TL: ผมจะทำการแปล “ซามะ” เป็น “ท่าน” โดยที่ยังคง “ซัง”, “จัง”, “คุง”, และ “โดโนะ” เอาไว้เหมือนเดิมนะครับ และขอเปลี่ยนชื่อตระกูล “เอเบเน่” เป็น “เอเบน” รวมถึงชื่องานเลี้ยงจาก “งานเลี้ยงต้นกล้าและดวงจันทร์ดวงใหม่” เป็น “งานเลี้ยงต้นกล้าแห่งคืนข้างขึ้น” แทนนะครับ ขอบคุณครับ
==========================================================
บทที่ 2 ตอนที่ 19
ถึงท่าทางจะต่างกันก็จริง แต่การแทงด้วยดาบสั้นแบบนั้นก็ยังเป็นทักษะของภาคีอัศวินจริงๆ
ผมตกใจไปแปปนึงจึงทำให้ผมหลบมันได้ช้าไปเล็กน้อยๆ ส่งผลให้แขนของผมถูกฟัน
อัก… แผลนั้นไม่ลึกมาก เลือดก็ไม่ได้ไหลมากนัก ดังนั้นผมเลยปิดปากแผลได้ง่ายด้วย【เวทย์รักษา】
แต่ตอนนี้ผมโกรธแล้ว!
ผู้บุกรุกอีกคนพุ่งมาทางผม ผมหลบเขาอย่างรวดเร็ว ทว่า ผู้บุกรุกที่แทงผมก่อนหน้านี้ปรับท่าทางใหม่เสร็จแล้วและกำลังจะแทงผมอีกครั้ง
ผมหลบมันพ้นก็จริง แต่ว่ามันทำให้ผมเสียการทรงตัว ตัวผู้บุกรุกที่ไม่ได้ปิดบังดวงตาเอาไว้นั้น – แค่มองตาของเขาก็รู้แล้ว – ว่ากำลังยิ้มอยู่
มีการโจมตีต่อไปโจมตีเข้ามา สำหรับคนที่กำลังเสียการทรงตัวอยู่นั้นคงหลบมันไม่ได้ ทว่า–
「ล้อเล่นหรอกน่า!」
จากที่กำลังเสียการทรงตัว หมัดของผมก็ได้กระทบเข้ากับขมับของผู้บุกรุก ขมับเองก็เป็นจุดอ่อนของมนุษย์เหมือนกัน ผู้บุกรุกคนนั้นก็เลยตาเหลือกแล้วสลบลงไปกับพื้น
「หว่า…!?」
คนที่สามกำลังลนลานอยู่ คงไม่ได้คาดการณ์การโจมตีสวนกลับเมื่อกี้แน่ๆ
จริงๆแล้วนี้เองก็เป็นสกิล มันถูกเรียกว่า【ทักษะการชกต่อย】ผลของสกิลนี้ก็คือไม่ว่าจะอยู่ในท่าไหนก็ตาม พลังโจมตีของหมัดก็จะไม่ลดลง
ว่าง่ายๆก็คือ จะสามารถใช้【ทักษะการชกต่อย】ได้โดยการเสริมแกร่งร่างกายและเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับลำตัว ผมเรียนรู้มันมาจากหนึ่งในอันธพาลที่กำลังชกต่อยกันในโรงเตี้ยมตอนที่ผมไปรับเซอรี่ซังที่กำลังเมานั่นเอง
「!!」
บางทีผู้บุกรุกคนนั้นคงตัดสินใจแล้วว่าไม่อาจจัดการผมได้ง่ายๆ เขาก็เลยหันหลังแล้ววิ่งหนีไป – ทว่าขาของเขาสะดุดอะไรบางอย่างล้มลง เป็นการล้มหน้าคะมำที่สวยงามมากเลยละ ดาบหล่นจากมือของเขาและตัวของเขาเองก็ได้ไถลไปบนพื้นด้วย
คนคุ้มกันเผ่าฮาล์ฟลิงคนนั้นดูจะเป็นคนทำนะ เห็นได้จากเถาวัลย์ที่มัดอยู่ตรงเท้าของผู้บุกรุกคนนั้น เธอคงจะดึงดอกไม้ที่ประดับอยู่บนโต๊ะออกมาก่อนจะโยนออกไปพร้อมกับใช้งาน【เวทย์บุบผา】สินะ
อาเธอร์ได้วิ่งเข้าไปหาผู้บุกรุกคนนั้นแล้วมัดเขาเอาไว้
ผมลบมานาสำหรับใช้งาน【เวทย์ดิน】ออกไป ตอนแรกผมก็กะว่าจะยิงกระสุนหินใส่หลังหัวของผู้บุกรุกคนนั้นซะหน่อย
(งั้นหรอ… ผมควรต้องใช้อะไรก็ตามที่มีในโถงงานเลี้ยงด้วยสินะ)
ผมตรวจสอบสถานการณ์ที่โต๊ะอื่นๆ คนนึงถูกจัดการไปแล้ว ส่วนอีกสองคนที่เหลือนั้นหนีไปได้
「………」
เหล่าอัศวินของแต่ละตระกูลต่างรีบพุ่งเข้ามาในโถงงานเลี้ยงพร้อมกับถือตระเกียงเวทมนตร์ ทั่วทั้งโถงต่างสว่างไสวขึ้นมาอีกครั้ง ทว่าตัวผมก็ยังไม่หายข้องใจเลย
(ทำไมพวกนั้นถึงวิ่งหนีละ? ถ้าเป็นภารกิจลอบสังหารละก็ พวกนั้นก็น่าจะเตรียมตัวตายมาแล้วนี่นา? และ… การเคลื่อนไหวพวกนั้นเหมือนกับของภาคีอัศวินเลย งั้น มีการทรยศเกิดขึ้นงั้นหรอ? ถ้าพวกผู้บุกรุกเป็หนึ่งในภาคีจริงๆละก็ มันก็จะอธิบายเรื่องที่พวกนั้นลอบเข้ามาในงานเลี้ยงได้ แต่ว่า…)
ผมมองไปยังโต๊ะที่คุณหนูอยู่【เวทย์ไฟ】ที่ผมใช้ไปก่อนหน้านี้กำลังจะหายไปพอดี ทว่าตรงนั้นเองก็เต็มไปด้วยอัศวินมากมายแล้ว – รวมถึงแม็กซิมซังด้วย – เขากำลังปกป้องคุณหนูอยู่
เจ้าชายคลูฟชราทนั้นมีสีหน้าโล่งอก และเอิร์ลชายแดนเองก็กำลังปกป้องคุณหนูมิร่าอย่างใกล้ชิดอยู่
ส่วนทางตัวราชันศักดิ์สิทธิ์นั้น–
(เขากำลังจ้องมองมาที่ผมสินะ?)
เขาทำเพียงแค่จ้องมองมาที่ผม
「นายนี่สุดยอดไปเลยนะ!」
「เอ๊ะ?」
ผมได้ยินเสียงเรียกมาจากทางด้านข้าง เป็นคนคุ้มกันเผ่าฮาล์ฟลิงคนนั้นนั่นเอง
「ชั้นคิดว่านายเป็นอัจฉริยะด้านเวทมนตร์ แต่ดูเหมือนด้านการต่อสู้ระยะประชิดเองก็ไม่ได้แย่นะ ยังไงก็เถอะ หลังจากนี้นายควรปล่อยให้คนคุ้มกันคนอื่นๆต่อสู้นะ แค่ช่วยสนับสนุนด้วยเวทมนตร์ก็พอแล้วละ」
「อา–」
เธอคิดว่าผมสามารถใช้เวทมนตร์ได้สุดยอดก็จริงแต่การต่อสู้ระยะประชิดยังไม่เท่าไหร่สินะ คงเพราะผมโดยการโจมตีไปครั้งนึงแน่ๆเลย…
「เอานี่ ยาขี้ผึ้ง ชั้นทำขึ้นมาเป็นพิเศษเลยนะ ทามันก็น่าจะรักษาแผลของนายได้ทันทีเลย」
「โอ๊ะ ขอบคุณมากๆเลยครับ…」
เธอมอบกล่องไม้เล็กๆที่ใส่ยาขี้ผึ้งมาให้กับผม
「ขออภัยนะครับ คือคุณ–」
สำเนียงของเธอนั้นเหมือนกับของมิมิโนะซังมากๆเลย พวกเขามาจากที่เดียวกันหรือปล่าวนะ?
ทว่าก่อนที่ผมจะได้ถามถึงเรื่องนั้น เธอก็ได้กลับไปหาคุณชายอีธานเรียบร้อยแล้ว จริงสิ ผมเองก็เป็นคนคุ้มกันเหมือนกันนี่นา ผมก็ควรจะกลับไปได้แล้ว
เอาไว้ถามเธอทีหลังเมื่อมีโอกาสละกัน ผมยังสงสัยอยู่ว่าตอนนี้มิมิโนะซังกับซิวเวอร์บาลานซ์จะเป็นยังไงมั้ง…
ผมเองก็เคยคิดที่จะติดต่อกับพวกเขาหลังจากที่เหตุการณ์มันสงบลงแล้วอยู่หรอก แต่ว่ามันทำไม่ได้ง่ายๆเลยหลังจากที่ข้ามชายแดนมาแล้วหน่ะสิ แถมพวกเขาเองก็เป็นนักผจญภัยด้วย ผมไม่รู้เลยว่าตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ไหนกันแล้ว
「ขออภัยที่ทิ้งไปนานนะครับ คุณหนู」
「ไม่หรอก นายทำได้ดีมาก!」
คุณหนูยื่นมือของเธอออกมา แต่ผมหลบมันโดยการยืนหลังตรง ทำไมละ? ทำไมอยู่ๆเธอถึงคิดที่จะลูบหัวของผมกันละ? เธอยังคงพยายามที่จะลูบหัวของผมให้ได้
「เอาละทุกคน! ทำได้ดีมาก!」อยู่ๆราชันศักดิ์สิทธิ์ก็พูดขึ้นมาด้วยเสียงอันดังก้อง
เหล่าผู้บุกรุกต่างก็ถูกแก้มัดโดยเหล่าอัศวินของราชันศักดิ์สิทธิ์ที่มาถึงที่หลัง
(เอ๊ะ? จริงๆหรอเนี้ย…)
ผมมีความรู้สึกไม่ดี และมันก็มักจะตรงทุกครั้งเลยด้วย
「จริงๆแล้วการโจมตีเมื่อกี้เป็นเพียงแค่การแสดงหน่ะ!」ราชันศักดิ์สิทธิ์ประกาศออกมาอย่างมีความสุข
ทั่วทั้งโถงต่างตกอยู่ในความเงียบ เหล่าเด็กทั้งชายและหญิงต่างก็นั่งอ้าปากค้าง
เหล่าผู้บุกรุกต่างก็ลุกขึ้นพร้อมกับถอดชุดสีดำของพวกเขาออก ลักษณะของพวกเขานั้นเป็นคนหนุ่มที่มีมีสีหน้าของผู้บริสุทธิ์ราวกับไม่ได้ทำอะไรผิดทั้งนั้น
อา ให้ตายเหอะ อย่างที่คิดเอาไว้เลย
「ข้าอยากจะให้พวกเจ้าทุกคนได้รับรู้ถึงความเป็นไปได้ต่างๆหลังจากที่พวกเจ้าได้เป็นขุนนางเต็มตัวแล้วยังไงละ! มันจะต้องมีซักครั้งที่พวกเจ้าจะถูกโจมตี! ในตอนนั้น เจ้าจะหวังพึ่งคนคุ้มกันของเจ้าได้ไหม? บางครั้งเหล่าคนคุ้มกันเองก็ไม่มีอาวุธแต่เหล่าผู้จู่โจมนั้นมี พวกเจ้าจะทำยังไงละ? ไม่ว่าจะยังไง ธาติแท้ของแต่ละคนก็จะปรากฏในสถานการณ์คับขันแบบนี้แหล่ะ ถ้าพวกเจ้ารู้สึกสมเพชตัวเองในวันนี้ละก็ พวกเจ้าก็จะต้องทำให้ดีที่สุดเพื่อที่จะรู้สึกภาคภูมิใจในวันพรุ่งนี้ซะ!!」
ราชันศักดิ์สิทธิ์พูดขึ้นมาแบบนั้นพร้อมกับหัวเราะออกมา ทว่าสำหรับผู้ที่ถูกโจมตีจาก “การแสดง” นั้นมันไม่ตลกเลย มีลูกขุนนางมากมายที่เหม่อลอย และเหล่าคนคุ้มกันเองก็ดูเหนื่อยอ่อนด้วย
แทนที่มันจะเป็นเรื่องบันเทิง มันเหมือนกับการรับน้องซะมากกว่า มีอะไรต่างๆมากมายในสังคมที่กำลังรอพวกเขาอยู่ต่อจากนี้ไป
เมื่อผมกำลังคิดถึงอนาคตของคุณหนูอยู่นั้น ผมก็ติดอยู่ในความรู้สึกที่ซับซ้อนระหว่างความกังวลกับความเห็นใจ
「โอ๊ะ มันเป็นแค่การแสดงนี่เอง ถ้ายังนั้น เรย์จิก็จะต้องได้คะแนนเต็มแน่เลย!」
「ไม่ครับ มันมีจุดที่ผมรู้สึกตัวว่ามันเป็นการแสดงอยู่ มันค่อนข้างน่าอายเลยที่ผมทำการต่อสู้อย่างฉูดฉาดแบบนั้นออกไปนะครับ」
เหล่าผู้บุกรุกนั้นออกไปพร้อมกับเหล่าอัศวินของราชันศักดิ์สิทธิ์แล้ว ทว่ามันก็ยังคงมีผู้คนมากมายที่มองไปยังพวกนั้นอย่างเป็นกังวลอยู่ การแสดงนั่นคงจะมีผลกับพวกเขาไม่น้อยเลย
มีเครื่องมือสปอร์ตไลท์เวทมนตร์ถูกวางเอาไว้ที่ใกล้ๆกับกำแพงของโถงงานเลี้ยง เมื่อเปิดการทำงาน แสงสว่างจ้าก็ได้สะท้อนกับเพดานแล้วโถงก็ได้สว่างไสวขึ้น
「จุดที่นายรู้สึกตัวงั้นหรอ?」
เมื่อคุณหนูได้ถามขึ้นมาพร้อมกับสีหน้างุนงง–
「เฮ้ คนคุ้มกันของตระกูลซิวลิซส์ อะไรที่เจ้ารู้สึกตัวงั้นรึ?」
ผมก็ถูกถามโดยตรงจากของตัวราชันศักดิ์สิทธิ์เองเลย
คนคุ้มกันควรจะพูดว่ายังไงในเวลาแบบนี้นะ? ทุกคนบนโต๊ะนั้นต่างจับจ้องมาที่ผมเป็นตาเดียวเลยละ