บทที่ 201 แสดงความกตัญญู

บทที่ 201 แสดงความกตัญญู
โดย

บทที่ 201 แสดงความกตัญญู

“ทำไมจู่ ๆ​ คุณป้าหวังถึงเอาไข่ต้มมาให้พี่ใหญ่ของลูก ๆ​ ล่ะ?” ช่วงนี้หลินชิงเหอยุ่งมาก​ การเก็บเกี่ยวประจำฤดูใบไม้ร่วงได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว​ ทำให้เธอง่วนอยู่กับการทำอาหารดี ๆ​ และตุ๋นแกงสารพัดชนิด​ จึงไม่รู้ว่าคนในหมู่บ้านเล่าลือกันว่าอย่างไร

“คนในหมู่บ้านพูดกันว่าพี่ใหญ่มีแววจะได้เข้ามหาวิทยาลัยคนงาน​ ชาวนา​ และทหาร​ พวกเขาทุกคนเลยหวังให้พี่ใหญ่เป็นเขยของพวกเขาน่ะครับ” เจ้ารองตอบ

เจ้าใหญ่ออกมาจากห้องพอดี​ ใบหน้าของเขามีสีหน้าจนใจเล็กน้อย

หลินชิงเหอได้ฟังก็หัวเราะและเอ่ยตอบ​ “สรุปว่าเป็นเรื่องนี้เองสินะ”

จากนั้นเธอก็ให้เจ้าใหญ่ส่งไข่ต้มเหล่านั้นกลับไปให้คุณป้าหวัง​ พร้อมกับข้อความว่า​ ‘ขอบคุณสำหรับความกรุณาของคุณ​นะคะ​ แต่ที่บ้านของเรามีไข่อยู่แล้ว​ และตอนนี้ยังเป็นช่วงเก็บเกี่ยวประจำฤดูใบไม้ร่วงอีกด้วย​ ดังนั้นแล้วเก็บพวกมันไว้ให้คนในครอบครัวของคุณเถอะค่ะ’

ไม่ใช่แค่คุณป้าหวัง​ แต่คนอื่น ๆ​ ก็ส่งของมาให้ด้วย​ หลินชิงเหอทำได้เพียงปฏิเสธของทั้งหมด​ หากเธอรับแต่ของของคนบางคนไว้และไม่ได้รับหมดทุกคน​ มันก็จะทำให้คนอื่น ๆ​ ไม่พอใจ​ หากเธอไม่ได้รับของของใครไว้เลย​ มันคงไม่เกิดเรื่องนั้นขึ้นเพราะทุกคนได้รับการปฏิบัติแบบเดียวกันทั้งหมด

หลินชิงเหออดไม่ได้ที่จะระเบิดหัวเราะเมื่อเธอบอกกับท่านแม่โจวเกี่ยวกับเรื่องนี้

ท่านแม่โจวไม่รู้สึกประหลาดใจขณะเอ่ยขึ้น​ “คุณป้าไฉ่เองก็เหมือนกัน​ หล่อนเอาแต่ถามฉันว่าเจ้าใหญ่โตขึ้นไปแล้วจะเป็นคนแบบไหน?”

แม้ไฉ่ปาเม่ยจะเป็นคนเดียวที่ได้แต่งงานในปีนี้​ แต่คุณป้าไฉ่เองก็ยังมีหลาน ๆ​ จากลูกคนแรกของนางที่มีอายุมากกว่าเจ้าใหญ่​ ซึ่งบรรดาหลาน ๆ​ เหล่านั้นของนางก็มีเด็กสาวหลายคนที่มีอายุเหมาะสมพอดีอยู่

“แล้วคุณแม่ตอบกลับไปว่ายังไงคะ?” หลินชิงเหอถาม

“ฉันบอกไปว่าเธอเป็นคนที่มีสิทธิ์ตัดสินชีวิตคู่ของเจ้าใหญ่​ ฉันไม่สามารถเข้าไปยุ่งได้” ท่านแม่โจวบอก

พูดถึงตรงนี้แล้วท่านแม่โจวก็รู้สึกอยากหัวเราะ​ ก่อนหน้านี้นางเอาแต่กังวลว่าเด็กชายทั้งสามคนจะได้แต่งงานไหม​ แต่ตอนนี้มันกลายเป็นที่รับรู้ทั่วหมู่บ้านแล้วว่าเจ้าใหญ่มีแววจะได้เข้ามหาวิทยาลัย​ เจ้าใหญ่จึงกลายเป็นคนที่มีสิทธิ์เลือกสาว ๆ​ ได้ทั้งหมู่บ้านเลยทีเดียว

หลินชิงเหอไม่ได้เอ่ยอะไร

ในความคิดของคนยุคนี้​ สิ่งที่เรียกว่ามหาวิทยาลัยคือมหาวิทยาลัยคนงาน​ ชาวนา​ และทหาร

คนที่จะเข้ามหาวิทยาลัยทำเพียงแค่ได้รับการแนะนำจากคนอื่นก็เข้าได้แล้ว​ ซึ่งคุณค่าของมันนับว่าธรรมดา​ ไม่ดีเท่ากับการสอบแข่งขันเข้ามหาวิทยาลัยได้หรอก​

แต่ถึงอย่างนั้น​ พลังของคำสองคำอย่าง​ นักศึกษามหาวิทยาลัย​ ก็มีพลังท่วมท้น​ เป็นคำที่กระแทกใจคนฟังอย่างมากทีเดียว

ในการได้รับคำแนะนำฝากเข้ามหาวิทยาลัยคนงาน​ ชาวนา​ และทหาร​ คน ๆ​ นั้นจะต้องมีประวัติขาวสะอาด​ ก่อนหน้านี้หลินชิงเหอไม่ได้กังวลมากนัก​ว่าชื่อเสียงการเป็นหญิงขี้เกียจสันหลังยาวและฟุ่มเฟือยจะกระทบกับเจ้าใหญ่​ อย่าว่าแต่เรื่องนี้เลย​ เธอได้ชำระตัวเองให้ขาวสะอาดจนสำเร็จแล้ว

หากเจ้าใหญ่มีความสามารถมากพอ​ ก็ไม่มีปัญหาอะไร

ความสนใจในตัวเจ้าใหญ่ยังคงอยู่ในหมู่บ้าน​ แต่ไม่กี่วันก่อน​ การเก็บเกี่ยวประจำฤดูใบไม้ร่วงก็เริ่มวุ่นวายขึ้นมา​ ทุกคนจึงไม่มีเวลาสนใจกับเรื่องแรกมากนัก

สองวันในช่วงการเก็บเกี่ยวประจำฤดูใบไม้ร่วง​ โจวชิงไป๋ผู้เป็นพ่อก็จับกระต่ายอ้วนได้อีกตัวหนึ่ง

เรื่องนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกอิจฉา

ไม่แปลกใจเลยที่โจวชิงไป๋สามารถทำให้ผู้หญิงอย่างคุณครูหลินลดตัวมาอยู่ด้วยได้​ เขาไม่ใช่ผู้ชายธรรมดาเลย

ไม่ต้องกล่าวถึงฝ่ายผลิตนี้ทั้งหมด​ แม้แต่ในฝ่ายผลิตกลุ่มอื่นก็ไม่มีเหตุการณ์แบบที่เขาจับกระต่ายได้ในทุกครั้งที่มีการเก็บเกี่ยวผลผลิต

แม้แต่ซูเฉิงน้อยยังเข้าร่วมเก็บรวงข้าวสาลีในการเก็บเกี่ยวประจำฤดูใบไม้ร่วงนี้​ ต่อให้สุดท่ายแล้วเขาจะเหน็ดเหนื่อย​เล็กน้อย​ เด็กชายตัวน้อยก็ยังรู้สึกตื่นเต้น

เพราะเด็กทุกคนอยู่ที่นั่นกันหมด​ มันจึงดูคึกคักอย่างมาก

เมื่อคนรุ่นนี้ในภายภาคหน้าย้อนกลับไปมองตัวเองในอดีต​ พวกเขาก็ต้องยอมรับว่าวัยเด็กของพวกเขาช่างขมขื่นไม่น้อย​ แต่ถึงกระนั้นวัยเด็กนั้นก็เป็นวัยเด็กที่แท้จริง

“เนื้อกระต่าย​ เนื้อกระต่าย” ซูเฉิงน้อยดีใจจนแทบขึ้นสวรรค์ชั้นเก้าเมื่อได้ยินว่าคุณลุงสี่ของเขาจับกระต่ายได้ตัวหนึ่ง

“กระต่ายน่ารักจะตาย นายกินมันเข้าไปได้ยังไงน่ะ?” เด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่งกล่าว

“กระต่ายมันขโมยอาหารนะ​ แถมยังขุดโพรงลงไปใต้ดินทำให้เราปลูกพืชไม่ได้​ ถือว่ามันไม่น่ารักเลยล่ะ แต่เนื้อมันตอนเอาไปตุ๋นนี่อร่อยมากเลยนะ” เจ้าสามชิงพูดขึ้นมา​ เพราะซูเฉิงน้อยยังเด็กเกินไปจนไม่สามารถตอบคำถามซับซ้อนแบบนั้นได้

เมื่อเจ้าสามตอบดังนี้​ ซูเฉิงน้อยก็ผงกหัวหงึก ๆ​ “ใช่​ ตุ๋นมัน!”

ต่อให้เขายังเล็กอยู่​ เด็กชายก็ยังจำได้ราง ๆ​ ว่าเนื้อกระต่ายตุ๋นมันอร่อยมาก!

เด็กหญิงตัวน้อยเริ่มอยากกินขึ้นมาบ้างแล้วเมื่อได้ยินคำว่าเนื้อกระต่ายตุ๋น​ เธอเลยกระซิบถาม​ “นายเอามาให้ฉันชิมหน่อยได้ไหมจ๊ะ​ ฉันยังไม่เคยกินเลย”

“ได้สิ​ แต่ฉันให้เธอชิมได้แค่ชิ้นเดียวเท่านั้นนะ​ ไม่ให้เพิ่มแล้ว” เจ้าสามบอก

“เจ้าสาม​ นายใจดีจังเลย” เด็กหญิงน้อยคนนั้นมองเขาอย่างดีใจ

เจ้าสามโบกมือเป็นเชิงว่าไม่เป็นไร

เด็กหญิงตัวน้อยคนนี้ก็คือลูกสาวของหวังหลิง​ เธอไม่เป็นที่ต้อนรับของคนในหมู่บ้านนักเพราะเรื่องคบชู้สู่ชายของแม่​ และพ่อของเธอก็กำลังมองหาภรรยาใหม่อยู่​ ซึ่งคนที่จะเป็นแม่เลี้ยงของเธอคงจะได้มาอยู่ในครอบครัวตอนที่สิ้นสุดฤดูเก็บเกี่ยวในปีนี้​ ไม่ต้องคิดเลยว่าชีวิตในอนาคตของเด็กหญิงคนนี้จะยากลำบากเพียงใด

แต่เจ้าสามยังมีจิตใจบริสุทธิ์แสนซื่อมากอยู่​ เขาไม่สนใจว่าคน ๆ​ นั้นจะมีเบื้องหลังเป็นอย่างไรตราบเท่าที่เขาเข้ากันได้กับอีกฝ่าย​ หากเขาเข้ากับคน ๆ​ นั้นไม่ได้เขาจะไม่ชายตามองอีก​ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะมีเบื้องหลังดีงามแค่ไหนก็ตาม

ในเย็นวันนั้นที่พวกเขาทานเนื้อกระต่ายตุ๋น​ เด็กหญิงตัวน้อยก็มารอที่หน้าประตูบ้าน​ ซึ่งเจ้าสามก็ไม่ลืมเรื่องนี้​ และนำเนื้อกระต่ายชิ้นหนึ่งมาให้เธอได้ทาน

เด็กหญิงไม่สนใจเรื่องสุขอนามัยใด ๆ​ แล้ว​ เธอจะจดจำไว้จนถึงอนาคตว่าเนื้อกระต่ายตุ๋นคำนี้มันอร่อยขนาดไหน

ช่างน่าเสียดายที่เด็กชายผู้เป็นเหมือนดวงตะวันคนนี้กลับอยู่ห่างไกลเมื่อเวลาผ่านไป​ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะได้อยู่ด้วยกันในชาตินี้

“เจ้าสาม​ ทำไมนายเอาเนื้อชิ้นนั้นออกไปล่ะ?” เจ้ารองถาม

“ไม่มีอะไรมากครับ” เจ้าสามหยิบชามของตัวเองขึ้นมากินข้าว​ จากนั้นก็หันไปทางซูเฉิงน้อย​ “น้องชาย​ เนื้อกระต่ายอร่อยไหม?”

“อร่อย​ อร่อยมากเลยครับ” ซูเฉิงน้อยรีบพยักหน้า​ เขาได้รับขากระต่ายด้วยเหมือนกัน​ และกำลังเคี้ยวตุ้ย ๆ​ อย่างมีความสุข

“ถ้าอร่อยนายก็กินอีกสิ” เจ้าสามยิ้มกริ่ม

ฝ่ายหลินชิงเหอก็คะยั้นคะยอให้โจวชิงไป๋กับท่านพ่อโจวกินมากขึ้น​ การเก็บเกี่ยวประจำฤดูใบไม้ร่วงครั้งนี้ก็เป็นเรื่องเหน็ดเหนื่อยเหมือนกับทุกปี

แม้เจ้าใหญ่จะยุ่งอยู่กับการเรียนหนังสือ​ แต่ในตอนบ่ายเขาก็ยังร่วมงานเก็บเกี่ยวประจำฤดูใบไม้ร่วงอยู่​ ซึ่งหลินชิงเหอก็ไม่ได้ห้ามเขา แต่หลังกินอาหารเย็นเสร็จ​ เธอก็ให้เขาอาบน้ำและนั่งทบทวนบทเรียนต่อ

ท่านพ่อโจวผู้เป็นปู่รู้สึกยินดีมาก​ คนนอกบ้านเอาแต่พูดกันว่าครอบครัวของเขากำลังจะผลิตบัณฑิตมหาวิทยาลัย​ได้คน​หนึ่ง​ ในฐานะปู่แล้ว​ เขาจะไม่ยินดีปรีดาได้อย่างไร?

อะไรคือความปรารถนาสูงสุดของคนชรากันล่ะ?

พวกเขาเพียงหวังว่าคนรุ่นต่อไปจะแข็งแกร่งกว่าคนรุ่นก่อน​ ลูกชายคนเล็กของเขาดีกว่าและมีความสามารถมากกว่าเขาแล้ว​ ตอนนี้หลานชายของเขากลับมีความสามารถมากกว่าลูกชายของเขาเสียอีก​ เขาเป็นถึงว่าที่บัณฑิตมหาวิทยาลัย​ในสายตาของทุกคนเชียวนะ​ เรื่องนี้จะไม่ทำให้คน ๆ​ หนึ่งมีความสุขได้อย่างไร?

ตอนนี้ไม่ว่าท่านพ่อโจวจะออกไปไหนมาไหน​ เขาก็ได้รับความเคารพนับถือจากทุกคน

ท่านพ่อโจวไม่มีอะไรจะพูดมากนัก​ หลานชายของเขามักจะร่ำเรียนหนังสือและท่องจำบทความในทันทีที่เขากลับมาจากโรงเรียน​ ซึ่งบางครั้งก็จะขอให้เขาช่วยตรวจคำตอบด้วย

ท่านพ่อโจวเองก็รู้คำเป็นบางคำ​ เมื่อเขาตอบไม่ได้​ เขาก็จะปล่อยให้เจ้ารองเป็นคนช่วย

แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ทำให้เหล่าผู้เฒ่าคนอื่น ๆ​ ต่างอิจฉา

“ในอนาคตพ่อเฒ่าต้องสบายหายห่วงแน่ ๆ” ทุกคนต่างพูดแบบนี้กับเขา

“ตอนนี้ฉันก็มีความสุขกับโชคในตอนนี้แล้ว” ท่านพ่อโจวตอบตามตรง

นับตั้งแต่มากินข้าวกับสะใภ้สี่​ ท่านพ่อโจวก็พบว่าสามารถใช้ชีวิตแบบนี้ได้ มันสามารถเป็นชีวิตที่สุขสบายแบบนี้ได้เหมือนกัน

กล่าวตามตรงว่าตัวเขาในอดีตรู้สึกเหมือนไม้ใกล้ฝั่งเข้าไปทุกที แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกเหมือนมีชีวิตต่อไปได้อีกหลายปี…

นับจากปีนี้​ เขาก็ได้ลดกำลังทำงานของตัวเองลงจนเหลือแต้มค่าแรงเพียง 6 แต้มเท่านั้น

เมื่อสะใภ้สี่รู้เรื่องนี้​ ไม่เพียงแต่เธอจะไม่ตำหนิเขา​ เธอยังเห็นด้วยกับเขาอีก​ ซึ่งเธอกล่าวว่า​ ​” ฉันอยากให้คุณพ่ออย่าหักโหมทำงานหนักเกินไปมานานแล้วค่ะ​ เพียงแต่ฉันกลัวว่าจะทำลายความมั่นใจในตัวเองของคุณพ่อไป​ คุณพ่อก็อายุขนาดนี้แล้ว​ ควรดูแลร่างกายบ้าง​ หลาน ๆ​ จะได้แสดงความกตัญญูกับคุณพ่อได้ในภายภาคหน้าอย่างไรล่ะคะ”

………………………………………………

สารจากผู้แปล

หนุ่มๆ​ ของแม่มีแต่สาวรุมแล้วค่ะ​ ท่านแม่โจวหมดห่วงได้แล้วนะคะว่าสามหนุ่มจะหาภรรยาไม่ได้

สงสารลูกสาวของหวังหลิงจังเลยค่ะ​ ไม่รู้ว่าจะได้แม่เลี้ยงดีไหม​ เจ้าสามเหมือนเป็นที่พึ่งพิงของน้องในตอนนี้เลย

ส่วนท่านพ่อโจวตอนนี้ก็ได้ต่อพลังชีวิตไปหลายปีเลยค่ะ​ หลานชายคนโปรดอนาคตดีขนาดนี้

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset