแสดงออกมาในขณะที่เธอพูดนั้นช่างไร้เดียงสาและน่ารักราวกับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ
ทำไงดีล่ะ
ผมชอบชิราคาวะซัง
ไม่สิ ผมคิดว่าผมหลงเสน่ห์ของเธอมาโดยตลอด แต่พอเราเริ่มคบกันผมก็ยิ่งตกหลุมรักเธอมากขึ้นเรื่อยๆ
ทันใดนั้น โทรศัพท์ของชิราคาวาซังที่วางอยู่บนโต๊ะก็สั่น
“อ๊ะ จากนิโคลล่ะ”
หน้าจอของโทรศัพท์สว่างขึ้นและมีข้อความเด้งปรากฏขึ้นมากมาย
ชิราคาวาซังบอกผมว่า “รอแป๊ปนะ โอเคไหม?” แล้วก็หยิบโทรศัพท์ของเธอขึ้นมาและเริ่มพิมพ์อย่างเงียบๆ เธอน่าจะส่งข้อความตอบกลับไปอยู่
ผมที่ไม่มีอะไรทำก็เลยพลางมองไปรอบๆร้านคาเฟ่
สถานที่ที่ชิราคาวะซังพาผมมาคือร้านคาเฟ่ที่มีที่นั่งริมระเบียงซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากรีสอร์ทริมชายหาด ทางเดินเป็นไม้ระแนงที่ดูเหมือนอยู่ที่ริมหาดและเอาจริงๆแล้วก็ยังมีพื้นที่ที่ปกคลุมด้วยทรายสีขาวอีกด้วย เป็นร้านกาแฟที่เต็มไปด้วยผู้คนที่ดูชื่นมื่นกันถ้วนหน้า เป็นสถานที่ที่ผมจะไม่มีวันเข้ามาคนเดียวอย่างเด็ดขาด
มันดีแล้วงั้นหรอกับการที่คนมืดมนอย่างผมเข้ามาในที่แบบนี้น่ะ?
ผมเริ่มรู้สึกกระสับกระส่ายจึงกลับไปจ้องมองชิราคาวะซังที่อยู่ตรงหน้า
ไม่ว่าจะมองมุมไหน ชิราคาวาซังก็น่ารักจริงๆ ผมรู้สึกอย่างนั้นจริงๆเมื่อเราได้ทำสิ่งต่างๆด้วยกันในวันนี้
แล้วผมล่ะ? ไม่ว่าจะมองจากมุมไหน ก็ดูเหมือนไอ้งั่ง…ไม่มีผิด
“…”
ช่างเหอะ คิดไปก็ไม่ช่วยอะไร ผมไม่สามารถแปลงโฉมให้กลายเป็นหนุ่มหล่อที่เหมาะสมคู่ควรกับชิราคาวะซังได้หรอก เพราะงั้นผมก็ต้องหล่อมาจากข้างใน…..ถึงแม้จะไม่ค่อยมั่นใจว่าจะทำได้ก็เถอะ
ชิราคาวะยังของพิมพ์โทรศัพท์ของเธออยู่ ผมคิดว่าเธอช่างสนิทกับนิโคลจริง ๆ
ผมเป็นพวกขี้เกียจพิมพ์ และก็ไม่ค่อยได้ส่งข้อความ LINE ถึงเจ้าอิชิหรือเจ้านิชิซักเท่าไหร่ที่ทำก็แค่ส่งข้อความหนึ่งหรือสองครั้งกลับไปกลับมาเท่านั้น
ดูเหมือนเมื่อคืนชิราคาวาซังจะโทรหา “นิโคล” คุยกันจนดึกดื่นคงเพราะเป็นกิจวัตรของเธอก่อนวันหยุด เธอบอกฉันว่าเธอจะมีความสุขถ้าเรานัดเจอกันได้ช่วงหลังเที่ยงไปแล้ว ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่ตอนนี้เวลาก็เลยสี่โมงเย็นมาแล้ว
เมื่อวานพวกเธอก็น่าจะได้คุยกันจนหนำใจแล้วนี่ ไหงเธอถึงดูหมกมุ่นกับการแชทคุยกันขนาดนั้นล่ะ? ผมล่ะสงสัยจริงๆ เมื่อผมเห็นเธอไม่ปล่อยวางจากโทรศัพท์มานานแล้วจึงแน่ใจว่าเธอกำลังเข้าสู่สถานะโหมดก้มหน้าแน่นอน
บางทีเธออาจะกำลังบ่นผมอยู่รึเปล่านะ?
ไม่ๆหยุดเลย การหวาดระแวงเกินเหตุมันไม่ดีนะ
ทั้งหมดมันเป็นเพราะความขาดมั่นใจในตัวเองของผมเองต่างหากที่ทำให้ผมคิดอะไรพรรณนั้นออกมาน่ะ
ผมต้องเปลี่ยนให้ได้ แม้จะเปลี่ยนทันทีทันใดเลยไม่ได้ แต่ผมก็จะพยายามให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ชิราคาวาซังเธอไม่ได้กำลังคุยอะไรถึงผมอยู่สักหน่อย
หยุดเสียความมั่นใจตามอำเภอใจได้แล้ว ….ใช่ ผมอยากที่จะหยุดมัน
เว้นแต่ถ้าผมไม่สามารถเอาชนะแผลใจที่ไม่สามารถไว้ใจสาวสวยได้ล่ะก็
ผมก็คงจะไม่สามารถคบกับสาวสวยคนนี้ต่อไปได้แน่ๆ
แต่…. ทำไมกัน. แม้ว่าผมจะคิดว่าชิราคาวาซังผู้ที่ซื่อสัตย์และแสนดีขนาดนี้ แต่บางช่วงเวลาผมกลับสังเกตุได้ถึงบางอย่าง
สังเกตุได้ว่าใบหน้าของเธอมันซ้อนทับกันกับหน้าของหญิงสาวผู้ที่ปฏิเสธผม
ทั้งๆที่ทั้งสองคนน่ะต่างกันคนละขั้วเลยแท้ๆแปลกจังเลยแฮะ……
“หนอย~นิโคล~!”
ในขณะนั้นชิราคาวะซังก็ยังคงเงียบและก้มหน้าเล่นโทรศัพท์อยู่จนถึงตอนนี้ ได้แตะหน้าจอหนึ่งครั้งแล้วนำโทรศัพท์มาแนบที่หูของเธอ
“ก็บอก~แล้ว~ไง~ ชั้นกำลังเดทกับริวโตะอยู่นะ”
และก็มีเสียงสูงของเด็กผู้หญิงดังออกมาจากโทรศัพท์
“ชั้นรู้แล้ว! ชั้นก็เลยโทรหาเธอนี่ไง!”
“….เอ๋~? …อ๋า ไม่เห็นเป็นไรเลย ไว้เราค่อยคุยกันทีหลังก็ได้หน่า….”
บางทีอาจกำลังถูกถามอย่างเซ้าซี้อยู่
ชิราคาวาซังพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดเล็กน้อย
“ก็~ พวกเราไป Lumine, ดูเสื้อผ้าใน Cecil~, ดูเครื่องสำอางของ Etude House~, แล้วก็มาที่คาเฟ่ริมหาด~…. ใช่ๆ ฉันเป็นคนบอกเองว่าอยากไปทั้งหมดนี่เลย”
ชิราคาวะซังดูเหมือนกำลังสนุกกับการพูดถึงเรื่องนี้
“นั่นสินะ นี่เป็นครั้งแรกของชั้นที่ได้เดทแบบนี้เลย”
ชิราคาวาซังจ้องไปที่แก้วเครื่องดื่มที่ดูหวานๆ ที่อยู่บนโต๊ะและแสดงรอยยิ้มอันแสนหวานที่สามารถเผยให้เห็นเฉพาะคนที่ไว้ใจได้อย่างแท้จริงเท่านั้นออกมา
เมื่อผมเห็นใบหน้านั่น ผมก็รู้สึกได้ถึงบางสิ่งที่อยู่ลึกในตัวมันหวั่นไหวมากจนสิ่งที่นั่งคิดมาจนถึงก่อนหน้านี้กลายเป็นเรื่องที่ไม่สำคัญไปเลย
ผู้หญิงโครตน่ารักคนนี้เป็นแฟนของผม
ชิราคาวะซังที่มีประสบการณ์มากมายกับแฟนเก่าของเธอในอดีต และตอนนี้ เธอก็กำลังนั่งอยู่ต่อหน้าผมในฐานะแฟนสาวของผม เรื่องนี้เป็นความจริงอันแสนขมขื่นจากในมุมมองของผม…
หากความสัมพันธ์ในครั้งก่อนๆของเธอเป็นความสัมพันธ์ที่ดีมีความสุข
เธอก็คงจะไม่ได้อยู่มานั่งอยู่ที่นี่ตอนนี้ ผู้ชายที่เธอเคยคบมาก่อนปฏิบัติต่อเธอเหมือนเป็นที่ระบายและก็ทิ้งเธอไป
ผมจะไม่ทำในสิ่งที่แฟนเก่าเหล่านั้นทำ ผมอยากจะทำให้เธอมีความสุข……
และนั่นคือสิ่งที่ผมคิด
ที่สุดแล้ว ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะทำอะไรเพื่อเธอได้
มีเพียงจิตวิญญาณของผมเท่านั้นที่กำลังบ้าคลั่งอยู่ในตอนนี้
อย่างที่คิด ดูเหมือนว่าความคิดเชิงลบของผมจะมาจาก
“การขาดความมั่นใจในฐานะแฟนหนุ่ม”
แม้ว่าตอนนี้จะรู้ตัวแล้ว แต่ก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดีว่าควรทำยังไงดีถึงจะดีที่สุด
“มีอะไรหรอ ริวโตะ?”
ก่อนที่ผมจะรู้ตัว ชิราคาวาซังก็วางสายกับเพื่อนรักของเธอและจ้องมองมาที่ผมด้วยความสงสัย
“อา ใช่ พอดีผมนึกขึ้นได้น่ะว่ามีการสอบคันจิอาทิตย์หน้า ผมก็เลยคิดว่าแย่แล้วล่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ชิราคาวะซังก็ขมวดคิ้วอย่างงดงาม
“หวา~จริงด้วย ลบสิบแต้ม~…ชั้นลืมไปซะสนิทเลย~!”
“แต่นึกขึ้นได้ก็ดีแล้วหนิ ใช่ไหมล่ะ”
“แต่ชั้นอยากจะลืมมากกว่านี่~!”
“แบบนั้นเดี๋ยวก็เรียนไม่ได้กันพอดี”
เมื่อผมพูดหยอกล้อและยิ้มให้เธอพร้อมกับลูบหัวของเธอและทำตัวเป็นผู้ใหญ่ ผมก็ได้ลิ้มรสกาแฟดำที่สั่งไว้ตรงหน้าด้วยความขมขื่นในใจ