บทที่ 276 สำรวจร้านค้า

บทที่ 276 สำรวจร้านค้า
โดย
EnjoyBook
บทที่ 276 สำรวจร้านค้า

 

เห็นลูกสาวคนเล็กของตระกูลจางทำตัวแบบนั้นแล้ว คุณป้าหม่าก็หันหลังกลับเข้าไปในบ้านพร้อมกับสีหน้าดูถูก

 

เมื่อคุณลุงหม่าเลิกงานกลับมาถึงบ้านในตอนเย็น คุณป้าหม่าก็บ่นเรื่องนี้กับเขา “ตระกูลจางนี่ไม่มียางอายกันบ้างเลย เสี่ยวข่ายยังเด็กขนาดนั้น พวกเขาก็ยังคิดจะจับเขาได้”

 

เด็กชายเป็นคนตัวสูง แต่เขามีอายุเพียง 15 ปีเท่านั้น ในสายตาของคุณป้าหม่าที่เป็นหญิงชราอายุราว 50 ปีแล้วเขาก็ยังเป็นเด็กอยู่

 

“คุณรู้ได้ยังไงว่าพวกเขาจ้องจะจับเสี่ยวข่ายอยู่น่ะ?” คุณลุงหม่าพูด

 

ต้องบอกว่าหลินชิงเหอกับลูกชายของเธอนับว่าเนื้อหอมอย่างมาก

 

การเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยอันเป็นที่นับหน้าถือตาของยุคนี้จัดเป็นเหตุผลหนึ่ง อีกเหตุผลหนึ่งก็คือพวกเขาทั้งคู่ล้วนรู้จักการเข้าสังคม

 

เมื่อพบหน้าใคร ทั้งคู่ก็จะทักทายด้วยรอยยิ้ม โดยเฉพาะโจวข่าย ที่คราวที่แล้วตอนคุณลุงหม่ากลับมาถึงบ้าน เด็กชายก็เกือบจะชนกับเขาในตอนที่กำลังจะจากไป เมื่อเห็นชายชรากลับบ้านมาพร้อมกับข้าวโพดกระสอบหนึ่ง เขาก็พุ่งตรงเข้าไปช่วยแบกขึ้นมา

 

ในตอนนั้นพวกเขายังไม่รู้จักมักคุ้นกัน แต่เมื่อแบกกระสอบข้าวโพดขึ้นไปแล้วพวกเขาจึงรู้ว่าเป็นเพื่อนบ้านกัน

 

ดังนั้นคุณลุงหม่าจึงมีความรู้สึกที่ดีมากต่อโจวข่าย

 

“ก็ฉันเห็นมากับตาฉันน่ะสิ ยัยลูกสาวคนเล็กของตระกูลจางมองหลังของเสี่ยวข่ายราวกับมีอะไรอยู่อย่างนั้นแหละ” คุณป้าหม่าเอ่ยพลางถ่มถุยไปด้วย “คนอย่างหล่อนน่ะเหรอ? ไม่คู่ควรเลยสักนิด เมื่อไหร่ที่อาจารย์หลินมาฉันจะต้องบอกหล่อน ต้องบอกให้หล่อนระวังเรื่องนี้ให้ดี!”

 

นางรู้ว่าโจวชิงไป๋จะมาในปีหน้าหรือราว ๆ นั้น

 

ยิ่งกว่านั้นลูกสาวทั้งสองของตระกูลจางยังกลับมาอยู่ที่นี่แล้วด้วย

 

แถวนี้มีความลับที่ไหนกันล่ะ? ข่าวโคมลอยสามารถแพร่กระจายไปได้ในทันที

 

หญิงสาวทั้งคู่ล้วนกลับมาจากชนบท คนโตกลับมาหลังจากหย่าร้าง แม้หล่อนจะไม่มีลูก แต่หล่อนก็เคยตั้งครรภ์ครั้งหนึ่งขณะอยู่ในชนบท ซึ่งตอนนั้นหล่อนยังไม่ได้แต่งงาน หากหล่อนไม่ได้หนี รู้จักจับผู้ชายดี ๆ ให้เร็วและไม่ถูกฟ้องร้อง หล่อนก็จะต้องได้เข้าศึกษาในทันที ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีเลย

 

ส่วนลูกสาวคนเล็กบ้านจาง นางได้ยินมาว่าตอนที่อยู่ชนบทหล่อนก็มีคู่หลายคน และมีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับผู้อำนวยการชุมชน แต่คนที่ฉลาดจะรู้ว่าพวกเขามีความสัมพันธ์กันแบบไหนหากได้มาเห็น ซึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่ดีเลย

 

ทำไมนางจึงรู้มากขนาดนี้? หล่อนเป็นคนเดียวที่ได้ไปอยู่ในชนบทหรือ? คำตอบก็คือทุกครัวเรือนต่างก็ได้โควตาไปอยู่ชนบทเหมือนกัน ซึ่งก็นับเป็นคนจำนวนมากมาย

 

ดังนั้นแล้วพวกเขาจะไม่รู้ได้อย่างไรล่ะ?

 

นางจะต้องจับตามองหญิงสาวสองคนนี้

 

หลินชิงเหอยังไม่รู้ในเรื่องนี้ เพราะเร็ว ๆ นี้ทางมหาวิทยาลัยมีการแข่งพูดภาษาอังกฤษ ซึ่งเธอมีหลายเรื่องต้องทำเลยทีเดียว

 

เมื่อเธอจัดการทุกอย่างเสร็จ มันก็เข้าสู่เดือนธันวาคม

 

ช่วงนี้อากาศหนาวเย็นลงบ้าง แต่ฤดูหนาวปีนี้ก็นับว่าอุ่นกว่าปีที่แล้ว

 

ปีที่แล้วมันหนาวจริง ๆ ราวกับจะแข็งตายเลยทีเดียว

 

ถ้านับตามปฏิทินสุริยคติตอนนี้จะเป็นเดือนธันวาคม แต่ถ้านับตามปฏิทินจันทรคติจะเป็นเดือนพฤศจิกายน ซึ่งอากาศเริ่มหนาวเย็นลงในแต่ละวัน

 

โจวข่ายนำกล่องอาหารมาให้ในวันนั้น และเขาก็ทำตามกฎที่เคยทำก็คือนำน้ำแกงไก่มาจากบ้านของเพื่อนส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งเหลือไว้ให้คนฝั่งนั้น

 

“แม่ ถ้าเราจุดเตาไฟของเราเองล่ะครับ?” โจวข่ายถาม?

 

“ถ้าพ่อมาถึงแล้วก็ค่อยว่ากัน ตอนนี้ยังมีแค่เราสองคนอยู่” หลินชิงเหอตอบขณะดื่มน้ำแกงไก่

 

โจวข่ายไม่ได้แย้งแต่อย่างใดและเอ่ยขึ้นมา “เมื่อวานนี้ผมไปดูแลบ้านใหม่ของเรามาด้วยล่ะครับ ถ้าพ่อมาถึงแล้ว แม่ต้องคอยจับตามองเขาให้ดี ๆ นะครับ”

 

“เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” หลินชิงเหอไม่ได้กลับไปที่นั่นนานมากแล้ว เธอให้ลูกชายเป็นคนไปตรวจดูและทำความสะอาด จึงไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับครอบครัวตระกูลจาง

 

“เป็นบ้านตระกูลจางที่อยู่ถัดจากบ้านของเราน่ะครับ” โจวข่ายตอบ

 

หลินชิงเหอมองเขาด้วยความฉงน

 

“ผมไม่รู้จะอธิบายยังไงดี แล้วแม่จะรู้เองตอนไปเยี่ยมคุณป้าหม่าในเวลาว่างแล้วกันครับ” โจวข่ายบอก

