บทที่ 336 อาหารบนรถไฟ

บทที่ 336 อาหารบนรถไฟ

บทที่ 336 อาหารบนรถไฟ

เมื่อพวกเขามาถึงที่ตัวอำเภอก็พบกับซูต้าหลินและโจวเสี่ยวเหมยที่กำลังรออยู่พร้อมกับพวกเด็ก ๆ

คุณลุงกับคุณป้าของซูต้าหลินก็อยู่ที่นั่นด้วย

“น้องชาย น้องสะใภ้ ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้เราก็จะไม่พูดอะไรอีกแล้ว ต้าหลินกับเสี่ยวเหมยไปอยู่ที่นั่นยังไงก็ฝากดูแลพวกเขาด้วยนะ พวกเขาเป็นคนซื่อตรงและไม่ใช่คนที่ต่อไปจะลืมรากเหง้าของตัวเองอย่างแน่นอน” หลังจากเอ่ยทักทายท่านพ่อโจวและท่านแม่โจวแล้ว คุณลุงของซูต้าหลินก็หันมาพูดกับโจวชิงไป๋กับหลินชิงเหอ

“คุณลุงเกรงใจเกินไปแล้วค่ะ พวกเราต่างก็สนิทสนมกันมาตั้งหลายปียังจะต้องให้พูดแบบนี้ด้วยหรือคะ?” หลินชิงเหอตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “พวกเราเตรียมทุกอย่างที่นั่นไว้ให้เรียบร้อยหมดแล้วล่ะค่ะ เมื่อไปถึงที่นั้นและตั้งใจทำงานให้เต็มที่ พวกเขาจะต้องประสบความสำเร็จกันอย่างแน่นอน ส่วนเรื่องโรงเรียนของเด็ก ๆ ฉันก็ให้ข้อมูลล่วงหน้าไปแล้ว คุณลุงเขยกับคุณป้าเขยไม่ต้องกังวลนะคะ”

เธอเอ่ยกับพวกเขาต่อจากโจวเสี่ยวเหมย

“ดีแล้ว ดีแล้ว” คุณป้าของต้าหลินพยักหน้า จากนั้นก็หันไปพูดกับท่านแม่โจว “ไปอยู่ที่นั่นเด็ก ๆ พวกนี้คงต้องรบกวนคุณด้วยนะคะ ช่วยดูพวกเขาด้วย ฉันได้ยินมาว่าที่นั่นมีรถเยอะมาก อย่าปล่อยให้พวกเด็ก ๆ ออกไปวิ่งเล่นบนถนนกันล่ะ”

“เราสองสามีภรรยาพอไปอยู่ที่นั่นก็ไม่มีอะไรทำกันอยู่แล้วล่ะค่ะ เราจะช่วยดูแลพวกเด็ก ๆ แล้วก็ช่วยเฝ้าร้านให้ด้วย ป้าต้าหลินวางใจได้ ในอนาคตถ้ามีเวลาก็ไปที่นั่นนะคะ จะได้ไปเที่ยวที่เทียนเหมิน คิดซะว่าเป็นการไปพักผ่อน ที่บ้านสถานที่กว้างขวาง มีที่ว่างให้ไปพักอยู่ด้วยกันได้ค่ะ” ท่านแม่โจวตอบกลับอย่างสุภาพ

“งั้นถ้ามีเวลาเราจะไปเที่ยวที่นั่นกันค่ะ” คุณป้าของต้าหลินพูดด้วยรอยยิ้มระบายเต็มใบหน้า

หลังจากคุยกันอยู่สักพักก็ได้เวลาออกเดินทางไปรอรถโดยสาร น้องชายสามตระกูลหลินกำลังรอพวกเขาอยู่ที่สถานี ในอ้อมแขนของเขามีซาลาเปาในห่อกระดาษไขจำนวนหนึ่ง

“พี่ครับ” น้องชายสามตระกูลหลินเรียก

“มาทำไมเนี่ย ฉันบอกแล้วว่าให้นายไปทำงานของนาย ไม่จำเป็นต้องมาส่งหรอก” หลินชิงเหอพูดขึ้นทันที

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนี่ครับ เดี๋ยวผมค่อยไปหลังจากกลับจากที่นี่แล้วก็ได้ครับ พี่เอาซาลาเปาพวกนี้ไปกินระหว่างทางนะครับ” น้องชายสามตระกูลหลินส่งห่อซาลาเปาไปให้

หลินชิงเหอรับของมา เธอรู้ว่าเขาจะต้องออกนอกเมืองเพื่อไปรับผลไม้และผักต่าง ๆ กลับมาขายอีกจึงเร่งเขา “รีบไปได้แล้ว นายไม่ต้องอยู่รอหรอก”

“ได้ครับ ขอให้ทุกคนเดินทางโดยสวัสดิภาพนะครับ” น้องชายสามตระกูลหลินนั้นงานยุ่งมากจริง ๆ ดังนั้นเขาจึงขี่จักรยานออกไปหลังจากที่พูดจบ

หลินชิงเหอส่งซาลาเปาให้ท่านแม่โจวและบอกว่า “เอาไว้ที่คุณแม่เถอะค่ะ ถ้าพวกเด็ก ๆ อยากกินก็ให้พวกเขากินกันไปได้เลย คุณแม่ด้วยนะคะ ฉันจะไปคืนจักรยานก่อน”

จักรยานที่ขนสัมภาระมานั้นเป็นคันที่เธอเอาออกมาจากมิติ ดังนั้นเธอจะต้องเก็บมันเข้ามิติ เนื่องจากบนรถประจำทางไม่อนุญาตให้นำจักรยานขึ้นไปด้วย

ท่านแม่โจวคิดว่าเธอยืมจักรยานมาจากคนอื่น ดังนั้นนางจึงไม่ได้ว่าอะไร แค่บอกให้เธอรีบไปรีบกลับเพราะรถประจำทางใกล้จะมาแล้ว

หลินชิงเหอขี่จักรยานวนอยู่สักพัก หลังจากเก็บจักรยานเข้ามิติแล้วเธอก็เดินกลับมา ซึ่งรถประจำทางก็มาถึงพอดีตอนที่เธอกลับมาแล้ว

ซูต้าหลินและโจวชิงไป๋ช่วยกันขนกระเป๋าสองใบใหญ่ ๆ ขึ้นรถ

ของส่วนใหญ่เป็นของซูต้าหลินกับโจวเสี่ยวเหมย ท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวไม่ได้มีข้าวของอะไรมากนัก มีแค่เสื้อผ้าบางส่วนกับวิทยุทรานซิสเตอร์เท่านั้น ท่านพ่อโจวจึงสามารถถือกระเป๋าได้ด้วยตัวเอง

ซูต้าหลินและโจวเสี่ยวเหมยจึงดูเหมือนขอทานย้ายที่อยู่พร้อมกับสัมภาระมากมายอย่างแท้จริง

ทุกอย่างถูกขนไปด้วยหมด ทั้งพวกผ้านวมและของอื่น ๆ ไม่อย่างนั้นเมื่อไปถึงเมืองหลวงแล้วจะมีค่าใช้จ่ายเยอะมาก ถ้าจะต้องซื้อของทุกอย่างใหม่หมด

เมื่อต้องย้ายที่อยู่ก็ต้องประหยัดเท่าที่จะทำได้

แม้จะมีสัมภาระเยอะ แต่พวกเขามีซูต้าหลินกับโจวชิงไป๋อยู่ด้วย สำหรับผู้ชายตัวโตสองคนแล้วมันไม่ได้หนักหนาอะไรเลย

หลินชิงเหอเอาเชือกเส้นเล็กออกมาแล้วผูกตัวเด็ก ๆ ทั้งสามคนไว้กับตัวเธอ เธอจะเป็นคนคอยดูแลพวกเขาเอง ในขณะที่โจวเสี่ยวเหมยเป็นคนอุ้มลูกสาวคนสุดท้อง

ในที่สุดเมื่อได้ขึ้นรถไฟกันเรียบร้อยแล้วพวกเขาต่างก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

แม้ว่าพวกเขาจะต้องใช้เวลาอยู่บนรถไฟกันอีก 2 วัน แต่มันก็ดีกว่าการต้องอยู่บนรถประจำทางมากนัก นอกจากถนนจะขรุขระแล้วยังมีกลิ่นควันจากน้ำมันรถที่เหม็นมากอีกด้วย

กับหลินชิงเหอที่ยังแข็งแรงดีอยู่ก็ไม่เป็นอะไรนัก แต่สำหรับท่านแม่โจวแล้ว นางถึงกับต้องล้มตัวนอนลงทันทีหลังจากที่ขึ้นมาบนรถไฟ เพราะนางคลื่นไส้อาเจียนมาตลอดทางบนถนน นับเป็นการทรมานผู้สูงอายุอย่างแท้จริง

“ป้าสะใภ้ครับ ผมโตแล้ว ป้าไม่ต้องผูกเชือกรอบตัวผมไว้อย่างนี้ก็ได้ครับ” ซูเฉิงพูดขึ้นมาอย่างทำอะไรไม่ถูก

“ป้าจะแก้มัดให้ แต่หนูจะวิ่งซนไปมาไม่ได้นะ เข้าใจไหม?” หลินชิงเหอพูด

“ได้ครับ ผมจะไม่วิ่งซนเลยครับ” ซูเฉิงพยักหน้า

ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางโดยรถประจำทางหรือรถไฟก็เป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ทั้งสองอย่าง

หลินชิงเหอแก้มัดเขาออก และก็แก้มัดให้ซูสวิ่นและลูกสาวคนที่สามด้วย ที่นี่มีผู้ใหญ่อยู่กันหลายคน เมื่ออยู่บนรถไฟแล้วก็ไม่ต้องกังวลอะไรมากนัก

