บทที่ 204 หนาวจนแข็งตาย

บทที่ 204 หนาวจนแข็งตาย
โดย

บทที่ 204 หนาวจนแข็งตาย

หลินชิงเหอกับครูคนอื่น ๆ ก็ได้หยุดการสอนเหมือนกัน แต่ละคนต่างได้รับส่วนแบ่งอาหาร 30 ชั่ง เช่นเดียวกับคูปองอาหารและคูปองผ้า

หลินชิงเหอคิดว่ามันดีไม่น้อย เธอจึงพาเจ้าใหญ่กลับบ้าน ทันทีที่ถึงบ้าน พวกเขาก็พบว่าโจวชิงไป๋ไม่อยู่

“เขาเดินทางเข้าอำเภอไปน่ะ” ท่านแม่โจวอธิบาย

หลินชิงเหอจึงปล่อยให้โจวชิงไป๋ไป เช้านี้เธอตื่นขึ้นมาและทาครีมบำรุงผิวให้เขาแล้ว จริง ๆ เลยนะชายคนนี้ ถ้าเธอไม่ทาครีมให้เขา เขาก็ไม่ทาเองจริง ๆ

หลินชิงเหอคิดว่าเขาคงแอบเรียกร้องความสนใจอยู่ ต่อให้เขาไม่ได้เอ่ยออกมาก็ตาม

โจวชิงไป๋กลับมาในตอนเย็น เมื่อเขากลับมาถึง เขาก็นำเนื้อลูกแกะจำนวนหนึ่งจากความช่วยเหลือของสหายที่รู้จักกลับมาด้วย

เนื้อลูกแกะที่นี่นับว่าหายากอย่างยิ่ง หากไม่มีเส้นสายกับใครแล้วก็ยากที่จะได้มา

แต่ตอนนี้เขาได้มาแล้ว หลินชิงเหอจึงไม่รีรอ เธอทำแกงเนื้อลูกแกะตุ๋นกับหัวไชเท้าทันที

เธอไม่ได้ขี้เหนียวและส่งแกงเนื้อลูกแกะชามใหญ่ไปให้สะใภ้ทั้งสาม ซึ่งแต่ละชามมีหัวไชเท้าจำนวนมากและเนื้อลูกแกะอยู่นิดหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นการแสดงน้ำใจของเธอ

ต่อให้เป็นสะใภ้รอง หล่อนก็ยังมีความใส่ใจ เมื่อสะใภ้ใหญ่กับสะใภ้สามมาเยี่ยมที่บ้านสะใภ้สี่ หล่อนก็ฝากงา 2 ชั่งกับสะใภ้ใหญ่ส่งไปให้สะใภ้สี่ เนื่องจากหล่อนไม่ได้มาด้วย

หลินชิงเหอรับไว้อย่างไม่ถือสา

เมล็ดงาในบ้านของเธอหมดไวมาก ก่อนฤดูหนาวปีนี้เธอก็ให้ท่านแม่โจวบดงาบดจำนวนมากแล้วนำไปเก็บไว้

ในบางครั้งเธอจะทำซุปงาบดให้ทุกคนกินเป็นอาหารว่าง

แกงลูกแกะนี้อุดมด้วยสารอาหารอย่างมาก โจวชิงไป๋รู้สึกว่าร่างกายของเขาดีขึ้นหลังกินเข้าไป หลินชิงเหอเองก็ชอบกินเหมือนกัน

ในวันที่แปดของเดือนสิบสองทางจันทรคติ ซูต้าหลินก็กลับมาพร้อมกับอาหารและไข่จำนวนมาก

ส่วนโจวเสี่ยวเม่ยไม่ได้กลับมาด้วยเพราะว่าตั้งครรภ์อยู่ ทำไมหล่อนจะต้องมาในสภาพอากาศหนาวเยือกและเต็มไปด้วยหิมะนี่ด้วยล่ะ?

พูดอีกอย่างหนึ่งคือในปีนี้ซูต้าหลินกับโจวเสี่ยวเม่ยจะไม่กลับมาร่วมฉลองปีใหม่ที่ชนบท แต่ซูต้าหลินจะกลับมาพาซูเฉิงน้อยกับซูสวิ่นน้อยกลับบ้านเมื่อเวลานั้นมาถึง ตอนนี้เขายังไม่ได้หยุดงาน มันจึงต้องรอไปก่อนระยะหนึ่ง

หลินชิงเหอไม่กล่าวอะไร เธอครุ่นคิดหนักถึงความจริงที่ว่าทุกคนในสังคมนี้ต่างมีสุขภาพดีจากการได้กินธัญพืชหยาบ

ดูอย่างคู่รักคู่นี้สิ พวกเขาบอกว่าอยากได้ลูกก็มีลูกทันที

ไม่ต้องพูดถึงคนอื่น ๆ เลย แม้แต่ไฉ่ปาเม่ยที่แต่งงานกับโจวต้งก็เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าปีนี้ท้องของหล่อนใหญ่ขึ้นเหรอ? หลังแต่งงานไม่นานหล่อนก็ท้องแล้ว ถ้าอย่างเร็วหล่อนก็คลอดลูกภายในปีนี้ แต่ถ้าอย่างช้าหล่อนก็จะคลอดลูกต้นปีหน้า

ไฉ่ปาเม่ยเป็นคนดีโดยแท้ หล่อนเป็นคนซื่อสัตย์คนหนึ่งและเหมาะสมกับโจวต้งไม่น้อยในการที่หล่อนใช้ชีวิตอย่างสงบสุข

โจวต้งไม่ใช่เด็กเหมือนที่เคยเป็นแล้ว ตอนนี้เขาเป็นชายหนุ่มนิสัยดีคนหนึ่งที่ทำงานได้แต้มค่าแรง 10 แต้ม และเป็นหนึ่งในคนที่ดีที่สุดในหมู่บ้านเลยทีเดียว

มากกว่านั้นการที่เขาได้เป็นเขยของตระกูลไฉ่ก็ทำให้ทั้งหมู่บ้านโจวเจี่ยไม่กล้าดูถูกเขา

ในตอนนี้เองซูต้าหลินก็มาถึง เขานำนมผงมาด้วยถุงหนึ่ง ปกติเธอซื้อนมผงให้เจ้าใหญ่กับคนอื่น ๆ กินโดยที่ซูเฉิงกับน้องชายของเขาก็ได้รับส่วนแบ่งด้วย ดังนั้นเมื่อพวกเขาได้รับนมผงถุงนี้ หลินชิงเหอก็แบ่งให้เจ้าใหญ่กับเด็กคนอื่น ๆ ได้ดื่มด้วยกัน

โดยไม่มีความรู้สึกเกรงใจหรือความรู้สึกผิดเลย

“ผมคุย…กับเสี่ยวเม่ยแล้ว…ว่าในอนาคต…เมื่อเจ้าใหญ่เข้าโรงเรียน…โรงเรียนมัธยมปลาย…เขาก็จะได้…มาอยู่ที่บ้านผม…ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่โรงเรียน…น่ะครับ” ซูต้าหลินบอกเจตจำนงของเขาให้ฟัง

หลินชิงเหอยิ้ม “มันคงจะดีนะคะถ้าให้เจ้าใหญ่ค้างอยู่ที่โรงเรียน”

“พี่สะใภ้…สี่…อย่าทำกับว่า…เราเป็นคนนอก…เลยครับ…ให้เจ้าใหญ่…ไปอยู่ที่บ้านผมเถอะ…ผมว่ามันดีกว่า” ซูต้าหลินเอ่ยอย่างจริงจัง

ลูกชายสองคนของเขาถูกเลี้ยงดูมาในบ้านของพี่ชายสี่ของภรรยาแล้ว และเขาก็เห็นว่าพวกเขาได้รับการเลี้ยงดูดีขนาดไหนโดยไม่เผชิญกับความลำบากแม้แต่น้อย บางทีเขากับเสี่ยวเม่ยเองอาจเลี้ยงลูก ๆ ได้ไม่ดีขนาดนี้ก็ได้

แม้เขาจะซื้อของมาจำนวนมาก แต่เด็ก ๆ ยังต้องกิน ยิ่งกว่านั้นพวกเขาก็ยังเป็นหนี้บุญคุณอยู่ด้วย

จริง ๆ แล้วหลินชิงเหอมีแผนแบบนั้นแต่ไม่ได้เอ่ยออกมา ตอนนี้ซูต้าหลินพูดเรื่องนี้ด้วยตัวเอง เธอเห็นว่าเขาพูดด้วยความจริงใจ หญิงสาวจึงยิ้มและตอบตกลง “ก็ได้ หากในอนาคตเด็กคนนี้ไม่เชื่อฟัง นายกับเสี่ยวเม่ยก็ไม่จำเป็นต้องสุภาพกับเขานะ”

“เจ้าใหญ่…เป็นเด็กดีมาก…นะครับ” ซูต้าหลินยิ้มกริ่มพลางพยักหน้า

เขารู้สึกว่าเจ้าใหญ่ เจ้ารอง และเจ้าสามได้รับการสั่งสอนเลี้ยงดูอย่างดีจริง ๆ หากในอนาคตลูกชายทั้งสองของเขาเป็นแบบนี้เหมือนกัน เขาก็คงจะพอใจมาก

และตอนนี้ซูเฉิงลูกชายคนโตก็เติบโตในทางนั้นแล้ว

เมื่อท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวรู้ว่าเจ้าใหญ่จะได้อยู่กับอาชายและอาหญิงในระหว่างที่เรียนมัธยมปลาย พวกเขาก็อนุญาต

ทั้งคู่มีความตั้งใจนี้มานานแล้ว แต่รู้สึกอายเกินกว่าจะพูดออกมา พวกเขาไม่รู้เลยว่าซูต้าหลินมีความคิดแบบไหน

ตอนนี้เขาเอ่ยออกมาแล้ว มันคงไม่มีอะไรดีกว่านี้แล้วล่ะ

โจวชิงไป๋ไม่มีความคิดเห็นในเรื่องพวกนี้ เขารู้สึกว่าลูกชายของเขาคงจะปรับตัวให้เข้ากับที่ที่จะอยู่ได้

เจ้าใหญ่อยู่ในช่วงปิดภาคการศึกษา เขาจึงเริ่มอุทิศตัวให้กับการเรียน เว้นแต่ช่วงที่พ่อของเขาเรียกให้ไปวิ่งออกกำลังกายรอบหมู่บ้านในตอนเช้าแล้ว เวลาที่เหลือก็ทุ่มไปกับการเรียนหนังสือ ซึ่งหลินชิงเหอก็ชี้แนวทางให้เช่นกัน

เมื่อโรงเรียนเปิดในปีหน้า เธอก็ตั้งใจให้เจ้าใหญ่ได้เรียนในภาคการศึกษาที่สองของชั้นปีที่สอง นั่นหมายความว่าเจ้าใหญ่จะได้เลื่อนชั้น ซึ่งแรงกดดันของการศึกษาในยุคนี้ไม่กวดขันมากนัก

เทียบกับเขาแล้ว เจ้ารองกับเจ้าสามไม่มีความเครียดมากนัก แต่พวกเขาก็ออกไปข้างนอกไม่ได้เหมือนกันเพราะหิมะตกหนักมาก

สภาพอากาศในปีนี้ช่างย่ำแย่

กลางเดือนธันวาคมก็มีข่าวร้ายข่าวหนึ่งว่าชายชราคนหนึ่งในหมู่บ้านหนาวจนแข็งตายในตอนกลางดึก

ชายชราคนนี้เป็นคนไร้ครอบครัว ชั่วชีวิตเขาไม่มีภรรยาเลยเพราะเป็นคนไม่ดี และไม่มีใครช่วยเหลือเขาสักคน

สิ่งสำคัญที่สุดก็คือเขามีอายุเท่านี้แล้วในสภาพอากาศแบบนี้ เคยมีประสบการณ์กับอากาศแบบนี้มาก่อนแต่ก็ไม่ได้เตรียมฟืนไว้มากพอ บวกกับสภาพร่างกายที่ไม่แข็งแรงนัก เขาจึงประสบความเย็นจนแข็งตาย

ทุกคนล้วนรู้ดีว่าเขาเป็นอย่างไรในตอนยังมีชีวิตอยู่ แต่ตอนนี้เขาตายแล้ว ดังนั้นการตายจึงถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมากกว่า โดยไม่ต้องบอกกล่าว คนหนุ่มในตระกูลก็ได้จัดการฝังศพให้เขาเพื่อเห็นแก่มนุษยธรรม และด้วยสภาพอากาศแบบนี้มันก็ช่วยไม่ได้ที่การจัดงานจะเป็นไปอย่างเร่งรีบ

นอกจากรายนี้แล้วก็มีอีกหลายครอบครัวที่ประสบปัญหา หิมะที่ตกหนักมากได้ทำให้บ้านที่เก่าและไม่ได้รับการซ่อมบำรุงพังทลายลงมา โชคดีที่คนในบ้านตื่นขึ้นและวิ่งหนีออกมาทันจึงไม่โดนทับตาย ไม่อย่างนั้นแล้วคงเกิดเหตุน่าสลดใจอีกเรื่องหนึ่งขึ้น

วันต่อมาโจวชิงไป๋และพี่ชายทั้งสามก็ได้ตรวจสอบหลังคาบ้านของตัวเอง รวมถึงบ้านของพ่อแม่ด้วย หลังตรวจดูแล้วและพบว่ามันไม่มีปัญหาอะไร พวกเขาก็โล่งใจ

แต่อากาศยังคงหนาวจัด หลายคนที่มีฟืนไม่พอใช้ก็เที่ยวขอร้องขอยืมจากเพื่อนบ้านไปทั่ว

ในสภาพอากาศแบบนี้จะมีใครเต็มใจให้ยืมไม้ฟืนของตัวเองกันล่ะ? หากหนาวนักก็ขึ้นภูเขาไปเก็บฟืนเองสิ!

มีครอบครัวไหนที่ไม่เก็บฟืนให้คนในครอบครัวของตัวเองบ้าง? เป็นไปไม่ได้หรอกที่จะขอยืมไม้ฟืนกัน

ในหมู่บ้านมีการแจกจ่ายเนื้อหมูกันวันที่ยี่สิบธันวาคม และในวันที่ยี่สิบห้าธันวาคม โจวซีก็มาแจ้งข่าวดีว่าพี่สะใภ้ของหล่อนเพิ่งคลอดลูกเมื่อคืนนี้และเป็นหลานชายตัวอ้วนจ้ำม่ำคนหนึ่ง

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ตอนนี้ทำให้รู้ว่าเวลาหิมะตกหนักมาก ๆ มันลำบากจริง ๆ นะคะ แค่อากาศเลขสิบกว่าของเมืองไทยก็หนาวยะเยือกจนไม่อยากทำอะไรแล้ว แต่คนในยุคนั้นต้องเจอกับความลำบากหลายอย่าง มีฟืนกับอาหารไม่พอก็มีสิทธิ์หนาวตายได้ทุกเมื่อ

โจวต้งมีลูกชายแล้วค่ะ เร็วมากเลย จำได้ว่าตอนแรก ๆ ยังเป็นเด็กอายุสิบห้าอยู่เลย ตอนนี้กลายเป็นคุณพ่อมือใหม่ไปแล้ว ยินดีด้วยนะคะ

ไหหม่า (海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset