บทที่ 2 ตอนที่ 26
* คนคุ้มกัน: เลเลนอร์ *
เผ่าฮาร์ฟลิงนั้นมีนิสัยที่แตกต่างกันออกไป ทว่าเซ้นส์ด้านสีของเธอนั้นเป็นเอกลักษณ์เอามากๆ
มิมิโนะนั้นสวมเสื้อคลุมสีส้มพร้อมกับตุ้มหูสีสดใส กระเป๋าสะพายห้อยลงมาจากไหล่ของเธอทำจากเส้นใยสีเงินและสีแดงสด มันประดับด้วยดอกไม้ดอกใหญ่ – ดอก “คลัสเตอร์อะมาริลลิส (ฮิกันบานะ)” อันมีตำนานเล่าขานกันว่าสามารถชุบชีวิตคนตายได้
ผมยาวสีอำพันของเธอนั้นถักอย่างประณีต และหน้าม้าหนาๆก็ห้อยเอาไว้ที่ตาขวาของเธอ
พอมองดูดวงตาสีฟ้ากลมโตของเธอแล้ว ต่อให้เป็นเลเลนอร์ที่ไม่ได้เจอกับเธอมานานแล้วก็ยังพูดว่า “เธอไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด มิมิโนะ”
เลเลนอร์กับมิมิโนะได้เปลี่ยนสถานที่มาเป็นร้านคาเฟ่ใกล้ๆกับกิลด์นักผจญภัย ทั้งคู่นั่งอยู่ตรงข้ามกันและกันก่อนจะสั่งน้ำผลไม้ที่ทำจากส้มที่เป็นของขึ้นชื่อของราชอาณาจักรครูวานศักดิ์สิทธิ์
「เธอเองก็ไม่เปลี่ยนไปเลยนะ เลเลนอร์ เธอยังใส่ชุดเหมือนเดิมตั้งแต่ที่ชั้นเจอเธอเมื่อหลายปีก่อนเลยนะ」
「ยะ-อย่าเอาเรื่องนั้นมาพูดสิยะ! เพราะงานที่ชั้นทำ ปกติชั้นก็ต้องสวมชุดที่เป็นทางการอยู่แล้ว」
「โอ๊ะ งานคุ้มกันของเธองั้นหรอ?」
「ใช่ๆ」
「วันนี้เธอหยุดงั้นหรอ?」
「วันนี้ คุณชายเขาเชิญแขกมางานเลี้ยงน้ำชาที่บ้านหน่ะ ดังนั้นก็เลยไม่เป็นไร ชั้นจะต้องคุ้มกันเขาเมื่อเขาออกไปข้างนอกเท่านั้นแหล่ะ แถมช่วงนี้เขาเองก็หาเพื่อนดีๆได้บ้างแล้วด้วย เขาแทบจะออกไปข้างนอกทุกวันเลยละ」
「งานหนักหน้าดูเลยนะ」
「วันนี้ได้จังหวะเหมาะพอดีเลยละ เพราะตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป 3 วันชั้นจะไปไหนไม่ได้เลย มันจะมีพิธีมอบหินสกิลให้กับคุณชายจัดขึ้น แล้วชั้นจะต้องไปซ้อมคุ้มกันอะไรเทือกนั้นด้วย มันจะต้องวุ่นวายมากแน่ๆเลยละ」
「พิธีมอบหินสกิล? มีอะไรแบบนั้นด้วยหรอ?」
「ใช่แล้ว… มีอะไรหลายๆอย่างเกิดขึ้นเลยละ」เลเลนอร์พูดขึ้นในขณะที่มองไปยังที่ไกลแสนไกล
เธอต้องอาศัยอยู่ในเมืองศักดิ์สิทธิ์เพราะไม่สามารถกลับได้ แต่มันจะจบลงในอีก 3 วันแล้ว จนกว่าพิธีมอบหินสกิลจะจบลง
เครื่องดื่มที่พวกเธอสั่งได้มาเสิร์ฟแล้ว เลเลนอร์จิบมันเล็กน้อย มันไม่ได้มีเพียงแค่ส้มเท่านั้น มันได้ผสมผลไม้อื่นๆลงไปด้วย เนื่องจากโลกนี้ไม่มีแก้วที่ทำจากแก้ว มันจึงเสิร์ฟด้วยแก้วเหล้าที่ทำจากทองแดงแทน บางทีมันอาจจะถูกทำให้เย็นด้วยเวทมนตร์หรืออุปกรณ์เวทมนตร์อะไรแบบนั้น ดังนั้นเมื่อเธอดื่มมันเข้าไป เธอก็รู้สึกสดชื่นมากๆ เลเลนอร์ตัดสินใจแล้วว่าคราวหน้าเธอก็จะสั่งมันอีกแน่นอน
อนึ่ง ร้านที่พวกเธอนั่งนั้นเป็นร้านเกรดสูง ราคาเองก็สูงเช่นกัน ถ้าเป็นร้านค้าธรรมดาๆละก็ พวกเขาจะเสิร์ฟด้วยแก้วไม้ และถ้าเป็นร้านแผงลอยละก็ จะต้องพกแก้วไปเองด้วย
「ชั้นตกใจเลยนะที่ได้รับการติดต่อมาจากเธอ มิมิโนะ ขอโทษที่ตอบกลับช้านะ ชั้นต้องมาที่เมืองศักดิ์สิทธิ์เพื่อคุ้มกันคุณชาย ดังนั้นมันก็เลยต้องใช้เวลาสักหน่อยในการเขียนจดหมายตอบกลับหน่ะ」
「ไม่ ไม่เป็นไรหรอก ชั้นเองก็ต้องใช้เวลาสักพักในการข้ามชายแดนมาเหมือนกัน」
「ชายแดนของราชอาณาจักรอัศวินนักบุญสินะ? มีอะไรเกิดขึ้นงั้นหรอ?」
「โอ๊ะ ปล่าวหรอก ชั้นไปที่จักรวรรดิเวทมนตร์เลฟตามคำร้องของกิลด์หน่ะ」
「อะไรน้าาาา? ทำไมถึงไปที่นั่นหล่ะ?」
เลเลนอร์ตกใจมากๆด้วยเหตุผลบางอย่าง
ประเทศที่ถูกเรียกว่าจักรวรรดิเวทมนตร์นั้นก้าวหน้าทางด้านการวิจัยเวทมนตร์อย่างมาก และพวกเขาก็เป็นคนเผยแพร่เทคโนโลยีสุดลำหน้าอย่างเรือเหาะเวทมนตร์แก่ประเทศต่างๆด้วย ประชาชนทุกคนนั้นเป็นเผ่าพันธ์ุเดียวกันที่มีชื่อว่าเลฟ เป็นมนุษย์สัตว์ที่มีพื้นฐานมาจากสัตว์เลื้อยคลาน พวกเขาจะมีสีผิวหลากหลายตั้งแต่ทองไปจนถึงสีน้ำตาลเลยละ ส่วนดวงตานั้นจะมีสีทอง — ซึ่งจะสะท้อนแสงด้วย
นอกจากนี้ พวกเขาก็ยังมีกฏพิเศษอย่าง “หวงห้ามหินสกิล” ซึ่งจำกัดการเข้าประเทศอย่างมากอยู่ด้วย มันเป็นประเทศแห่งความลับที่มีการจำกัดการเข้าถึงของเผ่าพันธ์ุอื่นๆ
「ชั้นได้ไปที่นั่นเป็นครั้งแรกเลยละ เป็นที่ที่น่าสนใจสุดๆไปเลย พวกเขาใช้อุปกรณ์เวทมนตร์กับทุกอย่างเลยด้วย โอ๊ะ และนี่เป็นของฝากสำหรับเธอนะ」
「โอ้…」
มิมิโนะวางลูกบาศก์เหล็กลงบนโต๊ะ เลเลนอร์เลยหยิบมันขึ้นมาดู มันมีขนาดใหญ่เท่ากับฝ่ามือของเธอเลยแถมยังหนักอีกด้วย จากนั้น อยู่ๆมันก็เริ่มสั่น
「หวา!?」
เลเลนอร์รีบทิ้งมันลงบนโต๊ะ มันหมุนไปรอบๆสักพักก่อนจะหยุดลง
「นะ-นี่มันอะไรหน่ะ!? มันมีชีวิตงั้นหรอ!?」
「อะฮ่าๆ ไม่หรอก ลองดูดีๆสิ」
ในขณะที่มันสั่น เจ้าสิ่งนั้นมันก็ได้กลิ้งไปรอบๆโต๊ะ และเมื่อมันสามารถตั้งตรงขึ้นมาได้ มันก็เริ่มหมุน
「…นี้มันอะไรเนี้ย?」
「มันเป็นของเล่นที่จะหมุนไปมาหน่ะ」
ผ่านไปซักพัก มันก็ได้หยุดหมุนแล้วแน่นิ่งอยู่บนโต๊ะ
「…มันเอาไว้ใช้ทำอะไรหน่ะ?」
「มันเป็นแค่ของเล่นที่จะหมุนไปรอบๆเท่านั้นเอง ดูเหมือนมันจะเป็นผลพลอยได้จากการวิจัยอุปกรณ์เวทมนตร์… หรืออาจจะเป็นของล้มเหลวละมั้ง? ดังนั้นมันก็เลยถูกมากเลย」
「งั้นหรอ…」
เลเลนอร์ค่อยๆเอื้อมมือไปที่เจ้าลูกบาศก์นั้น
「โอ้ย ร้อน!」
「โอ๊ะ ขอโทษที มันจะร้อนขึ้น ดังนั้นอย่าไปจับมันซักพักนะ」
「……」
เลเลนอร์กังวลไปซักพักนึงเลยว่านี่อาจจะเป็นการแกล้งของมิมิโนะก็ได้
「เอาเถอะ… เธอไม่ได้จะมาเพื่อแค่ให้ไอ้นี่เท่านั้นใช่ไหม? จดหมายของเธอเขียนว่าเธอมีบางอย่างอยากจะถามนี่นา」
「อ่าห์ ใช่แล้วละ…」
มิมิโนะที่ยิ้มแย้มมาจนถึงตอนนี้อยู่ๆก็เคร่งเครียดขึ้น
「จริงๆแล้วชั้นอยากจะให้เธอตามหาใครสักคนหน่ะ」
「ตามหาใครคนงั้นหรอ?」
「ใช่ ชั้นเองรู้ว่าเธองานยุ่งมาก ดังนั้น เธอจะทำตอนว่างๆก็ไม่เป็นไรหรอกนะ」
「อืม เป็นคำขอของลูกพี่ลูกน้องทั้งที…」
เลเลนอร์นั้นเป็นลูกพี่ลูกน้องของมิมิโนะ
เผ่าฮาร์ฟลิงนั้นมาจากหมู่บ้านเดียวกัน มิมิโนะออกจากหมู่บ้านเพื่อเป็นพ่อค้ายาสมุนไพรเร่ ส่วนเลเลนอร์นั้นถูกจ้างวานเป็นคนคุ้มกัน
「แต่ว่านะ มิมิโนะ คนคุ้มกันอย่างชั้น–」
มิมิโนะยกมือของเธอขึ้นขัดคำพูดของเลเลนอร์「จริงๆแล้ว…」
คนที่เธอกำลังตามหานั้นเป็นเด็กชายเผ่ามนุษย์ที่มีผมสีดำตาสีดำ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีการศึกษาด้วย พูดอีกอย่างก็คือ เขาอาจจะเกี่ยวข้องกับสังคมขุนนาง ตัวมิมิโนะนั้นตามหาไปทุกที่ที่นักผจญภัยจะสามารถทำได้แล้ว ทว่าในสังคมขุนนางนั้นเธอถูกนับว่าเป็นคนนอก ดังนั้นเธอก็เลยต้องพึ่งใครสักคนแทน เด็กชายที่เธอตามหานั้นมีพรสวรรค์ด้านการใช้เวทมนตร์แม้จะไม่มีหินสกิลก็ตาม แุถมยังค่อนข้างเก่งเกินอายุด้วย
(…เด็กชายที่ใช้เวทมนตร์ได้โดยที่ไม่มีสกิล?)
สิ่งที่เข้ามาในหัวของเธอก็คือเรื่องที่เกิดขึ้นใน “งานเลี้ยงต้นกล้าแห่งคืนข้างขึ้น” ที่ได้ผ่านมาประมาณเดือนนึงแล้ว
คนคุ้มกันที่เธอเห็นเมื่อตอนนั้น… คนคุ้มกันของอีวา ซิวลิซส์ที่เธอเคยพบเห็นหลายต่อหลายครั้งหลังจากงานเลี้ยงน้ำชาครั้งนั้น ทว่าเนื่องจากคนคุ้มกันจะไม่คุยกัน เธอก็เลยยังไม่รู้จักชื่อของเขาเลย ดูเหมือนว่าผู้นำตระกูลเอเบนจะพูดว่า “ข้าอยากได้ตัวเด็กคนนั้น” แต่ในฐานะคนคุ้มกันของอีธาน เธอก็เลยไม่ค่อยได้ยินข้อมูลพวกนั้นซะเท่าไหร่
(หืมม เด็กคนนั้นตรงกับคำอธิบายของเธอเลย เขามีผมสีฟ้า ทว่า… ผมสีดำตาสีดำนั้นเป็นเป้าหมายในการกีดกันของบางพื้นที่ด้วย ดังนั้นเขาอาจจะย้อมผมของเขาก็ได้ แถมเขายังพบพิษที่ตัวชั้นยังไม่สังเกตุเห็นได้เลยด้วย สงสัยจังว่าเขามีสกิลระดับสูงประเภทตรวจสอบหรือการมองเห็นอะไรประมาณนั้นหรือปล่าวนะ แต่ว่า…)
จากนั้น เธอก็รับรู้ถึงสายตาของมิมิโนะที่กำลังจ้องมองมาที่เธอ
「เลเลนอร์ หรือว่าบางทีเธอจะรู้อะไรงั้นหรอ?」มิมิโนะถามขึ้นพร้อมกับเอนตัวมาข้างหน้า
「โหว〜?」
「ทะ-ทำไมถึงมองชั้นด้วยหน้าตาร้ายกาจอย่างนั้นละ?」
「อย่าเรียกว่าร้ายกาจสิะยะ! ไม่สิ ชั้นหมายถึง เธอดูเป็นกังวลเกี่ยวกับเด็กคนนั้นจังเลยนะ? หรือที่เรียกกันว่ารักข้างเดียวอย่างงั้นหรอ?」
「หวา!? ไม่ใช่นะ! อย่าแกล้งกันสิ!」
「เห็นพูดยังงั้น แต่หน้าเธอนี้แดงแปร๊ดเชียวนะ」
「มะ-มะ-ไม่ใช่อย่างนั้นนะ! เรย์จิคุงเขาเตี้ยกว่าชั้นอีกนะ! เขาก็แค่ใครบางคนที่ชั้นอยากจะปกป้อง… แต่กลับเป็นชั้นที่ถูกเขาปกป้องซะเอง…」
「โอ๊ะ เป็นงั้นเองหรอกหรอ?」
เลเลนอร์ใช้ความคิดอีกเล็กน้อย คนคุ้มกันของอีวานั้นตัวสูงและตัวใหญ่กว่ามิมิโนะที่มีขนาดตัวพอๆกันกับเธอ
「ยะ-ยังไงก็เถอะ ถ้าเธอเจอข้อมูลของเด็กคนนั้นละก็ ได้โปรดบอกชั้นทีนะ!」
「เข้าใจแล้ว เข้าใจแล้ว ใจเย็นก่อนนะ」เลเลนอร์ถอนหายใจพร้อมกับมองไปที่มิมิโนะที่กำลังหน้าแดง
เธอกำลังสงสัยว่าลูกพี่ลูกน้องที่โตช้าคนนี้จะมีความรักกับเขาสักที ทว่าดูจะไม่ใช่แบบนั้น มิมิโนะกำลังตามหาเด็กชายที่ตัวเล็กกว่า – เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ของมิมิโนะที่ไม่ได้บอกเลเลนอร์ว่านั่นเป็นข้อมูลเมื่อ 4 ปีที่แล้ว – ดังนั้นมันจะต้องยากแน่นอน
(มิมิโนะ นี่เธออยากจะเป็นแม่ก่อนที่จะมีคนรักอีกงั้นหรอ?)
ถึงก่อนที่เลเลนอร์จะเป็นห่วงคนอื่น เธอควรจะห่วงตัวเธอเองที่ยังไม่มีคนรักเหมือนกันก่อนซะด้วยซ้ำ
(เดี๋ยวก่อนนะ คุณหนูตระกูลซิวลิซส์เรียกคนคุ้มกันของเธอว่า “เรย์จิ” หนิ ใช่ไหม? หรือว่า?)
ให้ความหวังกับข้อมูลที่ไม่แน่นอนไปก็ไม่มีความหมาย ดังนั้นเลเลนอร์ก็เลยตัดสินใจที่จะไปถามเพื่อนคนคุ้มกันคนอื่นๆเอาหลังจากนี้