[บทที่ 2 ค่ายกลเก้าชั้นฟ้า] ข้าต้องการไข่มุกเม็ดนั้น
สำนักพิมพ์โรส
[บทที่ 2 ค่ายกลเก้าชั้นฟ้า]
ข้าต้องการไข่มุกเม็ดนั้น
แคว้นอาหนี่ว์ ตั้งอยู่บนชายแดนของซีเป่ย มีผู้ครองแคว้นนามว่าซาต๋า แคว้นอาหนี่ว์ก็เหมือนกับชนเผ่าเร่ร่อนอื่น ๆ ที่ผู้คนในเผ่าล้วนใช้ชีวิตเดินทางพเนจรไปเรื่อย ๆ ถึงจะไม่มีขอบเขตดินแดนที่ชัดเจน แต่พวกเขาก็มีกองกำลังทหารม้าที่มิอาจดูแคลน ตอนที่ฉู่เยวียนเพิ่งจะขึ้นนั่งบัลลังก์ทุกพื้นที่ในม่อเป่ย[1] ต่างก็พร้อมที่จะสร้างปัญหาก่อความไม่สงบขึ้นมาโดยตลอด ประชาชนตามชายแดนล้วนได้รับผลร้ายจากเรื่องนี้ ในเวลานั้นทัพหลักของราชสำนักยังวุ่นวายอยู่กับการปราบโจรญี่ปุ่นในตงหนาน[2] ไม่อาจอยู่สองที่ในเวลาเดียวกันได้ จึงได้แต่ลอบส่งราชทูตไปยังแคว้นอาหนี่ว์เพื่อโน้มน้าวซาต๋าให้นำทัพไปพร้อมกับขุนพลพิทักษ์ประจิม[3] จึงสามารถระงับเหตุจลาจลภายในม่อเป่ยเอาไว้ได้ชั่วคราวจนทุกอย่างสงบเงียบมาได้สองปีแล้ว
ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้อาณาจักรฉู่มองแคว้นอาหนี่ว์เป็นมิตรประเทศมาโดยตลอด ส่วนคนที่ตายอยู่ในตรอกนั้นคือน้องชายร่วมบิดามารดาของซาต๋า นามว่ากู่ลี่ เดิมทีนำทัพมาเพื่อถวายเครื่องบรรณาการ แต่ต่อมาเห็นว่าเมืองหลวงมั่งคั่งงดงาม และเพราะใกล้เทศกาลปีใหม่พอดี จึงรั้งอยู่ต่ออีกระยะหนึ่ง ทั้งยังตั้งใจจะรอให้หิมะในหุบเขาละลายเสียก่อนถึงจะเดินทางกลับซีเป่ย แต่นึกไม่ถึงเลยว่าจะมาจบชีวิตลงที่นี่
เรื่องนี้ใหญ่หลวงนัก ทุกคนจึงไม่กล้าที่จะปล่อยปละละเลย รีบยกร่างไร้วิญญาณนั้นไปยังวังหลวงในทันที
ณ ด้านนอกตำหนักบรรทม ซื่อสี่กงกงที่กำลังพิงประตูสัปหงกอยู่ พลันลืมตาขึ้นทันควันเมื่อได้ยินเสียงว่ามีคนมา ที่แท้ก็เป็นใต้เท้าหลี่แห่งกรมกลาโหม
“กงกง ฝ่าบาทล่ะ” ใต้เท้าหลี่อายุอานามล่วงเจ็ดสิบปีไปแล้ว แค่เดินไม่กี่ก้าวก็หอบแฮก
“เพิ่งจะทรงเข้าบรรทมได้ไม่นาน ที่ใต้เท้ามาเอาป่านนี้คงไม่ใช่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอกนะขอรับ” ซื่อสี่กงกงตื่นตระหนกขึ้นมา
“ไม่ผิด” ใต้เท้าหลี่กล่าวอย่างร้อนรน “เหตุการณ์คับขันไม่อาจมัวมาคำนึงถึงมารยาท ขอกงกงโปรดช่วยรีบไปรายงานแทนเหล่าเฉิน[4] ด้วย”
“อ้ายชิง[5] มีเรื่องอันใด” ซื่อสี่กงกงยังไม่ทันจะได้ตอบคำ ฉู่เยวียนก็เปิดประตูเดินออกมาเสียแล้ว
“ฝ่าบาท” ใต้เท้าหลี่รีบก้าวเข้ามาทันที “เมื่อครู่หัวหน้ากองกำลังรักษาพระองค์มาหากระหม่อม บอกว่าพบศพคนตายในตรอกด้านหลังประตูฝูอวิ๋น เป็นเสี่ยวหวังเยียแห่งแคว้นอาหนี่ว์ถูกแทงเข้าที่หลังจนเสียชีวิตพ่ะย่ะค่ะ”
“กู่ลี่?” ฉู่เยวียนขมวดคิ้ว
“ไม่ผิดแน่พ่ะย่ะค่ะ” ใต้เท้าหลี่ตอบ “กระหม่อมได้สั่งการให้ปิดข่าวเอาไว้แล้ว ตอนนี้นำศพไปไว้ที่กระท่อมร้างข้างอุทยานล่าสัตว์ชั่วคราวพ่ะย่ะค่ะ”
“เราจะไปดูก่อน” ฉู่เยวียนเดินลงบันไดมา ซื่อสี่กงกงรีบไปเอาเสื้อคลุมมาจากในตำหนัก แล้ววิ่งเหยาะ ๆ มาช่วยพาดเสื้อคลุมบนไหล่ให้เขา
กำลังสงบสุขอยู่แท้ ๆ ทำไมถึงเกิดเรื่องขึ้นมาได้กันล่ะเนี่ย
ณ จวนซีหนานหวัง ต้วนไป๋เยว่กำลังชมจันทร์ร่ำสุรา บนโต๊ะหินเบื้องหน้ามีกระบี่ทื่อ ๆ เล่มหนึ่งวางอยู่ สะท้อนแสงสว่างเรืองรอง
เงาร่างปราดเปรียวกระโจนลงมาจากรั้วกำแพง พอเห็นว่ามีคนอยู่ในสวนก็ตกใจจนสะดุ้งโหยงอย่างเห็นได้ชัด
“ไปไหนมาอีก” ต้วนไป๋เยว่วางจอกเหล้าลง
“ดึกดื่นค่ำคืนยังไม่หลับไม่นอน มานั่งตรงนี้อยากจะเจอผีหรือไงกัน” ต้วนเหยาถอนหายใจ “นึกว่าเป็นท่านอาจารย์เสียอีก”
“ท่านอาจารย์ล่วงลับไปเมื่อสามปีก่อน” ต้วนไป๋เยว่เตือนความจำเขา
“มันก็ไม่แน่นี่ อาจจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกก็ได้นะ ไอ้เรื่องยืมศพคืนวิญญาณเทือกนี้ท่านอาจารย์ทำออกบ่อยไป” ต้วนเหยาปลดตะกร้าไม้ไผ่น้อยเจ็ดแปดใบออกจากเอว ข้างในนั้นมีตัวอ่อนหนอนแมลงหลากหลายชนิดพอพวกมันส่งเสียงหึ่ง ๆ ขึ้นมาก็พาให้คนรู้สึกปวดหัว
“โลหิตสามเนตร?” ต้วนไป๋เยว่ถือโอกาสหยิบขึ้นมาตัวหนึ่ง “โชคดีไม่เลวเลยนี่”
“เฮ้ ข้าหาอยู่ครึ่งเดือนเลยนะกว่าจะจับตัวนี้มาได้” ต้วนเหยาเอ่ยอย่างระแวดระวัง “ท่านอยากได้ก็ไปหาเอาเองสิ”
“เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าไม่มีอารมณ์จะแย่งหนอนแมลงมาเลี้ยงพิษกู่[6]กับเจ้าหรอก” ต้วนไป๋เยว่ส่ายหัว “กลับไปเก็บสัมภาระเถอะ”
“ท่านจะส่งข้าไปไหนอีกเนี่ย” ต้วนเหยาเบิกตาโต
“ข้าจะไปเมืองหลวงอาณาจักรฉู่สักหน่อย” ต้วนไป๋เยว่พูด
ต้วนเหยาถอยหลังไปสองก้าว “ท่านอยากไปก็ไปสิ เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย”
ต้วนไป๋เยว่ตอบ “เพราะเจ้ามีประโยชน์”
ต้วนเหยา “…”
“ขืนข้าทิ้งเจ้าไว้ที่จวนตามลำพัง รอจนข้ากลับมาเมื่อไหร่ น่ากลัวว่ากระทั่งจวนก็คงไม่เหลือแล้ว” ต้วนไป๋เยว่กล่าว “ถ้าไม่ถูกเจ้าพัง ก็คงถูกศัตรูของเจ้าทำพังนั่นแหละ”
ต้วนเหยาหงุดหงิด กระแทกก้นลงนั่งบนม้าหิน “ท่านก็ดีแต่เอารัดเอาเปรียบข้า”
“จะเป็นการเอารัดเอาเปรียบไปได้อย่างไร” ต้วนไป๋เยว่กล่าว “ข้าเคยบอกเจ้าแต่แรกแล้วว่าให้ควบคุมอารมณ์เสียบ้าง ไอ้เรื่องยั่วโมโหจนพวกอาจารย์พากันเตลิดหนีไปเนี่ยก็ให้มันน้อย ๆ หน่อย คนอื่นอายุสิบสี่ก็ไปสอบจ้วงหยวน[7] กันแล้วแท้ ๆ ถึงเจ้าจะแต่งโคลงฉันท์กาพย์กลอนไม่ได้ก็ช่างมันเถอะ แต่กระทั่งการพูดการจาก็ยังไม่เป็นแบบนี้ คิดแล้วมันเจ็บปวดใจเหลือเกิน”
ต้วนเหยายกมือทั้งสองขึ้นปิดหู ยังคงทำหูทวนลมเช่นเคย ทว่าสายตากลับไปสะดุดกับกระบี่ทื่อ ๆ บนโต๊ะเข้าให้ “นี่มันอะไรน่ะ”
“ไม่รู้สิ” ต้วนไป๋เยว่ส่ายหัว “เพิ่งจะขุดขึ้นมาได้”
“นี่ท่านไปขุดสุสานฉกสมบัติมาเหรอ” ต้วนเหยาถามอย่างสงสัย
“เป็นของที่ท่านอาจารย์ทิ้งไว้ให้ข้าก่อนที่ท่านจะสิ้นใจ” ต้วนไป๋เยว่ตอบ “ท่านย้ำนักย้ำหนาว่าจะต้องขุดขึ้นมาคืนนี้”
“สงสัยท่านน่าจะถูกหลอกอีกแล้วละ” ต้วนเหยายกตะกร้าไม้ไผ่บนโต๊ะขึ้นมา แล้วเหลือบมองกระบี่อย่างคร้านที่จะมองทีหนึ่ง
ต้วนไป๋เยว่กล่าวต่อ “ข้าก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน”
ตอนอายุแปดขวบท่านอาจารย์พาตนขึ้นเขา แล้วก็เก็บดอกไม้พิษอะไรก็ไม่รู้มามั่ว ๆ กำหนึ่ง บอกว่าถ้าปักไว้กลางห้องจะช่วยเพิ่มพละกำลังมหาศาล สุดท้ายกลายเป็นว่าวันต่อมาพอเขามองใครก็เห็นเป็นภาพซ้อนไปหมด เวลาเดินก็เฉไปเฉมาจนแทบจะตกน้ำตกท่า ตั้งแต่นั้นมาต่อให้เป็นตัวโง่งมก็ยังต้องเข็ดหลาบ เขาจึงไม่เคยรับของขวัญอะไรจากท่านอาจารย์อีกสิ่งนี้นับเป็นของขวัญชิ้นที่สอง
ต้วนเหยาเดินหาวหวอดกลับไปนอน
ต้วนไป๋เยว่แหงนหน้าดื่มเหล้าจอกสุดท้าย แล้วก็หยิบกระบี่ทื่อ ๆเล่มนั้นกลับห้องนอนไป
สามวันถัดมา ยามจื่อ ต้วนเหยามองม้าสองตัวที่อยู่เบื้องหน้าก่อนถาม “มีแค่ท่านกับข้าสองคน นี่จะแอบลอบออกจากจวนหวังกันไปเงียบ ๆ แบบนี้เหรอ”
ต้วนไป๋เยว่พยักหน้า “แน่นอนสิ หรืออยากจะให้ตีฆ้องร้องป่าวแซ่ซ้องสรรเสริญสักรอบก่อน”
“ข้านึกว่าจักรพรรดิฉู่รู้เรื่องนี้เสียอีก” ต้วนเหยากล่าวอ้อม ๆ
ต้วนไป๋เยว่ส่ายหัว “นอกจากเจ้าแล้ว จะให้มีคนที่สามรู้เรื่องนี้ไม่ได้”
ต้วนเหยา “…”
ซีหนานหวังลักลอบเดินทางเข้าอาณาจักรฉู่ นี่มันโทษทัณฑ์ถึงขั้นตัดศีรษะเชียวนะ
ถึงจะรู้ว่าเขาไม่ใส่ใจเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่…อยู่ดี ๆ จะไปอาณาจักรฉู่ทำไมกัน
“ไป!” ต้วนไป๋เยว่สะบัดแส้ฟาดม้า ควบตะบึงไปทางทิศเหนือ
อาชาสีนิลฝีเท้าว่องไวดั่งสายลม ย่ำตะกุยบึ่งไปใต้แสงดาว
น้ำค้างที่สะสมอยู่บนหลังคาบ้านเรือนมาทั้งคืน พลันร่วงหล่นลงมาแตกกระเซ็นเย็นซ่าน ณ ผืนดินเบื้องล่าง
ในเมืองหลวง พ่อค้าขายอาหารเช้ากำลังจัดโต๊ะเก้าอี้ไม้อยู่ เจออากาศแบบนี้เห็นทีขายน้ำแกงเนื้อแพะไล่ความหนาวต่อได้อีกไม่กี่วันก็ต้องเปลี่ยนเป็นซาลาเปา โจ๊ก กับขนมต้าปิ่ง[8] แล้ว ในเมื่ออากาศยิ่งมายิ่งอุ่นขึ้นเรื่อย ๆ เช่นนี้
“แกงแพะสิบชามใหญ่ ขนมต้าปิ่งยี่สิบชิ้น” ทหารกองหนึ่งพากันนั่งลงพึ่บพั่บ มองดูแล้วคล้ายกับงานยุ่งมาทั้งคืน
“ได้สิขอรับ ท่านทั้งหลายรอสักครู่” เถ้าแก่คล่องแคล่วว่องไวยิ่งไม่นานก็ยกแกงแพะและขนมต้าปิ่งขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าสนิทสนมกับทุกคนเป็นอย่างดี เขายิ้มพลางกล่าวถาม “ช่วงนี้ทำไมดูทุกคนงานยุ่งกันนัก เช้าวานนี้หัวหน้าจางก็พาคนที่ออกลาดตระเวนมากินข้าวเช้าที่ร้านข้าเหมือนกัน”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรหรอก ก็แค่ลาดตระเวนประจำวันเท่านั้นเอง” หัวหน้ากองทหารตอบส่ง ๆ จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาซดน้ำแกงอึกใหญ่ก่อนจะกัดขนมกินคำโต เถ้าแก่เห็นเช่นนั้นแล้วก็รู้ตัวว่าควรจะเงียบไว้ไม่ได้ชวนคุยอีก ทว่าในใจกลับเริ่มลังเล แลดูท่าทีเช่นนี้ไม่ใช่ว่ามีเรื่องอะไรเกิดขึ้นจริง ๆ หรอกนะ
ในวังหลวง ฉู่เยวียนดื่มโอสถแล้วก็ยังคงปวดหัวแทบจะแตกเหมือนเดิม
หลายวันมานี้แม้จะบอกว่ามีคนสืบเสาะทั้งในที่ลับและที่แจ้งมาตลอดแต่กลับไม่ได้เบาะแสอะไรที่มีประโยชน์มาเลยสักนิด วันนั้นหลังจากกู่ลี่กินเป็ดย่างที่หอถงฝูเสร็จแล้วก็แวะไปฟังเพลงที่โรงน้ำชาต่ออีกพักหนึ่งพึงพอใจแล้วจึงกลับไป อีกทั้งยังถึงกับตกเงินรางวัลให้สตรีดีดฉิน[9] ไปไม่น้อย ดูแล้วไม่มีความผิดปกติอะไร ทุกคนนึกว่าเขากลับจวนไปเพียงลำพัง คาดไม่ถึงเลยว่าผ่านไปไม่กี่ชั่วยามก็ถูกคนเคาะเกราะบอกโมงยามพบเป็นศพอยู่กลางตรอกเสียแล้ว
“ฝ่าบาท” ขุนนางผู้รับผิดชอบสืบคดีนี้มีนามว่าไช่จิ้น “ตอนนี้มีข่าวลือแพร่สะพัดออกมาในเมืองหลวงแล้ว กระหม่อมเห็นว่าควรรีบแจ้งเรื่องนี้ให้เจ้าแคว้นอาหนี่ว์ทราบโดยไวจะดีกว่า ถ่วงเวลาต่อไปเกรงว่าจะไม่มีประโยชน์พ่ะย่ะค่ะ”
ฉู่เยวียนนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร คิ้วขมวดมุ่นไม่คลายอยู่นานสองนาน
สองปีที่ผ่านมาแม้จะกล่าวว่าชายแดนซีเป่ยดูคล้ายจะสงบ ทว่ารากเหง้าของความขัดแย้งกลับยังไม่ถูกขจัดไป เหตุผลที่แต่ละฝ่ายยังไม่สั่งเคลื่อนทัพนั้น หนึ่งเพราะกลัวกำลังทหารของราชสำนัก สองเพราะมีแคว้นอาหนี่ว์คอยช่วยเหลืออยู่ ตอนนี้กู่ลี่มาถูกฆ่าตายในเมืองหลวงอาณาจักรฉู่ซาต๋าเองยิ่งมีนิสัยป่าเถื่อนมุทะลุวู่วามอยู่ด้วย ถ้าหากถูกคนยุแยงขึ้นมาละก็กลัวว่าจะกลายเป็นปัญหาลุกลามไม่จบไม่สิ้น
“ฝ่าบาท” พอเห็นว่าเขาไม่เอ่ยอะไรเลย ไช่จิ้นก็ร้องเรียกขึ้นมาเบา ๆอีกครั้ง
“เราจะเขียนจดหมายขึ้นมาฉบับหนึ่ง วันมะรืนให้คนนำไปส่งที่แคว้นอาหนี่ว์” หลังจากไตร่ตรองดูแล้ว ฉู่เยวียนก็ส่งเสียงออกมาในที่สุด พลันถามต่อ “เชียนฟานเองก็น่าจะกลับมาได้แล้วใช่ไหม”
“ทูลฝ่าบาท เจ็ดวันให้หลังแม่ทัพเสิ่นก็น่าจะมาถึงเมืองหลวง” ไช่จิ้นตอบ “หากระหว่างทางลงแส้เร่งม้า ห้าวันก็ถึงพ่ะย่ะค่ะ”
ฉู่เยวียนพยักหน้า โบกมือสั่งให้เขาออกไปได้
เขตแดนอาณาจักรฉู่กว้างใหญ่นัก ยิ่งเลยขึ้นไปทางเหนือก็ยิ่งหนาวเย็นตอนที่ออกจากซีหนานต้วนเหยายังสวมเสื้อผ้าชั้นเดียว ไม่กี่วันต่อมาก็เปลี่ยนมาสวมเสื้อคลุมหนา ๆ สองชั้น กระทั่งตอนกินข้าวเย็นก็ยังไม่ยอมอยู่ห่างกระถางไฟ นึกแค่อยากจะซุกตัวอยู่ในผ้าห่มไม่ต้องออกมาอีก แต่ก็ถูกต้วนไป๋เยว่ลากออกมาจากโรงเตี๊ยมจนได้
“จะไปไหนอีก” ต้วนเหยาถาม
“ไปเยี่ยมเยือน” ต้วนไป๋เยว่ตอบ
“ไปปล้นหรือเปล่า” ต้วนเหยาพูดแทงใจดำเขา
ต้วนไป๋เยว่พาเขาขึ้นไปบนหลังคาบ้านหลังหนึ่งอย่างมั่นคง
ต้วนเหยาหาวหวอดไม่หยุด
“ช่วยข้าไปเอาของสิ่งหนึ่งมาที” ต้วนไป๋เยว่กล่าว
“ไปฉกก็บอกว่าไปฉกเถอะน่า ยังจะเรียกว่าไปเอาอีก” ต้วนเหยาทำปากยื่น “ของอะไร”
“เห็นเจดีย์ที่อยู่ข้างหน้าโน่นไหม” ต้วนไป๋เยว่เอ่ย “บนยอดมีห้องลับอยู่ ข้าต้องการไข่มุกเม็ดนั้น”
“มาคุยกันให้เรียบร้อยก่อน ขโมยแค่อันนี้อันเดียวนะ อีกครึ่งคืนที่เหลือข้าอยากนอน” ต้วนเหยาปัดฝุ่นบนเสื้อผ้า
ต้วนไป๋เยว่พยักหน้า
ต้วนเหยาลุกขึ้นยืนและขยับข้อมือเล็กน้อย ทันใดนั้นก็หายวับไปในความมืดยามราตรี
ต้วนไป๋เยว่ลูบคาง แล้วลอบตามเขาไปอย่างเงียบเชียบ
องค์เจดีย์เก่ามาก รอบด้านยังผุพังอีก พอเข้าไปต้วนเหยาก็ทำหน้ารังเกียจเสียแล้ว กว่าที่จะผ่านภยันตรายนานัปการของค่ายกลและคว้าเอาไข่มุกออกมาได้ทั้งหัวก็เขรอะไปด้วยฝุ่น แทบจะก่นด่าโคตรเหง้าศักราชตระกูลต้วนอยู่รอมร่อ
“ดีมาก” พอกลับมา ต้วนไป๋เยว่ก็ยังรอเขาอยู่ที่เดิม
“เอาไข่มุกห่วยแตกของท่านไป” ต้วนเหยาทำท่าคล้ายกับกำลังจะทิ้งแมลงสาบ “สกปรกเป็นบ้าเลย”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่านี่คืออะไร” ต้วนไป๋เยว่ยกกล่องในมือขึ้นโบก
“ข้าจะไปรู้ได้ยังไง แล้วก็ไม่อยากจะรู้ด้วย” ต้วนเหยาดึงชายเสื้อขึ้นมาเช็ดมือ “ไปเถอะ กลับกัน”
“เจดีย์องค์นั้นคือค่ายกลเก้าชั้นฟ้า” ต้วนไป๋เยว่กล่าวต่อ
“ทำไมข้าจะต้องสนด้วยว่ามันเก้าหรือว่า…ค่ายกลเก้าชั้นฟ้า?” ต้วน-เหยาตาเบิกโพลง “เจดีย์จักรกล?”
ต้วนไป๋เยว่พยักหน้า
“ค่ายกลเก้าชั้นฟ้าที่มีอาวุธลับสังหารคนซ่อนอยู่ไปทั่ว? คือเจดีย์ผุ ๆองค์นี้น่ะเหรอ” ต้วนเหยาย้ำอีกรอบ “ไข่มุกเม็ดนี้ก็คือดาราอัคนีที่เล่าลือกันในยุทธภพ?”
ต้วนไป๋เยว่ยังคงพยักหน้าตามเดิม
ต้วนเหยาถอนหายใจหนัก ๆ ทีหนึ่ง จากนั้นก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ“แล้วท่านก็ให้ข้าเข้าไปเนี่ยนะ”
มีจอมยุทธ์ตั้งกี่คนที่ต้องจบชีวิตอยู่ในนั้น สวมเกราะสวมหมวกเหล็กก็ยังโดนแทงทะลุทะลวง มิน่าเล่าเมื่อครู่ตอนที่ตนเข้าไป ทั้งห้องถึงได้มีแต่กระดูกและหัวกะโหลกมนุษย์เต็มไปหมด
นี่ยังจะไว้ใจกันได้อยู่ไหมเนี่ย
________________________________________
[1] เป็นดินแดนศูนย์กลางของชนเผ่ามองโกล เติร์ก และซยงหนูในยุคโบราณ ปัจจุบันคือพื้นที่ราบสูงในมองโกเลีย ทางใต้จรดทะเลทรายโกบี ทางตะวันออกติดลุ่มน้ำเค่อหลู่หลุน ทางตะวันตกคือเทือกเขาคันไก (หังอ้ายซาน) และเทือกเขาอัลไต (อาเอ่อร์ไท่ซาน)
[2] ดินแดนทางตะวันออกเฉียงใต้ของจีน ปัจจุบันประกอบไปด้วยมณฑลกว่างตง (กวางตุ้ง) เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง ฝูเจี้ยน เจ้อเจียง ไต้หวัน ฮ่องกง และมาเก๊า
[3] ขุนพลพิทักษ์ชายแดนทิศตะวันตก เป็นหนึ่งในสี่ขุนพลผู้พิทักษ์ชายแดนทั้งสี่
[4] ความหมายคือ “ขุนนางเฒ่า” เป็นคำเรียกแทนตัวของขุนนางสูงอายุ
[5] คำเรียกขานที่จักรพรรดิทรงใช้เรียกขุนนางเพื่อแสดงความโปรดปราน หมายถึง “ขุนนางที่รัก”
[6] “กู่” หมายถึง สัตว์พิษที่ผ่านพิธีกรรมของชาวเผ่าเหมียว โดยการนำหนอนแมลง สัตว์เลื้อยคลานต่าง ๆ มาใส่โหลหรือไหแล้วปล่อยให้มันกัดกินกันเอง ตัวที่เหลือรอดมาได้ถือว่าเป็นตัวที่มีพิษร้ายแรงที่สุด ซึ่งจะนำมาใช้วางพิษสังหารคนหรือนำมาใช้ถอนพิษ
[7] สำเนียงแต้จิ๋วอ่านว่า “จอหงวน” คือตำแหน่งบัณฑิตที่สอบเข้ารับราชการได้เป็นอันดับหนึ่งของประเทศ การสอบจ้วงหยวนจึงหมายถึงการสอบคัดเลือกบัณฑิตเพื่อเข้ารับราชการ
[8] ขนมแผ่นแป้งทอด บางครั้งอาจใส่ไข่หรือผักต่าง ๆ ลงไป กินคู่กับอาหารประเภทเนื้อต่าง ๆ
[9] “กู่ฉิน” คือ พิณโบราณชนิดหนึ่ง มีเจ็ดสาย