บทที่ 2 ตอนที่ 18
* มุมมองของคนคุ้มกัน: เลเลนอร์ * (เป็นการบรรยายแบบกึ่งบุคคลที่ 3)
ฮาล์ฟลิงนั้นปกติแล้วจะเชี่ยวชาญด้านสมุนไพร แต่กลับด้านการต่อสู้นั้นจะแย่มากเรื่องจากรูปร่างของพวกเขา ยิ่งเป็นผู้หญิงแล้วจะยิ่งหายากขึ้นไปอีกที่จะมีความสามารถด้านการต่อสู้
เลเลนอร์นั้นเป็นหนึ่งในเหล่าคน “หายาก” นั้น เธอเกิดมาในฐานะญาติห่างๆของตระกูลดยุคเอเบเน่แห่งราชอาณาจักรครูวานศักดิ์สิทธิ์ เธอมีเพื่อนสมัยเด็กที่ไม่ได้เป็นขุนนางด้วย มีผู้เชี่ยวชาญสมุนไพรอยู่มากมายในหมู่บ้านชนบทของเผ่า และเด็กๆที่เกิดมาก็จะถูกเลี้ยงดูให้เป็นผู้เชี่ยวชาญสมุนไพรเช่นกัน มันถือเป็นประเพณีที่สืบทอดมาอย่างยาวนานแล้ว แถมยังแบ่งประชากรครึ่งนึงให้ออกไปผจญภัยข้างนอก และอีกครึ่งนึงให้อาศัยอยู่ในหมู่บ้านตามเดิม
อย่างไรก็ตาม เลเลนอร์นั้นต่างออกไป เธอนั้นมีทักษะทางเวทมนตร์ที่สูงมากจนถึงขนาดที่สามารถใช้【เวทย์บุบผา】และ【เวทย์ดิน】ได้โดยที่ไม่ต้องใช้หินสกิลเลยด้วยซ้ำ
เลเลนอร์นั้นใกล้เคียงกับผู้ใช้เวทมนตร์มากกว่าผู้เชี่ยวชาญสมุนไพร ความสามารถของเธอไปต้องตาดยุคเอเบเน่เข้า เธอจึงถูกเรียกตัวไปยังตระกูลหลัก — และได้เริ่มทำงานเป็นอัศวินให้กับตระกูล
เธอได้รับหินสกิล 3 ดาว【เวทย์บุบผา★★★】กับ【เวทย์ดิน★★★】มาก็เพื่อเสริมความสามารถดั่งเดิมของเธอ แถมยังฝึกฝนร่างกายเพื่อปิดจุดอ่อนด้านรูปร่างของเธอ เธอจะได้ไม่แพ้ให้กับเผ่าอื่นๆรวมถึงสามารถต่อสู้ในสถานที่ที่มีการหวงห้ามสกิลอย่าง “งานเลี้ยงต้นกล้าและดวงจันทร์ดวงใหม่” แห่งนี้ด้วย
(เมื่อกี้มันอะไรกัน…!?)
เลเลนอร์กำลังประหลาดใจ
ในตอนแรก เธอนั้นสงสัยว่า “ทำไมถึงมีคนคุ้มกันอายุแค่นี้อยู่ในที่แห่งนี้ด้วย” ถ้าพูดถึงตระกูลเอิร์ลซิวลิซส์ละก็ มันถูกยอมรับว่าเป็นขั้วอำนาจกลางอย่างเต็มตัว แถมผู้นำตระกูลยังถูกเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า “ลอร์ดเลือดเย็น” อีก เธอยังได้ยินมาว่าผู้นำตระกูลนั้นมีศัตรูอยู่มากมาย แถมยังมีการพยายามลอบสังหารนั่นด้วย
ทั้งๆที่เป็นแบบนั้น เขาก็ยังเลือกเด็กมาเป็นคนคุ้มกันให้กับลูกสาวของเขา อีวา อีกงั้นหรอ? เธอคิดแบบนั้น
มันจะสมเหตุสมผลกว่านี้ถ้าตัวเขามาจากเผ่าพันธ์ุตัวเล็กอย่างฮาล์ฟลิง, ฮอบบิท, หรือคนแคระ ทว่า ไม่ว่าจะมองยังไง เขาก็ดูเป็นมนุษย์แน่นอน แถมใบหน้าของเขายังดูใสซื่อเหมือนกับเด็กๆอีกด้วย ดังนั้นเลเลนอร์ก็เลยคาดเดาว่าตัวเขายังอายุน้อยอยู่แน่ๆ
ตัวเขารู้สึกไม่เหมือนกับผู้ใช้ดาบเลย ไม่ใช่ทหารผู้โหดเหี้ยมด้วย เขาดูเหมือนกับเพื่อนของอีวามากกว่า
(งั้นหรอ… เพื่อที่จะไม่ให้อีวาซามะกระวนกระวายใจ เป็นแนวคิดทางจิตวิทยาสำหรับ “การปกป้อง” ของท่านเอิร์ลสินะ)
เลเลนอร์สรุปออกมาเช่นนั้น หรือก็คือ คนคุ้มกันของอีวานั้นไร้ประโยชน์เมื่อมีเหตุฉุกเฉินเเกิดขึ้น
เหตุผลที่เธอคิดแบบนั้นก็เพราะว่างานนี้มีเจ้าชายศักดิ์สิทธิ์เข้าร่วม แถมยังไม่พอเท่านั้น ตัวราชันศักดิ์สิทธิ์เองก็ยังเข้าร่วมด้วยเช่นกัน
ถ้ากรณีที่เลวร้ายที่สุดเกิดขึ้นละก็ ประเทศนี้จะต้องสั่นคลอนไปถึงแก่นแน่ๆ ต่อให้การปกป้องเจ้านายเป็นหน้าที่หลักของเธอก็ตาม แต่ตัวอีธานจะต้องสั่งให้เธอปกป้องฝ่าบาทแน่นอน
ในฐานะคนคุ้มกันจะต้องเรียงลำดับความสำคัญ และต้องประเมินสถานการณ์ที่อาจเป็นไปได้ทั้งหมด
และแล้ว “กรณีเลวร้าย” ก็ได้เกิดขึ้นจริงๆ
ขั้นแรก เลเลนอร์ทำการหาที่อยู่ของอีธานในความมืดแล้วไปยืนขวางตัวเขาจากผู้บุกรุกเอาไว้
「เลเลนอร์」
「เงียบเอาไว้ค่ะ การหลบหนีในที่มืดนั้นอันตรายมาก ชั้นจะตรวจดูเส้นทางหลบหนีในตอนที่ไฟกลับมาแล้วให้ค่ะ」
อีธานรีบเอาดาบล้ำค่าของเขาให้ ทว่าเลเลนอร์ได้ส่ายหัวของเธอ
「โปรดใช้มันเพื่อปกป้องตัวเองเถอะค่ะ อีธานซามะ」
ตัวของเจ้าชายและราชันศักดิ์สิทธิ์ที่ส่องแสงสลัวๆในความมืดนั้น เป็น “เป้าหมายชั้นดี” สำหรับผู้บุกรุกเลย
อย่างไรก็ตาม ในจังหวะถัดมานั้น มันก็ได้เกิดสิ่งที่ทำให้เลเลนอร์นั้นประหลาดใจออกมา
อยู่ก็ได้ปรากฏเปลวไฟ 5 ลูกขึ้นมาในอากาศ
คนที่สร้างเปลวไฟพวกนั้นขึ้นมาก็คือเด็กชายที่เลเลนอร์ตัดสินเอาไว้แล้วว่าเป็น “คนไร้ค่า” ไม่ต้องสงสัย นั่นเพราะว่าเปลวไฟพวกนั้นลอยอยู่รอบๆตัวของเด็กคนนั้นนั่นเอง
(อะไรกัน…!! เขาใช้งาน【เวทย์ไฟ】5 ครั้งในทันทีทั้งๆที่ยังอยู่ในพื้นที่หวงห้ามสกิลเนี้ยนะ!?)
ต่อให้เป็นตัวของเลเลนอร์เองที่มีพรสวรรค์ด้านเวทมนตร์ตั้งแต่อายุน้อยๆก็ตาม ขีดจำกัดที่เธอสามารถใช้【เวทย์บุบผา】กับ【เวทย์ดิน】ได้ก็แค่ 3 ครั้งเท่านั้น หรือจะต้องบอกว่าที่ตัวเธอถูกเลือกมาเป็นคนคุ้มกันของอีธานนั้น นั่นก็เพราะเธอสามารถใช้งานพวกมันได้ 3 ครั้งในเวลาเดียวกันนั่นเอง มันได้ถือว่าเป็นความสามารถที่สุดยอดที่สุดในหมู่อัศวินคนอื่นๆแล้ว
(อัจฉริยะด้าน【เวทย์ไฟ】—)
เด็กอัจฉริยะพวกนี้นั้นเกิดจากการกลายพันธ์ุ ถึงจะมีอยู่จำนวนอยู่น้อยนิดก็ตาม เด็กชายคนนี้นั้นดูจะไม่ได้ผ่านการฝึกซ้อมมาก็จริง ทว่าด้วยความอัจฉริยะของเขา มันจึงไปต้องตาของ “ลอร์ดเลือดเย็น” เข้าและถูกเลือกให้มาเป็นคนคุ้มกันให้กับอีวา – เลเลนอร์เชื่อว่ามันต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ
(ถ้ายังงั้น เขาก็น่าจะเป็นมือใหม่ด้านการต่อสู้ระยะประชิดแน่ๆ เนื่องจากตอนนี้บริเวณรอบๆก็สว่างขึ้นมาแล้ว ต่อจากนี้ก็เป็นงานของพวกเราแล้วละ!)
เลเลนอร์ตัดสินใจแบบนั้น ก่อนจะเบนสายตาไปยังอาเธอร์จากภาคีอัศวิน ตัวเขานั้นได้ไต่เต้าขึ้นมาเป็นกัปตันจากตระกูลของเขาก็จริง ทว่า ตำแหน่งนั้นก็ไม่ใช่ว่าใครก็จะเป็นได้ถ้าไม่มีฝีมืออยู่จริงๆ เขาจะต้องมีไอเดียในสถานการณ์ฉุกเฉินแบบนี้แน่ๆ และบางทีเขาอาจจะคิดแบบเดียวกันด้วย เพราะตัวเขาเองก็ได้เบนสายตามาทางเธอเช่นกัน
ทั้งสองคนพยักหน้าให้กัน
「อีธานซามะ โปรดรออยู่ตรงนี้นะคะ」
「ระวังตัวด้วยนะ」
ขณะที่ตัวเธอกำลังจะพุ่งเข้าผู้บุกรุก–
อีวาก็ได้ออกคำสั่งกับคนคุ้มกันของเธอ
「เรย์จิ ปกป้องทุกคนซะ!」
หลังจากนั้น คนคุ้มกันที่ยืนอยู่ในสายตาของเลเลนอร์ก็ได้หายตัวไปในทันที
* มุมมองของ เรย์จิ *
หินสกิลนั้นมอบสกิลให้กับผู้คน
มันเป็นสามัญสำนึกของโลกใบนี้ ทว่าผู้คนมากมายนั้นเข้าใจมันผิดไป… ความคิดนั้นมักจะเข้ามาในหัวของผมบ่อยๆ
มันเป็นไปได้ที่จะแสดง “พลังที่เทียบเท่ากับสกิล” ออกมาโดยที่ไม่ใช้สกิลอยู่
ตัวอย่างเช่น ผู้คนนั้นสามารถใช้เวทมนตร์ได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งสกิล และผู้คนก็สามารถเป็นปรมาจารย์ดาบได้โดยที่ไม่ต้องพึ่งสกิลอีกเช่นกัน สกิลนั้นก็ทำเพียงแค่ช่วยลดเวลาในการไปให้ถึงระดับผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นเอง
(มีเสียงการต่อสู้อยู่ 3 จุด แล้วอีก 3 คนที่เหลือก็กำลังมุ่งตรงมาทางนี้)
ดูจะเกิดการต่อสู้ขึ้นที่แต่ละโต๊ะเพราะคนคุ้มกันคนอื่นๆกำลังโต้กลับอยู่ เด็กบางคนก็ล้มลงจากเก้าอี้ของพวกเขาแล้วตัวแข็งทื่อจากความหวาดกลัว ในขณะที่บางคนก็ได้กรีดร้องออกมาด้วย
ผมปล่อยให้ไฟที่เกิดจาก【เวทย์ไฟ】นั้นอยู่ที่เดิม ก่อนที่จะเริ่มพุ่งตัวออกไปด้วย【ทักษะการวิ่ง】เหล่าผู้บุกรุกดูจะให้ความสนใจกับผมอยู่ และคนพวกนั้นก็กำลังหายใจอย่างร้อนรนด้วย -【World Ruler】บอกผมมาอย่างนั้น เอาเถอะ มันก็ปกติละนะ ก็มันเหมือนกับว่าอยู่ๆตัวผมก็หายไปนี่นา
ทั้งสามคนที่เคลื่อนตัวผ่านพื้นที่ว่างตรงกลางนั้นเคลื่อนไหวช้ามาก – คงเป็นเพราะพวกเขาไม่สามารถใช้สกิลได้สินะ ผมได้วนรอบตัวพวกเขาก่อนจะพุ่งเข้าไปยังด้านข้างตัวของพวกเขา
「!」
มีคนนึงที่สังเกตเห็นผมที่เข้ามาใกล้ภายใต้แสงสลัวๆ ทว่ามันก็ได้สายเกินไปแล้ว เพราะตอนนี้ผมได้ไปอยู่ด้านหน้าของคนพวกนั้นเรียบร้อยแล้ว
ผมต่อยไปที่สีข้างของผู้บุกรุกด้วย【ทักษะการชกต่อย】ที่ผมได้เรียนรู้มาจากการฝึกของภาคีอัศวิน
ลมทั้งหมดที่อยู่ในปอดของผู้บุกรุกคนนั้นได้ทะลักออกมาทันที และในช่วงเวลาเล็กน้อยเพียงแค่นี้ก็มากพอแล้วสำหรับผม หมัดต่อไปของผมได้กระทบเข้ากับกรามของเขาเต็มๆ บริเวณตรงคางนั้นถือว่าเป็นจุดอ่อนในการชกมวย ถ้าโดนโจมตีบริเวณนั้นละก็จะหมดสติไปในทันทีเลยละ
อีกสองคนที่รับรู้ได้ว่าพวกเขาเสร็จไปคนนึงแล้วนั้นก็ได้เปลี่ยนเป้าหมายมาทางผม พวกเขาชักดาบสั้นออกมาจากเอวอย่างรวดเร็ว ใบดาบถูกทาสีดำเอาไว้เพื่อให้มองเห็นได้ยากภายในความมืด
(โอ้ย… เจ็บมือชะมัด…)
ดูเหมือนว่าพวกเขาจะสวมเกราะโซ่ถักเอาไว้ข้างใต้ชุดสีดำพวกนั้นด้วย กำปั้นของผมก็เลยร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด ผมรักษามือของผมด้วย【เวทย์รักษา】ที่ใช้มานาจากที่ผมได้เก็บรวบรวมเอาไว้ในตอนที่ไม่ได้ใช้มัน
ตอนนี้ ก็ถึงเวลาจัดการกับอีกสองคนที่เหลือแล้ว
หนึ่งในนั้นแทงดาบเข้ามาทางผม
ความเร็วนั้นถือเร็วสำหรับคนปกติ ทว่าสำหรับผมที่เฝ้ามองการฝึกซ้อมของภาคีอัศวินมาแล้วนั้น มันช้ามากๆเลยละ
อย่างไรก็ตาม มีบางอย่างแปลกๆกับการแทงดาบนั่น
(เอ๊ะ…? การแทงแบบนั้น… เป็น “แบบ” เดียวกับของภาคีอัศวินเลยนี่?)
================================================================
TL: มึคุณผู้อ่านแนะนำเข้ามาว่าให้ผมแทนคำว่า “ซามะ” เป็นคำว่า “ท่าน” ไปเลยครับ ซึ่งผมที่ใช้คำพวก “ซัง”,”จัง” อยู่แล้วนั้น ถ้าผมเปลี่ยนไปใช้ “ท่าน” กับแค่ “ซามะ” อย่างเดียวมันจะดูแปลกๆไปไหมครับ? ทุกท่านคิดเห็นยังไงก็คอมเม้นต์มากันได้เลยนะครับ ผมจะนำไปพิจารณาปรับเปลี่ยนในตอนต่อๆไปนะครับ ขอบคุณครับ