บทที่ 157 กระต่ายอ้วนอีกตัวหนึ่ง

บทที่ 157 กระต่ายอ้วนอีกตัวหนึ่ง
โดย

บทที่ 157 กระต่ายอ้วนอีกตัวหนึ่ง

หลังผ่านเทศกาลไหว้พระจันทร์ในเดือนสิงหาคมไปแล้ว อากาศก็เย็นลงเล็กน้อย

หลินชิงเหอเริ่มนำผ้านวมเมื่อปีที่แล้วกับเสื้อผ้าฝ้ายออกมาซักล้าง ในตอนนี้แสงแดดยังคงแผดจ้าในตอนกลางวันอีกทั้งยังมีลมแรง เหมาะกับการตากผ้ายิ่งนัก

เธอใช้เวลาซักผ้าค่อนข้างนาน แต่อย่างน้อยก็มีโจวซีมาช่วยมันเลยทำให้เธอซักผ้าได้เร็วขึ้น

“ปีนี้เธอสูงขึ้นเยอะเลยนะ” หลินชิงเหอเอ่ยกับโจวซี

ปีนี้โจวซีตัวสูงชะลูดขึ้น เธอเคยเป็นเด็กขาดสารอาหารมาก่อน แต่ในสามปีที่ผ่านมาสองพี่น้องโตขึ้นและได้แต้มค่าแรงมากขึ้น ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถกินได้อิ่มท้อง แม้สารอาหารที่เธอได้รับจะยังไม่เพียงพอ แต่เธอก็ไม่ใช่ถั่วงอกแคระแกร็นเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว

โจวซียิ้มกริ่ม “อาสะใภ้คะ ภายในปีนี้เมื่อไหร่อาจะเข้าอำเภออีกเหรอคะ?”

“เธออยากซื้ออะไรงั้นเหรอ?” หลินชิงเหอถาม

“หนูอยากซื้อพุทราจีนสักหน่อยน่ะค่ะ” โจวซียิ้มอย่างถ่อมตน

“งั้นคราวหน้าอาจะซื้อมาให้เธอแล้วกันนะ ผู้หญิงน่ะจะดูดีขึ้นถ้าได้กินพุทราจีนเพิ่ม วันหนึ่งเธอไม่ต้องกินเยอะมากหรอก แค่วันละสามหรือห้าลูกก็พอแล้ว” หลินชิงเหอตอบ

โจวซียิ้มไม่เห็นฟันและเอ่ยตอบ “หนูจะเชื่อฟังอาค่ะ”

“เธอยังอยากได้อะไรอีกไหม?” หลินชิงเหอถาม

“เสื้อผ้าของพี่ชายตัวเล็กเกินไปแล้วค่ะ หนูเลยอยากตัดชุดให้เขาใหม่ เมื่อถึงตอนนั้นคุณอาช่วยเก็บเศษผ้ามาให้หนูได้ไหมคะ?” โจวซีเอ่ย

ทุกปีจะมีการออกคูปอง ตอนที่หลินชิงเหอให้ฝ้ายไปกับโจวซีเมื่อคราวที่แล้ว โจวต้งก็ได้ให้คูปองทั้งหมดไว้กับเธอ

ปีนี้ก็มีการแจกคูปองเหมือนกัน ทั้งพี่ชายน้องสาวต่างนำคูปองที่ได้มารวมกัน พวกเขาจึงสามารถซื้อเศษผ้าเพื่อตัดกางเกงให้กับโจวต้งได้

“ได้จ้ะ” หลินชิงเหอรับปาก

ท่านแม่โจวก็เข้ามาช่วยถอดปลอกผ้านวมและซักล้างผ้านวมเหมือนกัน พอมีพวกหล่อนช่วยกันซักสามคน งานก็เสร็จเร็วขึ้น

หลังถอดชิ้นส่วนออกมาซักแล้ว พวกหล่อนก็เย็บมันกลับเข้าไปด้วยกัน เมื่อการเก็บตัวฤดูหนาวในปีนี้มาถึง พวกหล่อนจะได้หยิบมาสวมใส่หรือห่มได้

เมื่อนับตามปฏิทินจันทรคติมันจะตรงกับวันที่สิบห้าสิงหาคม แต่ถ้านับตามปฏิทินสุริยคติมันจะตรงกับกลางเดือนกันยายนพอดี เมื่อถึงสิ้นเดือนนี้ แตรสัญญาณการเก็บเกี่ยวประจำฤดูใบไม้ร่วงจะดังขึ้น

ดังนั้นหลังจากปลอกผ้านวมถูกถอดออกมาซักแล้ว หลินชิงเหอก็เริ่มขยันทำอาหารที่บ้าน

ปลาหนีชิวกับปลาไหลเป็นอาหารสองจานที่ขึ้นโต๊ะบ่อย และหลินชิงเหอก็ได้แลกเปลี่ยนซื้อขายพวกมันมาจากเด็กหนุ่มบางคนในหมู่บ้าน

ถ้าพวกเขาจับปลาหนีชิวหรือปลาไหลได้แต่กินพวกมันไม่หมด พวกเขาก็สามารถนำมาให้และถามความต้องการของเธอว่ารับหรือไม่

ในสายตาของผู้ใหญ่ หลินชิงเหอคือหญิงไม่ดีที่ไม่รู้จักการใช้ชีวิต แต่ในขณะที่เด็ก ๆ หรือแม้แต่เด็กวัยแรกรุ่นมีใครบ้างที่ไม่อิจฉาเจ้าใหญ่กับน้อง ๆ ที่มีแม่อย่างหลินชิงเหอ?

ดังนั้นในสายตาของเด็ก ๆ ชื่อเสียงของหลินชิงเหอนับว่าดีเลิศ

พวกเขาย่อมเชื่อฟังในสิ่งที่เธอพูด

ทันทีที่จับปลาไหลได้ พวกเขาก็จะนำมาให้ จากนั้นหลินชิงเหอก็จะให้เงิน แม้เธอจะให้มาแค่หนึ่งหรือสองเหมา แต่มันก็ไม่อาจซ่อนความปิติยินดีของเด็กแรกรุ่นเหล่านี้ได้

พวกเขารู้สึกว่าแม่ของเจ้าใหญ่ช่างรักษาสัญญาจริง ๆ เมื่อเธอบอกว่าจะขอแลกกับเงิน นางก็ทำตามที่พูด

เป็นเวลาครึ่งเดือนที่หลินชิงเหอสรรค์สร้างปรุงอาหารในทุกวัน เธอต้มแกงจืด ตุ๋นและเคี่ยวผักดอง ทำให้ใบหน้าของโจวชิงไป๋มีเลือดฝาดเพราะได้รับการบำรุงทุกอย่าง

ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น ท่านพ่อโจวก็เหมือนกัน ที่ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าเขาดูแข็งแรงมีกำลังวังชาขนาดไหน

แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ทั้งครอบครัวก็ยังสะสมปลาหนีชิวกับปลาไหลนาเป็นจำนวนมาก ซึ่งหลินชิงเหอเป็นคนเลี้ยงพวกมัน

เมื่อถึงสิ้นเดือนกันยายน สัญญาณแตรบ่งบอกถึงการเก็บเกี่ยวประจำฤดูใบไม้ร่วงก็ดังขึ้น

หลินชิงเหอมีประสบการณ์มากพอตัวแล้ว เมื่อช่วงเวลานี้เริ่มต้น พวกเขาก็จะอยู่ในการเก็บเกี่ยวประจำฤดูใบไม้ร่วงจนถึงเดือนพฤศจิกายน นับว่าเป็นฤดูการเก็บเกี่ยวที่ยาวนานมาก

หลินชิงเหอจึงสั่งซื้อนมเพิ่ม

นมอีกขวดหนึ่งถูกเพิ่มมาจากจำนวนที่สั่งซื้อทุกวัน

ท่านแม่โจวถึงกับลังเลที่จะบอกว่ามันไม่จำเป็นต้องซื้อมากขนาดนั้นหรอก

แต่หลินชิงเหอก็พูดว่า “เมื่อเวลานั้นมาถึง ฉันจะขนธัญพืชอีกสองถุงกลับมาบ้านนะคะ แล้วจะส่งไปให้คุณป้าคนนั้นเพื่อแลกเป็นเงินกลับมา”

ถึงเธอจะไม่ได้อธิบายแบบเปิดเผย ท่านแม่โจวก็รู้เรื่องนี้ดี

ขายอาหาร

ความจริงก็คือท่านแม่โจวได้คุยเรื่องนี้เป็นการส่วนตัวกับโจวชิงไป๋ว่านางกลัวจะมีปัญหา แต่เห็นชัดว่าโจวชิงไป๋คงพูดให้นางวางใจได้แล้ว ท่านแม่โจวถึงไม่พูดอะไรกับหลินชิงเหอ

นับตั้งแต่ที่นมสามขวดเพิ่มมาเป็นสี่ขวดต่อวัน ทุกอย่างก็ยังคงเหมือนเมื่อก่อน แตกต่างแค่ตรงนมขวดที่เพิ่มเข้ามาได้กลายเป็นหมั่นโถวนมโดยฝีมือของหลินชิงเหอ

ทั้งหมดนี้ก็เพื่อท่านพ่อโจวกับโจวชิงไป๋

หมั่นโถวนมตั้งเคียงกับผัดหมูกับกะหล่ำปลีหรือผัดไข่กับแตงกวาจานใหญ่ มันให้คุณค่าทางอาหารอย่างมากและยังอิ่มท้องด้วย

อาหารอร่อย ๆ ถูกส่งมาให้ในตอนกลางวันเช่นกัน หลังง่วนอยู่กับการทำงานมาทั้งวัน พวกเขาก็ต้องมีความสุขกันบ้างถูกไหม?

แม้อาหารที่หลินชิงเหอทำจะดึงดูดสายตาคนจำนวนมาก แต่เธอก็ไม่สนใจ

หากมีคนบอกให้เธอทำแป้งจี่คู่กับผักดองหรือผักหั่นชิ้นให้กับผู้ชายของเธออย่างที่พี่สะใภ้อีกสามคนทำ หลินชิงเหอก็ทำไม่ได้จริง ๆ

งานนี้นับว่าหนักหนาสาหัสนัก ถ้าเธอไม่ทำอาหารดี ๆ ก็เท่ากับเธอกำลังรีดเลือดจากชายของเธอเพื่อแลกกับการประหยัดเงินน้อยนิดนั่น

หลินชิงเหอไม่อาจควบคุมการกระทำของคนอื่นได้ แต่เธอจะไม่มีวันทำแบบนั้น

ในวันธรรมดา เธอมักจะเกลี้ยกล่อมโจวชิงไป๋ให้ขี้เกียจบ้างเป็นบางครั้งและอย่าทำงานหนักเกินไป แต่ผู้ชายของเธอก็ไม่ใช่คนขี้เกียจคนหนึ่ง

แม้หลินชิงเหอจะดุเขาบ้างในเรื่องที่ไม่ยืดหยุ่น แต่เธอก็เทิดทูนเขาไว้ในใจ

ในเมื่อช่วยอะไรไม่ได้ หลินชิงเหอจึงสาบานว่าจะทำอาหารคุณภาพดีทั้งสามมื้อต่อหนึ่งวันให้เขากิน

และต่อให้มันเป็นอาหารชั้นเลิศในสายตาของคนอื่น แต่ในความคิดของหลินชิงเหอแล้วมันเป็นอาหารที่ค่อนข้างธรรมดา

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะสวรรค์เห็นใจหรือไม่ แต่ในเย็นวันนั้นเองโจวชิงไป๋กับท่านพ่อโจวก็ได้กลับมาบ้านกับเด็ก ๆ พร้อมกระต่ายตัวหนึ่งในมือ

มันเป็นกระต่ายอ้วนเหมือนกับกระต่ายเมื่อปีที่แล้ว มีน้ำหนักราว 5-6 ชั่ง!

หลินชิงเหอถึงกับตาโต

“แม่ ผมเห็นมันแล้วก็ให้พ่อจับมันมาน่ะครับ!” เจ้าสามเริ่มพูดเอาดีเข้าตัว

“ไม่เลวเลย แม่จะทำอาหารอร่อย ๆ ให้กินนะ ฟังดูดีไหม?” หลินชิงเหอถาม

“ตกลงครับ” เจ้าสามตอบอย่างร่าเริง

ท่านแม่โจวก็ดีใจเหมือนกัน กระต่ายอ้วนแบบนี้ต้องเนื้อเยอะแน่ ๆ

หลินชิงเหอปล่อยให้โจวชิงไป๋เป็นคนจัดการ จากนั้นเธอก็ตุ๋นเนื้อกระต่ายกับมันฝรั่ง

เธอแบ่งเนื้อส่วนหนึ่งใส่จานเล็ก ๆ เก็บไว้เป็นอาหารจานเนื้อในเช้าวันรุ่งขึ้น ส่วนเนื้อที่เหลือก็เป็นอาหารของทั้งครอบครัวในคืนนั้น

ชาวบ้านต่างพากันอิจฉา

แต่ก็ไร้ประโยชน์ที่จะอิจฉา เพราะความสามารถของโจวชิงไป๋นั้นให้ยกย่องอย่างไรก็ไม่พอ เมื่อกระต่ายตัวนั้นกระโดดหนี เขาก็เป็นคนลงมือก่อนที่คนอื่น ๆ จะมีปฏิกิริยาใด ๆ เสียอีก และในที่สุดเขาก็จับกระต่ายตัวนั้นได้ในครั้งเดียว

กระต่ายอ้วนพีแบบนี้ ใครจะรู้บ้างว่ามันกินอะไรเข้าไปมากขนาดไหนถึงตัวใหญ่ได้ขนาดนี้

คนอื่น ๆ ต่างนั่งยอง ๆ อยู่ตรงมุมพร้อมชามข้าว คอยสูดกลิ่นหอมของเนื้อกระต่ายตุ๋นจากบ้านของโจวชิงไป๋ เพื่อที่เขาจะได้กินข้าวลง

ชาวบ้านคนอื่นต่างไม่มีเนื้อกิน การจะได้กินเนื้อนั้นพวกเขาต้องรอให้การเก็บเกี่ยวฤดูใบไม้ร่วงผ่านไปและลงมือปลูกข้าวสาลีฤดูหนาวให้เสร็จก่อน ถึงจะมีการแบ่งเนื้อในครั้งแรก

จากนั้นจะมีการแบ่งเนื้อกันอีกครั้งในวันสิ้นปี

แบ่งเนื้อกันสองครั้งต่อปี เป็นเช่นนี้ในทุกปี

ส่วนเวลาอื่น พวกเขาก็ซื้อเนื้อได้โดยใช้คูปองเนื้อ แต่คูปองเนื้อก็หายากมาก ต้องใช้วิธีการแลกเปลี่ยนเงินกับคนที่มี เพราะคูปองเนื้อไม่มีให้ใช้ในชนบท มีแค่ในเมืองเท่านั้น

แล้วก็เป็นเพราะคนชนบทเคยชินกับการเก็บเงินไปแล้ว พวกเขาจึงไม่ค่อยอยากแลกมันกับคูปองเนื้อนัก

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ตอนนี้บรรยายกระต่ายตุ๋นเสียน่ากินเลยค่ะ ทำเอาผู้แปลอยากลองชิมบ้างเลยทีเดียว แต่เมื่อเห็นหน้าตาน่ารักของมันก็… เฮ้อ…

สมัยนั้นกว่าจะได้เนื้อมากินนี่ลำบากมากเลยนะคะ บ้านแม่คือโชคดีที่สุดแล้ว

ไหหม่า (海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset