บทที่ 334 วิชาเอกบัญชี

บทที่ 334 วิชาเอกบัญชี

บทที่ 334 วิชาเอกบัญชี

พอได้ยินข่าวว่าหลินชิงเหอกลับมา โจวต้งก็นำไก่มาให้เธอ 1 ตัว

“เอากลับไปเถอะจ้ะ อาเธอกับอากินข้าวมาจากในเมืองแล้วละ เราไม่จุดเตาทำอาหารกันแล้วคืนนี้ พรุ่งนี้เช้าอาก็จะกลับเข้าไปกินกันในเมือง ไก่ตัวนี้จะเปลืองพื้นที่ เอากลับไปให้มันออกไข่ไว้ให้พวกเด็ก ๆ ได้กินกันเถอะ” หลินชิงเหอเกลี้ยกล่อม

“คุณอาสะใภ้ครับ ที่บ้านเชื่อคำพูดของคุณอา ปีนี้เราเลยเลี้ยงไก่เอาไว้เยอะเลยครับ” โจวต้งกล่าว

“ยังไงก็ไม่จำเป็นต้องเอามาให้อาอยู่ดี เธอเอาถุงลูกอมนี่กลับไปให้หลานชายกับหลานสาวกินกันด้วย กลับไปได้แล้วเร็ว อายังต้องจัดของอีก” หลินชิงเหอพูด

แทนที่จะได้ให้ไก่เป็นของกำนัลไป โจวต้งกลับถือถุงลูกอมกลับมาแทน คุณป้าไฉ่ถึงกับหัวเราะออกมาเมื่อได้ยินเรื่องนี้ในภายหลัง

นางรู้ว่าหลินชิงเหอไม่ได้เป็นคนโลภประเภทที่ชอบเอารัดเอาเปรียบหรือคิดเล็กคิดน้อยพวกนั้น

กลับมาที่หลินชิงเหอ เธอฟังเรื่องราวจากท่านแม่โจว “ปีนี้โจวต้งหาเงินได้เยอะเลย เขาล้อมที่ดินด้านหลังบ้านแล้วทำเป็นฟาร์มไก่ เลี้ยงไก่เอาไว้มากกว่าร้อยตัวซะอีก และพวกมันก็ออกไข่กันถี่มาก คุณน้าของเจ้าใหญ่จะมารับไข่ไปทุก ๆ 3 ถึง 5 วัน แต่ละครั้งที่มาเอาก็ได้ไปครั้งละมาก ๆ เลยละ”

เดิมทีไฉ่ปาเม่ยวางแผนว่าจะเริ่มเลี้ยงไก่หลังจากคลอดลูกแล้ว แต่หล่อนอดที่จะเริ่มทำมันก่อนเวลานั้นไม่ได้ หลังปีใหม่หล่อนจึงให้โจวต้งไปทำสัญญาเรื่องที่ดิน จากนั้นเมื่อไม่มีงานที่ทุ่งนาแล้วหล่อนก็ไปขอให้พี่ชายของหล่อนขนพวกวัสดุก่อสร้างมาให้ แล้วจัดการสร้างกำแพงล้อมรอบที่ดินทั้งหมด

ไม่มีใครสามารถมองเห็นได้ว่าข้างในนั้นพวกเขาเลี้ยงไก่ไว้จำนวนมากเท่าใด

หล่อนพูดว่าเลี้ยงไก่ไว้มากกว่า 100 ตัว แต่จากปริมาณผลผลิตของไข่ไก่ที่ออกมา ท่านแม่โจวคาดว่าน่าจะมีไก่อยู่อย่างต่ำ ๆ 200 ตัว

ปริมาณมากอะไรขนาดนั้น?

ไฉ่ปาเม่ยเป็นคนที่ขยันมาก หล่อนยังเลี้ยงหมูไว้อีกด้วย

ปีนี้นับว่าเป็นปีที่หล่อนประสบความสำเร็จมากทีเดียว หล่อนคลอดลูกชายเพิ่มมาอีก 1 คน จากที่มีลูกชายและลูกสาวมาก่อนหน้านี้แล้วเท่ากับตอนนี้หล่อนมีลูกชาย 2 คนและลูกสาว 1 คน ไม่มีใครกล้ามาดูถูกหล่อนได้อีก

นอกจากนี้ไฉ่ปาเม่ยยังมีพี่ชายจากบ้านครอบครัวไฉ่อยู่อีกหลายคนด้วย

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ต้องบอกว่าถึงแม้ไฉ่ปาเม่ยจะเป็นคนซื่อตรง แต่หล่อนก็รู้วิธีที่จะสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น หล่อนมักจะเอาไข่ 1 ถึง 2 ชั่งกลับไปให้บ้านครอบครัวไฉ่เป็นครั้งคราว ดังนั้นแม้ว่าหล่อนมีเรื่องไปขอให้ทางพี่ชายมาช่วยเหลืออะไรบ้าง เหล่าพี่สะใภ้ก็ไม่ได้ว่าอะไร พวกหล่อนค่อนข้างจะยินดีด้วยซ้ำไป

สามารถกล่าวได้ว่าในปีนี้ครอบครัวของโจวต้งทำได้ดีมากทีเดียว และเป็นอย่างที่หลินชิงเหอบอกเอาไว้ว่าปีนี้เริ่มมีการลักขโมยเกิดขึ้นมาบ้างแล้ว

อย่างไรก็ดี โจวต้งได้เลี้ยงสุนัขเอาไว้ 2 ตัว และหลังจากที่เขาแยกบ้านออกมาแล้ว บ้านของพวกพี่เขยก็ไม่ได้อยู่ไกลกันนัก ดังนั้นแม้จะมีการเคลื่อนไหวอยู่บ้างในปีนี้ แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเขาเลย

“ฉันได้ยินปาเม่ยบอกว่าเธอเป็นคนให้คำแนะนำเรื่องนี้ตอนที่แวะไปเยี่ยมพวกเขาในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมาเหรอ?” ท่านแม่โจวเอ่ยขึ้น

“ใช่ค่ะ แต่มันก็ขึ้นอยู่กับพวกเขาเองด้วยค่ะ ว่าจะทำหรือไม่ทำ เหมือนอย่างพี่ใหญ่กับคนอื่น ฉันก็แนะนำไปเหมือนกันว่าให้พวกเขาทำธุรกิจ ฉันปฏิบัติกับพวกพี่ ๆ เหมือนกับน้องชายสามของฉัน แต่พี่ใหญ่กับคนที่เหลือกลับไม่สนใจจะทำตามเอง” หลินชิงเหอตอบ

“แม่ไม่ได้หมายความอย่างนั้น” ท่านแม่โจวรีบพูด

หลินชิงเหอไม่สนใจคำพูดของนางและกล่าวต่อว่า “ฉันเองก็หวังให้ครอบครัวของเราต่างมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นนะคะ เพราะถ้าทุกคนทำได้ดี ถึงตอนนั้นทุกอย่างก็จะดีตามไปด้วย ฉันให้คำแนะนำได้ แต่มันก็ขึ้นอยู่กับคนคนนั้นเองด้วยว่าเขาอยากจะทำมันหรือเปล่า เหมือนอย่างเสี่ยวเหมยที่อยากจะไปเมืองหลวงกับฉันด้วยจริง ๆ นี่เป็นน้องสามีของฉันเองแล้วฉันจะไม่ดูแลหล่อนได้ยังไงกันคะ? แต่ถ้าวัวไม่อยากจะกินน้ำฉันก็ไม่สามารถจะไปข่มบังคับให้มันกินได้หรอก ถูกไหมคะคุณแม่?”

ท่านแม่โจวพูดขึ้นอย่างขัดเขินว่า “แม่รู้แล้วละจ้ะว่าเมื่อก่อนนี้แม่หลงผิดไป”

หลินชิงเหอไม่ใช่คนสงบเสงี่ยมยอมคน แต่ในเมื่อนางเป็นแม่สามี เธอจึงไม่พูดอะไรต่อ กลับกันเธอเปลี่ยนเรื่องพูด “ร้านที่ชิงไป๋หาไว้ให้เสี่ยวเหมยกับต้าหลินดีมากเลยค่ะ ได้ขายซาลาเปาที่นั่นจะต้องขายได้แน่ ๆ นี่เพราะเป็นน้องสามีของฉันเองหรอกนะคะ ไม่อย่างนั้นฉันจะจ้างคนมาดูแลร้านเพื่อขายอาหารเช้าให้ฉันไปแล้ว”

“ดีถึงขนาดนั้นเลยหรือ?” ท่านแม่โจวเอ่ยถามขึ้นทันที

“ดีมากเลยละค่ะ” หลินชิงเหอพยักหน้า

“ขายได้แต่อาหารเช้าเท่านั้นเหรอ?” ท่านแม่โจวอดถามขึ้นมาไม่ได้

หลินชิงเหอกล่าวว่า “ซาลาเปาไม่ได้กินเฉพาะตอนเช้าเท่านั้นนี่ค่ะ จะกินตอนกลางวันหรือตอนเย็นก็ได้ เสี่ยวเหมยก็สามารถไปช่วยเฝ้าร้านได้ คุณแม่คะ ถ้ามีเวลาก็ไปช่วยที่ร้านด้วยนะคะ น้องเขยจะได้หาสามล้อมาขี่แยกออกไปขายข้างนอกได้”

“นี่…จะน่าอายเกินไปไหม?” ท่านแม่โจวรีบเอ่ยขึ้นมาทันควัน

“ตอนนี้มีเรื่องอะไรให้ต้องอายด้วยหรือคะ? ทำไมขายซาลาเปาแล้วจะต้องอับอายด้วยคะ? ฉันจะอายก็ต่อเมื่อไม่สามารถหาเลี้ยงตัวเองได้เท่านั้นค่ะ สิ่งที่น่ายกย่องที่สุดก็คือเงินที่หามาได้อย่างยากลำบากนี้ได้มาจากน้ำพักน้ำแรงของเราเองต่างหากละค่ะ”

เมื่อท่านแม่โจวได้ยินอย่างนี้ สีหน้าของนางก็ดีขึ้น นางเอ่ยว่า “ถ้ามันขายดีก็ให้ต้าหลินขายมันเถอะ”

“มันจะไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเสี่ยวเหมยกับน้องเขยนักเมื่อพวกเขาอยู่ที่นั่น คุณแม่กับคุณพ่อต้องคอยช่วยหล่อนให้มากหน่อยนะคะ” หลินชิงเหอพูด

ท่านแม่โจวพยักหน้าพลางตอบว่า “แน่นอนอยู่แล้วละจ้ะ”

เมื่อสนทนากันมาถึงตรงนี้ ทั้งสะใภ้ใหญ่กับสะใภ้สามที่เพิ่งกลับมาจากทุ่งนาก็แวะมาหาหลังจากที่พวกหล่อนทราบข่าว

“พี่สะใภ้รองไม่ได้มาด้วยหรือคะ?” หลินชิงเหอถามยิ้ม ๆ

“ไม่ได้มาหรอกจ้ะ ที่พี่เห็นดูเหมือนกำลังทำอาหารอยู่นะ” สะใภ้สามพูด

“ลูกอมพวกนี้สำหรับพวกพี่ค่ะ ครอบครัวละถุงนะคะ แล้วก็มีนมผงด้วย ครอบครัวละถุงเหมือนกัน พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้สาม เดี๋ยวเอากลับไปด้วยนะคะ” หลินชิงเหอหยิบนมผงกับลูกอมออกมาจากกระเป๋า

“ไม่น่าต้องลำบากเอาของมาให้ด้วยเลยจ้ะ” พี่สะใภ้ใหญ่รีบบอก

“ยังไงก็ซื้อมาฝากแล้วนี่ค่ะ มีส่วนแบ่งของบ้านสายรองด้วยค่ะ” หลินชิงเหอเอ่ยด้วยรอยยิ้ม

“อู่นีคุ้นเคยกับที่นั่นบ้างหรือยังจ้ะ?” สะใภ้สามเอ่ยขึ้น

“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ ตอนที่หล่อนกับหยางหยางไปถึง พอวันถัดมาฉันก็ออกเดินทางไปทางใต้แล้ว แต่พี่ไม่ต้องเป็นห่วงอู่นีหรอกนะคะ หล่อนพักอยู่กับเอ้อร์นีและเชิ่งเหม่ยที่ร้านเกี๊ยว ฉันคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไร” หลินชิงเหอตอบ

“เอ้อร์นี เด็กคนนี้ไม่รู้ว่าทำงานดีไหมจ๊ะ? ถ้าหล่อนทำงานไม่ดีก็ดุด่าได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ” สะใภ้ใหญ่พูด

หลินชิงเหอยิ้ม “พี่สะใภ้ใหญ่คะ พี่ไม่ต้องเป็นกังวลกับเอ้อร์นีเลยค่ะ หล่อนเป็นเด็กดีมาก เต็มใจที่จะเรียนรู้แล้วก็ขยันอ่านหนังสือมากด้วย คำที่ก่อนหน้านี้หล่อนไม่เคยรู้มาก่อน ตอนนี้รู้เกือบหมดแล้วนะคะ ฉันจะลองพิจารณาดูว่าต่อไปอาจจะจัดการให้หล่อนไปเรียนวิชาเอกบัญชีที่โรงเรียนภาคค่ำดีหรือเปล่า ในวันข้างหน้าคนที่เรียนสายอาชีพนี้จะมีอนาคตที่ดีเลยค่ะ พี่สะใภ้ใหญ่จะได้ไม่ต้องมาเป็นกังวลกับอนาคตของเอ้อร์นีอีกไงคะ”

สะใภ้ใหญ่ดีใจมากเมื่อได้ยินอย่างนี้ หล่อนรีบพูดขึ้นว่า “ต้องลำบากชิงเหอแล้วนะจ้ะ”

หลินชิงเหอบอก “พี่สะใภ้ใหญ่คะ พี่ไม่ต้องเกรงใจฉันถึงขนาดนี้หรอกนะคะ”

จากนั้นเธอก็หยิบเงินเดือนของเอ้อร์นีออกมา ไม่เฉพาะแต่ของเอ้อร์นี แต่ยังมีของหู่จือกับของสวี่เชิ่งเหม่ยอีกด้วย แล้วกล่าวว่า “นี่เป็นเงินเดือนของพวกเขาที่แบ่งออกมาของแต่ละคนค่ะ อยู่ทางนั้นพวกเขาไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรที่ต้องใช้มากนักหรอกค่ะ ค่าที่พักกับอาหารก็มีเตรียมไว้ให้พวกเขาหมดแล้ว ฉันเลยเอาเงินนี่กลับมาให้พวกพี่ พี่สะใภ้ใหญ่หาวันให้พี่ใหญ่ส่งเงินไปให้พี่สาวใหญ่กับพี่สาวรองด้วยนะคะ”

ผ่านไปแค่ไม่กี่เดือน แต่ละคนมีรายได้มากกว่า 100 หยวนกันแล้ว สีหน้าของสะใภ้สามแสดงความอิจฉาออกมา “เอ้อร์นีเริ่มหาเงินให้ครอบครัวได้แล้ว”

“พี่สะใภ้สามไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ หลังจากอู่นีได้เข้าเรียนและจบจากมหาวิทยาลัยเมื่อไหร่ หล่อนจะต้องซาบซึ้งใจกับการเลี้ยงดูของพี่ไปชั่วชีวิตของหล่อนเลยละค่ะ ฉะนั้นพี่ไม่ต้องมาเป็นกังวลหรอกนะคะ” หลินชิงเหอกล่าว

…………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

ขยันทำงานกันทุกบ้านเลย น่าภูมิใจจริง ๆ ค่ะ

แน่ะ ป้าไฉ่เป็นคนวานให้โจวต้งเอาไก่มาสานสัมพันธ์กับแม่หรือเปล่าคะ

ไหหม่า (海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset