บทที่ 2 ตอนที่ 10
「เรย์จิ ชั้นดูแปลกไปหรือปล่าว? ชั้นยังใหม่กับการแต่งหน้าแบบนี้หน่ะ」
「ไม่เลยครับ และได้โปรดอย่าส่งสายตาเย้ายวนมาทางผมในระหว่างงานเลี้ยงนะครับ เดี๋ยวคุณหนูก็จะได้รับกองจดหมายหมั้นสูงเท่าภูเขาหลังจากผ่านคืนนี้ไปแน่นอนเลยครับ」
「โมว… ขนาดนายเองก็ยังพูดแบบนั้นงั้นหรอเนี้ย เรย์จิ!」คุณหนูพูดขึ้นพร้อมกับหน้าแดง
ความมั่นใจที่เธอมักจะมีอยู่เสมอนั้นหายไปหมดเลย และตัวเธอก็แดงไปทั้งตัวเลยด้วย เหล่าเมดคงจะรุมกล่าวชมตัวเธออย่างไม่ขาดสายเลยสินะ
เหล่าเมดที่เป็นคนแต่งตัวแต่งหน้าให้กับคุณหนูนั้นยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าภูมิใจพร้อมกับกอดอก คนพวกนี้ช่างเชี่ยวชาญจริงๆ
(ไม่สิ จริงๆแล้ว… ผมถึงขนาดไม่อยากให้คุณหนูมองตรงมาที่ผมแบบนี้ซะด้วยซ้ำ ได้โปรดเถอะ…)
“ดวงตา” ของตระกูลซิวลิซส์นั้นพิเศษเกินไป เพราะมี “เวทมนตร์” ไหลเวียนอยู่ในดวงตาสีชาตของพวกเขา ผมรู้มาจาก【World Ruler】ก่อนที่จะได้ยินจากปากของท่านเอิร์ลอีกที ข้อมูลนี้นั้นเป็นที่รับรู้กันในหมู่ขุนนางชั้นสูงแล้ว แต่ก็ยังคงมีขุนนางชั้นล่างบางคนที่ยังไม่รู้เรื่องนี้อยู่เหมือนกัน
ดวงตาของท่านเอิร์ลก็คือ “เนตรเวทมนตร์แห่งการสอบสวน” มันจะช่วยให้เขาสามารถรับรู้ได้ว่าใครโกหกหรือไม่จากการส่งมานาเข้าไปที่มัน
ส่วนดวงตาของคุณหนูก็คือ “เนตรเวทมนตร์แห่งการบันดาลใจ” มันจะเพิ่มความเต็มใจให้กับอีกฝ่ายมาปกป้องตัวเธอเมื่อส่งมานาเข้าไปที่มัน
เนื่องจากทุกคนสามารถใช้เวทมนตร์ได้จากหินสกิล พวกมันจึงไม่ได้รับความสนใจมากนัก แต่ถึงยังงั้น “เนตรเวทมนตร์” สีชาตที่แสนพิเศษนี้ก็จะปรากฏอยู่ในสายเลือดของตระกูลซิวลิซส์เสมอ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมท่านราชันศักดิ์สิทธิ์ถึงแต่งตั้งให้ท่านเอิร์ลซิวลิซส์เป็น “คมมีด” ของเขา มันต้องเป็นเพราะว่า “เนตรเวทมนตร์แห่งการสอบสวน” แน่ๆ เหตุผลก็น่าจะเป็นเพราะบางอย่างที่เหมือนกับ “เครื่องจับโกหก” นั้นผลิตขึ้นมาเพิ่มไม่ได้ด้วยหินสกิล… หรือว่ามันอาจจะโคตรหายากเลยก็เป็นได้
ผมได้ยินมาว่าเนตรเวทมนตร์พวกนั้นมันปรากฏอยู่น้อยมากในหมู่ประชากรทั้งหมด แต่ว่ามันก็มีประโยชน์อย่างมากตามแต่วิธีใช้งานมัน
นั่นคือเหตุผลว่าทำไมผมถึงไม่โกหกท่านเอิร์ลเลย
หลังจากนั้น ผมก็ได้ยินเสียงที่ประตูหน้าด้วยหูของผมที่ผ่านการเสริมด้วย【เสริมการได้ยิน】มาแล้ว
ท่านเอิร์ลที่มักจะออกไปในตอนพระอาทิตย์ขึ้นและจะไม่กลับมาก่อนพระอาทิตย์ตกนั้นวันนี้ได้กลับมาบ้านก่อนเวลา พอดีกับที่คุณหนูแต่งตัวเสร็จพอดีเลย
เหล่าเมดและพ่อบ้านต่างก้มหัวลงอย่างพร้อมเพียง ผมเองก็ก้มหัวลงเช่นกัน ท่านเอิร์ลเดินตรงไปยังคุณหนู
「อีวา พ่อหวังว่าลูกจะสนุกกับงานวันนี้นะ」
「…ค่ะ」
แค่นั้นหรอ? ท่านควรจะชมเธอมากกว่านี้อีกซักหน่อยนะ อย่างไรก็ตาม “อ้อมๆ” ก็ไม่ดี “ตรงๆ” ก็ไม่ได้ เข้าใจนะครับ?
「…เรย์จิ มาทางนี้หน่อยสิ」
ท่านเอิล์นไม่น่าจะเห็นสีหน้าของผมได้นี่นาเพราะผมก้มหัวลงอยู่ แต่ผมก็ถูกเรียกให้ไปหาด้วยเหตุผลบางอย่าง เมื่อผมเงยหน้าขึ้น ผมก็เห็นท่านเอิร์ลกำลังกวักมือเรียกผมให้ไปยังมุมๆนึงของห้องที่ห่างจากตัวของคุณหนู เมื่อผมเดินไปทางนั้น ผมก็รู้สึกถึงสายตาของทุกคนที่จับจ้องมาที่แผ่นหลังของผมด้วย
「…มีอะไรหรือปล่าวครับ?」
「…ลูกสาวของข้าดูจะอารมณ์ไม่ดีอยู่นะ เจ้าไปทำอะไรเอาไว้กัน?」
「…ไม่ครับ ผมคิดว่าผมไม่ได้ทำอะไรผิดไปเลยนะครับ」
「…น่าเสียดาย ดูเหมือนจะจริงนะ」
อย่ามาใช้ “เนตรเวทมนตร์แห่งการสอบสวน” กับเรื่องแบบนี้สิ!
「งั้น ลูกสาวของข้าเป็นอะไรไป?」
「ใครจะไปรู้ละครับ มันไม่ใช่งานของคนคุ้มกันซะหน่อยนี่ครับ」
「มันเป็นงานของคนคุ้มกันที่จะต้องปกป้องสุขภาพจิตของลูกสาวของข้า ไม่ใช่รึไง?」
ผมพึ่งได้ยินเป็นครั้งแรกนี่แหล่ะ หน้าที่ของคนคุ้มกันมันจะกว้างเกินไปแล้ว
…เอาเถอะ เนื่องจากตัวคุณหนูเองก็ดูจะมีปัญหา บอกเขาออกไปตรงๆก็แล้วกัน
「โปรดกล่าวชมคุณหนูด้วยครับ」
「กล่าวชม?」
「วันนี้คุณหนูแต่งตัวสวยจัดเต็มเลยใช่ไหมละครับ?」
เมื่อผมพูดออกไปแบบนั้น ท่านเอิร์ลก็มองไปยังใบหน้าขาวๆของคุณหนู
「…จำเป็นจะต้องพูดอะไรที่มันแน่นอนอยู่แล้วออกไปด้วยรึ?」
พูดยากจริงๆว่าชายคนนี้กำลังโอ๋ลูกมากเกินไป, หรือว่าจริงจัง, หรือว่าแค่ล้อเล่นอยู่กันแน่
「หมายความว่าท่านไม่ได้เข้าใจหัวใจของหญิงสาวเลยสินะครับ ท่านเอิร์ล?」
「…ข้ารู้ว่าเมื่อไหร่ที่หญิงสาวกำลังโกหกอยู่หรือไม่ ดังนั้นข้ามักจะให้ในสิ่งที่หัวใจของพวกเธอต้องการอยู่เสมอ」
“เนตรเวทมนตร์แห่งการสอบสวน” นี้จะทรงพลังเกินไปแล้ว!
「มีหลายครั้งที่ “สิ่งที่หัวใจต้องการ” นั้นจะไม่ใช่สิ่งของที่จับต้องได้แต่เป็นคำพูดที่จับต้องไม่ได้ต่างหากครับ โปรดทำเป็นว่าท่านกำลังเกลี้ยกล่อมเธอแล้วกล่าวชมเธอด้วยครับ」
「………」
มานากำลังไหลเวียนอยู่ในดวงตาของเขา ได้โปรดหยุดใช้ “เนตรเวทมนตร์แห่งการสอบสวน” กับเรื่องแบบนี้ซักทีเถอะครับ
「เข้าใจแล้ว」
ผมโน้มน้าวท่านเอิร์ลได้ เขาเดินตรงกลับไปยังคุณหนู ผมไม่รู้ว่าเนื้อแท้ของชายคนนี้เป็นพ่อที่เอาใจลูกเกินไป, เลือดเย็น, หรือขาดการรับรู้รอบข้างกันแน่ แต่ผมคิดว่าทุกการกระทำของเขานั้นช่างงดงามจริงๆ ทำไมตัวผมถึงไม่เกิดมาเป็นเอิร์ลหน้าตาดีคนนี้นะ! ไม่สิ พอนึกถึงความยากลำบากในฐานะคนคุ้มกันแล้ว ไม่เป็นจะดีกว่า…
「อีวา ชุดเดรสที่สั่งตัดมาเพื่อลูกนั้นไม่ได้มีค่ามากกว่าใช้เพิ่มความงดงามดั้งเดิมของตัวลูกหรอกนะ แต่ก็ต้องขอบคุณมันที่ทำให้พ่อรับรู้ถึงความงดงามของลูกได้อีกครั้ง ลูกเป็นความภาคภูมิใจของตระกูลซิวลิซส์นะ」
「อะ-อา…」
คุณหนูที่ยังไม่ชินกับคำชมก็หน้าแดงขึ้น เธอมองมาที่ผมเพื่อขอความช่วยเหลือ ผมพยักหน้าเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับเธอ จากนั้นเธอก็ตอบกลับท่านเอิร์ลไปว่า “ขอบคุณค่ะ” พร้อมกับแก้มที่แดงระเรื่อ
…ใช่แล้ว ทุกอย่างมันออกมาดีมากเลย ถ้าไม่สนใจเรื่องที่ว่าท่านเอิร์ลกำลังจ้องมองตรงมาที่ผมอย่างไม่พอใจ เพราะเรื่องที่คุณหนูมองมาที่ผมเพื่อขอความช่วยเหลือ
ส่วนเรื่องเนื้อแท้ของท่านเอิร์ลนั้น จากที่เห็นมันต้องเป็น “พ่อที่โอ๋ลูกมากเกินไป” อย่างแน่นอน
รถม้าประจำตระกูลของท่านเอิร์ลได้พาตัวคุณหนูไปยังสถานที่จัดงาน รถม้าพวกนี้จะถูกเตรียมเอาไว้โดยขุนนางทุกคนเพื่อใช้สำหรับโอกาสสำคัญๆแบบวันนี้ ดูเหมือนว่ารถม้าของตระกูลซิวลิซส์จะถูกคลุมเอาไว้ด้วยผ้าสีแดงที่เป็นเครื่องหมายของ “เนตรเวทมนตร์” ล้อขนาดใหญ่ที่สร้างจากเหล็กนั้นถูกขัดจนเงาวับ รูปพระจันทร์เสี้ยวสีทองกับดาบสองเล่มนั้นถูกสลักไว้บนหลังคา — สัญลักษณ์ประจำตระกูลซิวลิซส์
ตะเกียงเวทมนตร์ที่ถูกแขวนเอาไว้ทั้ง 4 ด้านของรถม้ากำลังส่องแสงสีส้มอุ่นๆออกมา
「ขึ้นมาได้แล้ว เรย์จิ」
「ครับผม」
ถึงจะธรรมดาแต่ก็ยังงดงาม ― ผมรู้สึกหวาดหวั่นจากความงดงามของรถม้าเล็กน้อย แต่คำพูดของคุณหนูได้สร้างความกล้าให้ผมสามารถขึ้นไปนั่งได้
แม็กซิมซังยื่นรายชื่อผู้เข้าร่วมงานเลี้ยงให้กับผมก่อนจะพูดว่า “อ่านมันให้หมดนะ” ขุนนางบางคนไม่ได้ยืนยันว่าพวกเขาจะเข้าร่วมหรือไม่จนกระทั่งถึงวันสุดท้าย ดังนั้นรายชื่อของผู้ที่เข้าร่วมจะแล้วเสร็จในวันงานพอดี น่ารำคาญจริงๆ ผมเป็นเพียงแค่คนคุ้มกันธรรมดาๆที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับชนชั้นสูงเลยนะ รู้ไหม!
มีอัศวิน 10 นายรวมถึงแม็กซิมซังกำลังนั่งอยู่บนหลังม้าล้อมรอบรถม้าอยู่ ผมเปิดหน้าต่างเล็กๆแล้วมองออกไปข้างนอก ในวันนี้ ถนนที่ปกติจะคับคั่งไปด้วยรถม้าของพ่อค้าผู้ส่งสารของขุนนางหรือรถม้าขนส่งต่างๆนั้นกลับเงียบสงบ ประชาชนทั่วไปรู้กันดีว่าวันนี้เป็นวันสำคัญสำหรับพวกขุนนาง ดังนั้นพวกเขาจึงงดการใช้ถนนกัน
ดูเหมือนประชาชนเองก็จะได้การกุศลในวันงานแบบนี้ด้วย แทนที่จะเป็นการให้เงินตรงๆ แต่เป็นแบบให้เงินผ่านการซื้อของ ตัวอย่างเช่น สั่งให้มีการก่อสร้างขนาดใหญ่และจัดหาสิ่งของจำนวนมาก ช่างเรื่องงานก่อสร้างไป แต่เสบียงและสิ่งของที่จัดหามานั้นมักจะเกินความจำเป็นอยู่เสมอ พวกเขาบอกว่าส่วนที่เกินมาก็จะนำไปบริจาคให้กับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าและคนยากจนผ่านทางโบสถ์
(การปกครองของราชันศักดิ์สิทธิ์นี้ดีเกินคาดเลยใช่ไหมละ? ถึงเรื่องที่มีผู้คนยากจนจนต้องขายตัวเองเป็นเหมือนกับทาสจะไม่ลดลงเลยก็เถอะ)
ผมคิดว่ามันมีหลายสาเหตุอยู่ มันมีช่วงว่างขนาดใหญ่ระหว่างคนรวยกับคนจนอยู่ในประเทศนี้ มันไม่ใช่อะไรที่จะอุดได้ด้วยการกุศลแบบนี้หรอก
อย่างแรกเลยก็คือ เหล่าชนชั้นสูงต่างครองตำแหน่งดีๆเอาไว้หมดแล้ว และจากนั้นเหล่าพ่อค้าที่ทำธุรกิจภายใต้ขุนนางก็จะรวยมากขึ้น เนื่องจากแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่เหล่าพ่อค้าที่อยู่ภายใต้ขุนนางจะใต่ระดับทางสังคมด้วยวิธีที่ “ยุติธรรม” พวกเขาต่างเอาเงินไปจากคนจนกันทั้งนั้น
(ที่คุณหนูพูดว่า… “ปัญหาการปกครอง” นั้นเป็นเรื่องจริง แต่ที่พวกเราทำไปในฐานะนักบดขยี้ธุรกิจค้าทาสนั้นมันเปล่าประโยชน์ เอาเถอะ มันก็ไม่ใช่หน้าที่ที่คนคุ้มกันจะต้องมากังวลนี่นะ ดังนั้นผมก็แค่ต้องเก็บเงียบเอาไว้เท่านั้นเอง)