 

สองวันที่แล้วเขาเห็นหญิงสาวตระกูลจางที่กลับมาอยู่ในเมืองทั้งคนพี่และคนน้อง เมื่อพวกหล่อนเห็นเขาก็เอ่ยทักทาย แต่เขาไม่ได้พูดอะไร ทำเพียงพยักหน้าก็พอแล้ว

 

หญิงสาวคนพี่ส่งซาลาเปามาให้เขากิน

 

แน่นอนว่าโจวข่ายไม่ได้กิน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็รู้สึกว่าเมื่อใดที่พ่อของเขามาที่นี่ เจ้าหล่อนก็คงจะหาทางตีสนิทกับเขาแน่

 

เหตุผลที่ต้องบอกเรื่องนี้ก็เพราะโจวข่ายคิดว่าเมื่อถึงตอนนั้นแม่ของเขาคงจะสอนหนังสือและเขาเองก็คงจะอยู่ที่มหาวิทยาลัย มีแค่พ่อของเขาที่ว่างงานอยู่กับบ้าน

 

หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมามันก็เกิดขึ้นได้ง่าย ๆ ถูกไหม?

 

หลินชิงเหอเหลือบมองเขา เธอจึงพันผ้าพันคอเป็นการเฉพาะและหาเวลาว่างไปเยี่ยมคุณป้าหม่า และยังนำเมล็ดแตงหนึ่งถุงไปให้นางด้วย

 

“อาจารย์หลิน ไม่ได้เห็นคุณนานเชียวนะคะ” คุณป้าจางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

 

หลินชิงเหอพยักหน้าอย่างห่างเหิน จากนั้นก็เมินนางเสีย และมาที่ห้องของคุณป้าหม่า ซึ่งนางก็เอ่ยทักทายและให้เธอเข้าไปในบ้าน

 

คุณป้าจางมีใบหน้าน่าเกลียดไป นางแค่นเสียงเย็นชา “อะไรกันน่ะ? เป็นแค่อาจารย์มันน่าภูมิใจตรงไหนนักหนา!”

 

หลินชิงเหอที่เข้ามาในบ้านของคุณป้าหม่าแล้วก็ไม่สนใจนาง เธอหยิบเมล็ดแตงออกมาและสนทนากับคุณป้าหม่า

 

ตอนนั้นเองหลินชิงเหอก็รู้ว่าตระกูลจางร้ายกาจอย่างไร พวกเขามีลูกสาว 2 คนเป็นแบบนี้นี่เอง

 

ต้องยอมรับว่ามันเป็นเรื่องค่อนข้างเสี่ยง หากชิงไป๋ของเธอมาถึงและอยู่ที่บ้าน จะเป็นการง่ายขนาดไหนกันที่เขาจะกลายเป็นเป้าหมายของหญิงสาวที่ผ่านการหย่าร้างของบ้านตระกูลจางที่อยู่ใกล้เคียง?

 

ไม่ต้องสงสัยในตัวคนแบบนี้เลย พวกเขาไม่มีอะไรที่เรียกว่าหิริโอตตัปปะหรอก

 

หลินชิงเหอจึงมาหาบรรณารักษ์หวัง เมื่อมาถึง โจวข่ายก็อยู่ที่นั่นแล้ว ซึ่งทั้งคนแก่และคนหนุ่มกำลังกินซาลาเปากันอยู่

 

“แม่มาช้าไปแล้วครับ เราเพิ่งจะกินซาลาเปากันหมด” โจวข่ายบอก

 

“มาหาคุณลุงหวังแล้วกินของของเขาเปล่า ๆ แบบนี้ ไม่ละอายใจบ้างเหรอ?” หลินชิงเหอสั่งสอน

 

“ผมซื้อให้คุณลุงน่ะครับ” โจวข่ายบอก

 

“อย่างนี้ค่อยยังชั่วหน่อย” หลินชิงเหอได้ฟังก็พอใจ

 

คุณลุงหวังหัวเราะ “ผมจะเชิญคุณมากินหม้อไฟเนื้อแพะที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของที่นี่ในอีกวันแล้วกันครับ”

 

“พ่อของเจ้าข่ายจะมาในปีหน้า ให้เขาเป็นเจ้าบ้านเถอะค่ะ” หลินชิงเหอยิ้ม จากนั้นก็ถามต่อ “คุณลุงพอจะรู้จักร้านค้าย่านนี้ไหมคะ ร้านที่อยากจะเซ้งกิจการน่ะค่ะ?”

 

“คุณอยากได้ร้านค้าไปทำไมเหรอครับ?” คุณลุงหวังถามขณะมองเธอ

 

“พ่อของเจ้าข่ายมาถึงที่นี่ในปีหน้าใช่ไหมล่ะคะ? แต่เขาไม่มีงานทำ ฉันก็เลยคิดว่าจะเปิดร้านแล้วให้เขาเป็นคนเฝ้าน่ะค่ะ” หลินชิงเหอตอบ

 

แผนแรกก็คือเธอจะให้โจวชิงไป๋มาเปิดร้านขายเครื่องเขียนในมหาวิทยาลัย แต่ในตอนนี้ไม่มีเครื่องเขียนขายเลย

 

ดังนั้นหลังจากที่เธอใคร่ครวญดูแล้ว เธอก็รู้สึกว่าพวกเขายังต้องเปิดร้านอีกร้านหนึ่งเพื่อทำธุรกิจอีกอย่างควบคู่กันไปด้วย

 

หลินชิงเหอรับรู้ถึงการเกิดขึ้นของเจ้าของกิจการในปีนี้ ซึ่งในปีนี้ยังมีไม่มาก แต่หลังจากการทดลองในปีนี้ไปแล้ว ในปีต่อไปก็จะมีเจ้าของกิจการมากขึ้นอย่างแน่นอน

 

หลินชิงเหอจึงวางแผนที่จะลงมือ!

 

คุณลุงหวังรู้ถึงสถานการณ์ในเมืองหลวงดี เมื่อได้ยินดังนี้เขาก็เอ่ยขึ้น “เจ้าของกิจการไม่ใช่อาชีพที่ถูกมองว่ามีเกียรตินะคุณ แต่ถ้าคุณไม่กลัวที่จะถูกมองว่าต่ำต้อยผมก็จะไปช่วยถามหาให้แล้วกัน”

 

“จะต่ำต้อยได้อย่างไรล่ะคะ? เราไม่ได้ขโมยหรือปล้นจี้นี่ ขึ้นอยู่กับสองมือของเราที่จะหาเลี้ยงตัวเองเท่านั้น” หลินชิงเหอตอบอย่างร่าเริง

 

คุณลุงหวังพยักหน้า “งั้นเดี๋ยวผมจัดการให้”

 

หลินชิงเหอรู้ว่าการซื้อร้านค้าในช่วงนี้ไม่น่าเป็นเรื่องเหลือบ่ากว่าแรงนัก แต่เธอก็ไม่คิดเลยว่าภายในสองวันต่อมา คุณลุงหวังจะบอกให้โจวข่ายไปบอกให้เธอมาดูร้านในตอนเย็นวันหนึ่ง

 

หลินชิงเหอฟังแล้วก็ยินดี เย็นวันนั้นเธอจึงนำตะกร้าผักไปด้วย จากนั้นก็ให้ลูกชายคนโตตามหาคุณลุงหวัง จากนั้นพวกเขาก็มาดูร้านค้านี้ด้วยกัน

…………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

มรสุมมาอีกระลอกแล้ว แม่จะตัดไฟแต่ต้นลมสำเร็จไหม มาลุ้นกันต่อไปค่ะ

ไหหม่า(海馬)

——————————————

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset