บทที่ 1 ตอนที่ 9
「ใหญ่จัง…」
เมืองหลวงปกครองโดยดยุก ยูเวอร์ไมส์ นั้นเป็นเมืองที่รายล้อมไปด้วยกำแพงหินสูงทอดยาวไปสุดลูกหูลูกตา
บ้านหลายๆหลังที่เกินออกมานั้นเรียงรายอยู่ภายนอกกำแพง รวมถึงร้านค้าและโรงแรมสำหรับนักเดินทางที่มายังเมืองแห่งนี้อีกด้วย
มันต้องใช้เวลาสักพักก่อนจะได้เข้าไปในตัวเมือง มีผู้คนมากมายต่อแถวจากประตูเมืองไปจนถึงจุดที่มองเห็นประตูเมืองมีขนาดเท่าเมล็ดถั่ว
ภายในแถวก็จะประกอบไปด้วยเหล่านักเดินทาง พ่อค้า และผู้คนที่ดูเหมือนจะเป็นผู้อพยพย้ายถิ่นฐาน บางครั้งก็จะมีทหารขี่ม้าผ่านเข้าไปได้ทันทีโดยไม่ต้องต่อแถว ในเวลานั้น ทุกๆคนก็จะมองไปที่พวกนั้นด้วยสายตารังเกียจ
「หืมมม~ ดูเหมือนพวกเราคงจะได้เข้าไปกันในวันพรุ่งนี้แล้วละนะ」มิมิโนะซังพูด
「ชิ งั้นข้าจะออกไปล่าสัตว์ซักหน่อยดีกว่า」ไรเครียซังพูด
ในขณะที่เขากำลังจะออกจากแถวไปนั้น
「โอ้ ท่านกำลังจะออกไปล่าสัตว์งั้นรึ? ถ้าท่านล่านกก้นปล่องได้ ข้าจะรับซื้อมันเอง!」พ่อค้าที่อยู่ด้านหน้าพูดขึ้นมา
「ไม่ หน้าของเจ้ามันเจ้าเล่ห์เกินไป」
「ไม่เอาหน่าท่าน พ่อค้าทุกคนมันก็หน้าเจ้าเล่ห์เหมือนกันหมดนั้นแหล่ะ ใช่ไหมละ?」
「ถึงไม่พูดก็รู้อยู่แล้ว ก็ได้ ถ้าข้าเจอซักตัวละก็นะ」ไรเครียซังพูดก่อนจะตรงเข้าไปในป่าโดยเดินตัดผ่านทุ่งหญ้าไป
ผมรู้ว่ามีการการเลือกปฏิบัติกับพวกมนุษย์สัตว์อยู่ แต่พ่อค้าคนนี้ดูจะไม่ค่อยสนเรื่องนั้นสักเท่าไหร่
「นกก้นปล่องนั้นเป็นนกที่มีใบมีดติดอยู่ตามร่างกายและจะเดินอยู่บนพื้น แต่พวกมันนั้นเก่งในเรื่องการพรางตัวมาก ดังนั้นจึงมีแต่คนที่มีประสาทสัมผัสดีเยี่ยมเท่านั้นที่จะล่ามันได้」ดันเต้ซังพูดเสริมขึ้นมาจากด้านข้าง
「นกก้นปล่องจะตัวอ้วนมากในช่วงเปลี่ยนฤดูระหว่างหน้าหนาวกับหน้าร้อนหน่ะ มันค่อนข้างอร่อยมากเลยนะรู้ไหม… ถ้าชั้นได้ปีกของมันสักข้างละก็… ไม่ได้ๆ ชั้นต้องไม่ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับของหรูหราเด็ดขาด ดังนั้นชั้นจะรู้สึกขอบคุณมากเลยถ้าจะได้ขาสักข้าง…」น็อนซังพูดออกมาอย่างเหม่อลอยข้างๆกันกับดันเต้ซัง
…ถ้าเสียขาไปซักข้าง ไม่ใช่ว่านกนั้นจะตายหรือพิการไปแล้วไม่ใช่หรอ?
「เอาเถอะ คุณรอได้เลย ไรเครียหน่ะล่ามาได้ทุกครั้งเลยนั้นแหล่ะค่ะ」
「โอ้ ข้าจะตั้งตาคอยเลยนะ」
ก่อนที่ผมจะรู้ตัว มิมิโนะซังก็ไปทำข้อตกลงกับพ่อค้าคนนั้นเรียบร้อยแล้ว
ในท้ายที่สุดไรเครียซังก็กลับมาในช่วงดึกคืนนั้นโดยที่จับอะไรมาไม่ได้เลย
…ผมอยากจะลองกินเจ้านกก้นปล่องนั้นจริงๆ
พวกเรานั้นกินเนื้อตากแห้งเหมือนเดิมและพักแรมกันในที่โล่งแจ้ง ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่เนื้อตากแห้งนี้ก็อร่อยอยู่ดี
เมื่อพระอาทิตย์ขึ้น ประตูเมืองที่จะปิดในช่วงกลางคืนก็เปิดออก ในช่วงบ่ายของวันนั้นเราก็ได้เข้าไปใกล้กับประตูเมืองแล้ว ถึงจะเป็นประตูเมือง แต่ดูเหมือนแค่ทำมาจากไม้และท่อนซุงเท่านั้นเอง
เหตุผลที่ต้องรอคิวยาวนานขนาดนี้ก็เป็นเพราะว่าต้องจ่ายภาษีเข้าเมืองนั่นเอง นักเดินทางจะต้องจ่ายคนละ 1 เหรียญเงินซึ่งก็ประมาณ 1000 เยน ส่วนพวกพ่อค้านั้นจะคิดตามสัมภาระที่นำมาและดูเหมือนว่าจะต้องใช้เวลาสักพักในการตรวจสอบ
ผมอยากจะให้พวกเขาแยกแถวกันจริงๆ… ขนาดที่สนามบินในชาติก่อนยังแยกงแถวระหว่างคนต่างชาติกับคนในพื้นที่เลย
「ต่อไป」
ในที่สุดก็ถึงตาพวกเราแล้ว
ทหารที่สวมหมวกทรงแหลมที่หน้าตาเหมือนกับของทหารที่อยู่ในเหมืองกวักมือเรียกพวกเรา ทหารคนนั้นใส่เกราะโซ่ถักและถือหอกสั้นอยู่
「พวกเราคือปาร์ตี้ – ซิวเวอร์บาลานซ์」
「นักพจญภัยงั้นรึ เอ้า เข้ากันไปได้แล้ว」
มิมิโนะซังแสดงบางอย่างที่เหมือนกับแผ่นเหล็กและทหารคนนั้นก็ปล่อยให้พวกเราผ่านเข้าไปได้ทันทีโดยมองมาที่พวกเราเพียงแวบเดียวเท่านั้น ถ้าจะทำแค่นี้ละก็ พวกเขาก็ควรจะปล่อยให้พวกเราเข้าไปตั้งแต่ก่อนหน้านี้ได้แล้ว
ในที่สุดผมก็จะได้เข้าไปในเมือง เมืองใหญ่เมืองแรกที่ผมจะได้เข้าไปตั้งแต่ผมมาที่โลกใบนี้
「-รอเดี๋ยวก่อน」
มือของผมก็ถูกคว้าเอาไว้ในตอนที่ผมกำลังจะเดินผ่านเข้าไป แขนเสื้อของผมถูกถกขึ้นแสดงให้เห็นร่องรอยของรอยสักอย่างเด่นชัด
…แย่แล้ว!
หัวใจของผมตกลงไปยังตาตุ่ม
ผมเหลือบมองยังด้านข้างก็เห็นไรเครียซังเริ่มเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ ดันเต้ซังก็ลดมือลงไปยังมีดสั้นที่อยู่ตรงเอวของเขา
ยิ่งไปกว่านั้น มิมิโนะซังที่เป็นคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดเบิกตากว้างขึ้นและจ้องมองตรงไปยังทหารคนนั้น — ผมของเธอเริ่มลอยขึ้นจากการรวบรวมมานา
…เดี๋ยวๆๆ เดี๋ยวก่อนสิ! พวกคุณกำลังจะทำอะไรกัน?! นี่มันแย่แล้ว! มันกำลังจะกลายเป็นปัญหาเพราะผมแล้ว!
「โอ้ ทาสงั้นหรอ หืม…」
ผมกำลังตื่นตระหนก แต่ปฏิกิริยาของทหารคนนั้นก็มีเพียงแค่นั้น
「ข้าก็กำลังสงสัยอยู่เลยว่าเด็กคนนี้ดูเด็กเกินไปที่จะเป็นนักพจญภัย ปรากฎว่าเด็กคนนี้เป็นทาสนี่เอง ทาสนั้นก็ต้องจ่ายเหมือนกับนักพจญภัยหรือก็คือ 1 เหรียญเงินหน่ะ」
「โอ้งั้นหรอคะ พวกเราไม่รู้เรื่องนั้นเลยค่ะ」
น็อนซังเข้ามายืนอยู่ข้างหน้าของทหารคนนั้นอย่างลื่นไหล วางเหรียญเงินไว้บนมือของเขาก่อนจะกุมมือนั้นเอาไว้อย่างอ่อนโยน ทหารคนนั้นหน้าแดงไปสักพัก สายตาของเขาจับจ้องไปที่หน้าอกของน็อนซัง
「เธอเป็นแม่ชีงั้นหรอ?」
「ใช่แล้วละค่ะ แต่ในตอนนี้ชั้นได้รับอนุญาติเป็นพิเศษจากทางโบสถ์ให้มาเป็นนักพจญภัยได้หน่ะค่ะ นี่เป็นบัตรนักพจญภัยของชั้นค่ะ」
「เออ อืม ผ่านเข้าไปได้เลย」
「ขอบคุณที่ทำงานหนักเสมอมานะคะ เอาหล่ะ ไปกันเถอะค่ะทุกๆคน」น็อนซังบอกให้พวกเราเดินเข้าไปในเมือง
หลังจากเดินไปซักพัก พวกเราก็เลี้ยวเข้าไปในตรอกด้านหลัง
「คุณพ่อ ไรเครียซัง และมิมิโนะซังก็ด้วย! ที่เลือดขึ้นหน้ากันเมื่อกี้มันอะไรกันคะ?!」
น็อนซังโกรธ ใช่แล้วละ เมื่อกี้ก็คือเลือดขึ้นหน้ากันจริงๆสินะ?
「พวกเราวางแผนกันมาไม่ใช่หรอคะว่าถ้าเรื่องมันบานปลายแล้วพวกเราจะอ้างว่าเขาเป็นทาสของปาร์ตี้พวกเราไม่ใช่หรอคะ?! ถึงอย่างนั้นก็ยังเลือดขึ้นหน้ากันในตอนที่เริ่มผิดแผนกันเนี้ยนะคะ!」
「ขะ-ขอโทษด้วยนะ ตอนแรกมันก็ไปสวยดี ก็เลย…」 ดันเต้ซังขอโทษออกมา
「…ความผิดข้าเอง」ไรเครียซังตอบกลับ
「………ขอโทษค่ะ」
「ถ้าเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นละก็ พวกเราจะต้องสู้กับทหารจากทั้งเมืองเลยนะคะ! แน่นอนว่าต้องมีบางคนรับรู้ถึงความกระหายเลือดนั้นได้แน่เลยค่ะ!」
ผมไม่เห็นจะรู้เลยว่าพวกเขานั้นมีแผนอยู่แล้วถ้าตัวผมถูกทหารหยุดเอาไว้
ดันเต้ซังก้มหัวขอโทษอย่างสุดตัว ไรเครียซังเบือนหน้าหนี และมิมิโนะซังก็ทำหน้าเหมือนกับกำลังจะร้องไห้
「ชะ-ชั้นเกือบจะทำให้เรย์จิคุงตกอยู่ในอันตรายจากการกระทำของชั้นเองซะแล้ว…」
「มิมิโนะซัง ไม่เป็นไรหรอกครับ พวกเราได้เข้ามาในเมืองโดยที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วนี่ครับ! อีกอย่างน็อนซังก็ไม่ได้โกรธเหมือนกันใช่ไหมละครับ?」
「ใช่แล้วหล่ะ… ต้องขอโทษด้วยค่ะ ชั้นแค่รู้สึกผิดหวังนิดหน่อยเท่านั้นเองค่ะ」
น็อนซังก้มหัวขอโทษ ท่าทางนั้นเหมือนกับดันเต้ซังเปี้ยบเลย สมแล้วที่เป็นพ่อลูกกัน
ผม… นี้ช่างโชคดีจริงๆที่ถูกเก็บมาโดยปาร์ตี้ที่ดีๆแบบนี้
ในขณะที่ผมกำลังรู้สึกโชคดีอยู่นั้น ผมไม่คิดว่าจะมีโชคดีที่มากกว่านี้กำลังรอผมอยู่ – โรงแรมที่พวกเรากำลังจะได้เข้าพักนั้นมีบ่อน้ำพุร้อนด้วย