บทที่ 1 ตอนที่ 31
「ผมต้องไป…」
ผมรู้สึกว่ายิ่งเวลาผ่านไปเท่าใด ลาร์คก็จะยิ่งห่างผมไปเรื่อยๆ ถ้าเธอรู้ว่าผมปลอดภัยแล้ว เธอคงไม่มีเหตุผลให้ต้องอยู่ดูแลผมอีกต่อไปแล้ว
「ลาร์ค…!」
ชั้นหยิบเสื้อของชั้นขึ้นมาใส่ เสื้อที่มิมิโนะซังทำให้ผมนั้นขาดรุ่งริ่ง แต่ก็ยังคงใส่มันได้อยู่
ผมได้ยินเสียงของมิมิโนะซังกับน็อนซังจากห้องข้างๆ คงเป็นเพราะสกิล【เสริมการได้ยิน】สินะ ทั้งคู่กำลังพูดคุยด้วยน้ำเสียงสดใส ดังนั้นดันเต้ซังก็น่าจะไม่เป็นอะไรมากสินะ
ถ้าผมบอกพวกเขาไปว่าจะออกไปข้างนอก ไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกเขาจะต้องห้ามผมอย่างแน่นอน ดังนั้นผมจึงใช้【ทักษะการวิ่ง】เพื่อลบเสียงฝีเท้าแล้วแอบออกมา — ท้องฟ้านั้นมืดมืด เป็นช่วงเวลาก่อนรุ่งสาง
…นี่ผมนอนไปมากกว่าครึ่งวันเลยหรอ? คิดอย่างนั้นผมก็รู้สึกหิวขึ้นมา ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาสนใจเรื่องนั้น
ผมตรวจดูรอบๆโรงแรม ไม่มีใครอยู่เลย ขณะที่ผมวิ่งไปบนถนนอย่างเงียบเชียบ ผมก็ได้เห็นคนที่ดูเหมือนว่ากำลังจะไปซื้อของมาตุนไว้ ถึงจะมีเรื่องใหญ่โตเกิดขึ้นเมื่อวาน แต่เมืองนี้ก็พยายามที่จะใช้ชีวิตให้เหมือนกับปกติ มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อวานเป็นเพียงแค่ความฝันไปเลย
แต่เพราะว่าสภาพหลังจากการต่อสู้เมื่อวานนั้นอยู่ใกล้ๆนี้ ผมจึงมั่นใจได้ว่ามันไม่ใช่แค่ฝันไป
กลิ่นของควันไฟนั้นรุณแรงมาก เนื่องจากอาคารเกือบทั้งหมดนั้นทำมาจากหิน มันจึงไม่เกิดเป็นเพลิงไหม้ขนาดใหญ่ ทว่าก็ยังมีอาคารมากมายที่ไหม้เป็นตอตะโกอยู่บริเวณรอบๆ
ขณะที่ผมเข้าใกล้กับจุดที่เป็นสนามรบ – ขณะที่ผมวิ่งผ่านถนนที่ครั้งหนึ่งผมเคยพยายามที่จะวิ่งหนีออกมา หัวใจของผมก็เต้นเร็วขึ้นเรื่่อยๆ
ลาร์คต้องอยู่ในการต่อสู้นั่น ไม่ต้องสงสัยเลย ทว่าเรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ ดังนั้นลาร์คอาจจะไม่อยู่ที่นั่นแล้วก็ได้ — แต่มันไม่มีที่อื่นอยู่ในหัวผมเลยนี่นา
มีทหารที่กำลังหาวออกมายื่นอยู่ใกล้ๆ คงมีเพื่อคุ้มกันสถานที่ต่อสู้ที่เป็นซากของอาคาร “สำนักงานจัดการสกิล” เพราะอาจจะมีหินสกิลที่ยังไม่ถูกเก็บกู้อยู่อีก
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีเพียงแค่คนเดียว ผมจึงลอบเข้าไปได้อย่างง่ายดาย ผมลบเสียงฝีเท้าและเล็ดลอดผ่านยามเข้าไปโดยซ่อนตัวอยู่ในความมืด
「อา…」
เมื่อผมเลี้ยวตรงหัวมุม ก็พบกับสถานที่ต่อสู้ ยังคงมีควันสีขาวลอยออกมาจากซากปรักหักพัง รวมถึงยังมีกลิ่นของเนื้อที่ไหม้เกรียมผสมอยู่ในอากาศจนน่าสะอิดสะเอียน
…อดทนไว้ อดทนไว้
ผมมองไปรอบๆ แต่ว่า — อย่างที่ผมคาดไว้ ไม่พบลาร์คเลยสักนิด
「ไม่ดีแล้ว…」
ไม่มีศพของมังกร รวมถึงร่างของไรเครียซังกับคริสต้าด้วย พวกเขาคงถูกขนย้ายออกไปแล้ว
ผมเดินไปยังจุดที่มีกองเลือดขนาดใหญ่ คิดว่าคงเป็นที่ที่มังกรตัวนั้นตาย
「หืมม…」
จังหวะนั้นเอง มีก้อนหินก้อนหนึ่งดึงความสนใจของผม มันมีขนาดเท่ากับกระเบื้องหลังคาและราบเรียบ ซากปรักหักพังชิ้นอื่นๆนั้นจมอยู่ในกองเลือด มีเพียงชิ้นนี้เท่านั้นที่วางอยู่บนกองเลือด
เมื่อผมหยิบมันขึ้นและพลิกมันดู – ผมก็เห็นว่ามีตัวอักษรสลักอยู่บนหินก้อนนั้น
『สักวัน สักที่』
มันเป็นคำสั้นๆและก็เขียนได้แย่มาก
มันทำให้ผมนึกถึงว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่ตาแก่ฮินกาสอนตัวอักษรหลายๆตัวให้กับพวกเรา เธอมักจะไม่ค่อยสนใจมัน บ่งบอกได้เลยว่าเธอเกลียดการเรียนแค่ไหน
「ลาร์ค… อยู่ที่นี่ จริงๆด้วยซินะ…」
หน้าอกของผมแน่นไปหมด ดวงตาของผมก็เริ่มเปียกชื้น แต่ผมได้หยุดตัวเองไว้
…ผมต้องไม่ร้องไห้
ผมปฏิเสธมือของเธอที่ยื่นมาให้ มันคงจะเห็นแก่ตัวเกินไปที่จะมาร้องไห้คืดถึงลาร์คแบบนี้
…ผมเข้าใจแล้ว ลาร์ค
…ผมจะต้องเจอเธอในสักวันสักที่ ก็พวกเราเป็นพี่น้องกันนี่นา
「–งั้นผู้ถือครองสกิล 6 ดาวก็อยู่ที่นี่งั้นรึ?」
ในตอนนั้นเอง หูของผมก็ได้ยินเสียงใครบางคน
ผมตกใจแล้วรีบซ่อนตัวอยู่ในเงามืด
จากนั้น ทหารหลายนายก็เข้ามาในลานต่อสู้พร้อมกับคนที่ดูจะมีตำแหน่งสูง
「ดูเหมือนจะจริงครับ มันเป็นสกิลดาบสีดำที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อน ผมคิดว่ามันเป็นสกิลเดียวกับที่จัดการกับหัวหน้าเหมืองหลังจากที่ท่านดยุคเสียชีวิตครับ」
…พวกเขาพูดถึงเรื่องของลาร์ค คนพวกนั้นกำลังตามหาเธองั้นหรอ? เพราะสกิล 6 ดาวเป็นสกิลหายากงั้นหรอ?
「หืมม… ไม่มีทหารประจำเหมืองคนไหนรอดชีวิตเลย แถมก็ไม่ค่อยมีรายงานอย่างอื่นจากเหมืองมากนัก」
「พวกเขาคงรายงานตามลำดับความสำคัญของข้อมูลหน่ะครับ ไม่สิ บางทีอาจจะเพราะความสามารถของสกิลนั่นมันน่าทึ่งมากๆก็ได้…」
「นั่นก็เป็นไปได้ และมีการรายงานจากประตูเมืองมาถึงเมื่อวาน… มีทาสผมสีดำตาสีดำเข้ามาในเมืองจริงๆเรอะ?」
「ครับ ดูเหมือนเด็กคนนั้นจะได้รับอนุญาตให้เข้ามาเพราะว่าเป็นทาสของนักพจญภัยครับ ตามบันทึกทาสของเหมือง มีทาสเด็กเพียงแค่ 2 คนเท่านั้นคือ ทาสที่ถือครองสกิล 6 ดาว “ลาร์ค” และทาสผมสีดำตาสีดำ “ไร้นาม” ครับ มีความเป็นไปได้ที่เด็กทั้งสองคนจะอยู่ด้วยกันหลังจากหลบหนีออกมาครับ」
หัวใจของผมเต้นเร็วและดังมาก
…งั้น พวกเขาก็ได้ข้อมูลไปถึงจุดนั้นแล้วสินะ
「–เอาละ งั้นก่อนอื่นเลย ตรวจค้นทั้งเมือง หาร่องรอยของทาสนั่นซะ ข้าจะไปคุยกับกิลด์นักพจญภัยแล้วถามถึงทาสผมสีดำตาสีดำเอง」
…แย่แล้ว ขึ้นอยู่กับเวลาแล้วว่าพวกนั้นจะถึงตัวของซิวเวอร์บาลานซ์เมื่อไหร่เมื่อพวกเขาไปถามจากกิลด์ ถึงผมจะย้อมสีผมแล้ว แต่ตาก็ยังเป็นสีดำอยู่ดี และพวกเขาต้องจับได้แน่ว่าผมย้อมสีผมของตัวเอง
(…ผมไม่อยากจะรบกวนพวกเขาเลย)
ภ้าผมเล่าสถานการณ์ของผมให้กับพวกเขาละก็ พวกเขาต้องพูดออกมาอย่างง่ายดายเลยว่า “หนีกันเถอะ” ทว่าดันเต้ซังตอนนี้บาดเจ็บหนักและไม่ควรเคลื่อนไหวร่างกายมากๆ
…ถ้าผมจะหนีก็ต้องเป็นวันนี้เท่านั้น ก่อนที่ทางเข้าและทางออกของเมืองนี้จะถูกปิด
เมื่อผมกำลังคิดที่จะหนี ผมได้เหลือบไปเห็นเศษของผ้าราคาแพงที่ถูกตัดออกเข้า ผมรู้ได้ทันทีเลยว่ามันเป็นเศษผ้าคลุมของคริสต้า ทว่าสิ่งที่เตะตาผมที่สุดก็คือ… แสงสีเงินแพรวพราวที่ถูกซ่อนอยู่ในผ้านั่นต่างหาก
「นั่นมัน…?!」
เมื่อผมเข้าไปใกล้ ผมก็ได้รู้
…ร่างของคริสต้าท่อนบนถูกตัดขาดแล้วลอยขึ้นฟ้า สิ่งนี้ก็คงถูกตัดแล้วลอยขึ้นฟ้าเหมือนกัน
บัตรนักพจญภัยระดับมิธริลสะท้อนแสงจากท้องฟ้ายามรุ่งสางขณะที่ยังคงรักษาความเป็นสีเงินบริสุทธิ์เอาไว้อยู่
(นี้มันวัตถุดิบชิ้นสุดท้าย…!)
ผมไม่รู้เหมือนกันว่าผมใช้ถนนเส้นไหนหรือเดินเร็วแค่ไหน แต่รู้ตัวอีกทีผมก็กลับมาถึงโรงแรมแล้ว บัตรนักพจญภัยนั้นเปียกชุ่มเนื่องจากเหงื่อที่ไหลออกมาจากฝ่ามือของผม และผมก็รีบเก็บมันใส่กระเป๋าของผมอย่างรวดเร็วเพราะกลัวที่จะมีใครมาเห็นเข้า
ผมกลับมาที่ห้องและพบว่าไม่มีใครอยู่ ผมวางบัตรนักพจญภัยลงบนโต๊ะโดยหวังว่ามิมิโนะซังจะยังไม่เข้ามา
『กิลด์นักพจญภัย : ออกโดยกิลด์นักพจญภัยสาขาเมืองหลวงของราชอาณาจักรเกฟเฟริดแห่งสหพันธรัฐคีทแกรนด์
ชื่อ: คริสต้า-ลา-คริสต้า
ระดับ: มิธริล
ปาร์ตี้:-
บัตรนี้เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าเจ้าของนามข้างต้นนั้นสังกัดกับกิลด์นักพจญภัย นอกจากนี้เจ้าของนามข้างต้นนั้นได้รับอนุญาตให้สามารถข้ามประเทศหรืออาณาเขตได้โดยไม่มีอุปสรรคใดๆขวางกั้น』
ข้อความนี้ได้ถูกสลักเอาไว้บนบัตร บางทีมิธริลอาจจะพิเศษกว่าอันอื่นก็ได้ เพราะตัวอักษรที่ถูกสลักไว้มีสีฟ้า
จากที่อ่านมัน มันคล้ายๆกับพาสปอร์ตเลย
…เอาเถอะ เนื่องจากที่นักพจญภัยมักจะเคลื่อนที่ไปเรื่อยๆ คิดว่าคงสมเหตุสมผลละมั้ง?
เนื่องจากมิธริลเป็นทรัพย์สินของประเทศโดยตรง มั่นใจได้เลยว่าบัตรที่ทำโดยมิธริลอันนี้ไม่ควรเอามาโดยพลการแน่ๆ
อย่างไรก็ตาม ผมก็เอามันมาแล้ว
–ใบไม้ที่ดูเหมือนกับใบไม้ของฤดูใบไม้ล่วงและมีส่วนปลายแยกออกเป็น 5 แฉก (ใบไม้ของต้นไม้แห่งชีวิต)
–โลหะสีเงินบริสุทธิ์ (มิธริล)
–สิ่งมีชีวิตคล้ายกับไส้เดือน (ไส้เดือนสีขาว)
นี้เป็นวัตถุดิบชิ้นสุดท้ายแล้ว
「ไหนดูสิ… ไส้เดือนสีขาว ไส้เดือนสีขาว…」
ผมเจอกระเป๋าเครื่องมือของผมอยู่ที่ที่เดียวกันกับที่เสื้อของผมเคยวางอยู่ กระเป๋าเครื่องมือเองก็ขาดหลุดลุ่ยเช่นกัน แต่ยังคงใช้งานได้ ผมเอากระเป๋าหนังที่ใส่ใบไม้ของต้มไม้แห่งชีวิตกับไส้เดือนสีขาวอยู่ออกมา
「หืมม…?」
เมื่อผมเปิดกระเป๋า ผมก็เห็นใยเหนียวๆยืดออกอยู่ข้างใน จากข้อมูลของ【World Ruler】นี้ดูจะเป็นเมือกที่ไส้เดือนสีขาวคายออกมาหลังจากกินใบไม้ของต้มไม้แห่งชีวิตไปแล้ว
…ขยะแขยงอะ
อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ผมจะมาบ่นได้หรอก และดูเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้นจากข้อมูลของWorld Rulerซามะ ดังนั้นผมจึงวางบัตรนักพจญภัยเอาไว้บนโต๊ะแล้วคว่ำกระเป๋าหนังลง — และมีก้อนเหนียวๆตกลงมาบนบัตรอย่างช้าๆ
「หว่า?」
เมื่อมันสัมผัสกับส่วนหนึ่งของมิธริล ส่วนนั้นก็กลายเป็นสีดำก่อนจะกระจายไปทั่วทั้งบัตร
「นะ-นี้มันจะไม่เป็นอะไรใช่ไหมเนี้ย…? หืมม ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้นแห่ะ…」
จากรายงานของ【World Ruler】เจ้าสิ่งนี้คือยา ผมเชื่อมั่นว่ามันต้องเป็นยาสำหรับรักษาคำสาปของดันเต้ซังแน่ๆ
「………」
ผมแตะไปที่บัตรนั่นอย่างช้าๆ เมื่อผมสัมผัสมัน บัตรที่ควรจะเป็นโลหะกลับนุ่มนิ่มเหมือนกับกระดาษแข็งที่เปียกน้ำ และมันถูกหุ้มด้วยความเหนียวหนึบแบบสุดๆ ซูชิโรลที่ห่วยที่สุดในโลกได้ถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว เอาเถอะ ไม่จำเป็นต้องกินมันเข้าไปนี่นา
…มิธริลนี้เป็นของแฟนตาซีจริงๆสินะ ผมชักไม่แน่ใจแล้วว่ามันยังเป็นโลหะอยู่หรือไม่กันแน่
ผมเคาะไปที่ประตูห้องข้างๆ แต่ว่าไม่มีการตอบกลับใดๆ เมื่อผมเปิดประตูที่ไม่ได้ล็อคเข้าไป ผมก็ได้กลิ่นฉุนของยาลอยออกมา เห็นน็อนซังที่กำลังหลับลึกพร้อมกับคลุมร่างกายด้วยผ้าห่มเล็กๆอยู่บนโซฟา
และดันเต้ซังที่มีผ้าพันแผลพันอยู่ทั่วร่างกายนั้นนอนอยู่บนเตียง