“อยากได้มะเขือเทศกันไหม?” หลินชิงเหอหยิบมะเขือเทศออกมาจากกระเป๋าผ้าของเธอ

“พี่สะใภ้สี่ พี่เอามะเขือเทศมาด้วยเหรอ ส่งมาให้ฉันลูกหนึ่งค่ะ” โจวเสี่ยวเหมยอุทานพร้อมกับแววตาเป็นประกาย แม้ว่าหล่อนจะไม่คุ้นเคยกับการนั่งรถ หล่อนก็ไม่ถึงกับต้องล้มตัวลงนอนทันทีเหมือนคุณแม่ของหล่อน แต่ก็ยังคงรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวอยู่ดี

การได้กินมะเขือเทศที่ทั้งหวานและเปรี้ยวในเวลานี้เป็นอะไรที่สมบูรณ์แบบมาก

หลินชิงเหอแบ่งให้กับทุกคน คนละหนึ่งลูก

หลังจากกินเสร็จก็เป็นเวลาพักผ่อน

หลินชิงเหอมองไปที่โจวชิงไป๋แล้วบอกว่า “คุณก็นอนลงด้วยนะคะ”

“ตกลงครับ” โจวชิงไป๋พยักหน้าเมื่อกำลังคิดอยู่ว่าเขาจะเฝ้ายามช่วงกลางคืนอย่างไร

หลินชิงเหอไม่ใช่คนขี้เหนียว เธอซื้อตั๋วรถไฟแบบนอนซึ่งสามารถนอนราบลงไปได้ทำให้พวกเขานอนหลับได้สบายขึ้น

ซูต้าหลินก็เหนื่อยมากจนหลับไปเช่นกัน

หลินชิงเหอคอยดูซูเฉิงและซูสวิ่นในตอนที่พวกเขานั่งชมวิวภายนอกกัน ส่วนเด็กสาวตัวน้อยก็หลับกันไปแล้ว

“ป้าสะใภ้ครับ ที่ปักกิ่งมีที่เที่ยวสนุก ๆ อยู่เยอะไหมครับ?” ซูเฉิงถาม

“มีที่สนุกๆ อยู่หลายแห่งเลยละจ้ะ แต่ตอนนี้หนูยังไปเที่ยวเล่นที่ไหนไม่ได้นะ หนูต้องตั้งใจเรียนก่อน พอเรียนจบจากมหาวิทยาลัยเหมือนกับพี่ใหญ่ญาติผู้พี่ของหนูแล้ว ถึงตอนนั้นหนูสามารถไปเที่ยวเล่นได้ทุกที่ที่อยากจะไปเลยละจ้ะ” หลินชิงเหอตอบ

“เอ่อ ผมเรียนได้ที่ 2 ในชั้นครับ!” ซูเฉิงพูด

“เก่งมากเลยจ้ะ ต้องขยันเรียนต่อไปนะ” หลินชิงเหอพยักหน้า

ซูสวิ่นก็เรียนจบชั้นประถมปีที่หนึ่งแล้ว และกำลังจะขึ้นชั้นประถมปีที่สองในปีนี้

หลินชิงเหอใช้ภาษาจีนกลางในการสื่อสารกับพวกเขาระหว่างการเดินทาง ทันทีที่สองคนพี่น้องได้ยินว่าที่ปักกิ่งพูดภาษาจีนกลางกัน ทั้งคู่ก็ตั้งใจเรียนรู้จากเธอ

เด็ก ๆ เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์เรื่องการเรียนรู้ภาษา และพวกเขาก็เรียนรู้ได้ดีมาก

เมื่อเห็นพวกเขาเหนื่อยแล้ว เธอก็ปล่อยให้พวกเขาไปนอน

หลินชิงเหอหยิบหนังสือภาษาอังกฤษขึ้นมาอ่าน เมื่อใกล้ถึงเวลาเธอจึงไปสั่งอาหาร

ซาลาเปาของน้องชายสามตระกูลหลินถูกกินไปหมดแล้วระหว่างทางที่นั่งรถประจำทางมา ส่วนอาหารบนรถไฟมีรสชาติไม่ดีนัก แต่ก็ดีกว่าไม่มีอะไรให้กินเลย

ในมิติของหลินชิงเหอนั้นมีของกินอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นลูกอม ของว่างหรือผลไม้นานาชนิด ตอนที่เธอเดินทางไปตอนใต้ เธอซื้อผลไม้ตุนไว้หลายอย่างและเก็บเข้าไว้ในมิติ ทั้งหมดถูกตุนไว้แล้วค่อยเอาออกมากินทีละนิดกับโจวชิงไป๋ในช่วงฤดูหนาว

อาหารหลักอย่างเกี๊ยวและซาลาเปาก็มีอยู่ในมิติด้วยเช่นกัน มีแม้กระทั่งข้าวหน้าหมูตุ๋นชามใหญ่ ๆ อยู่หลายชาม ซึ่งเธอให้โจวชิงไป๋ทำเตรียมเก็บไว้ก่อนออกเดินทาง

เนื่องจากทั้งคู่ต่างก็ไม่เคยชินกับอาหารบนรถไฟ

จริง ๆ แล้วโจวชิงไป๋ไม่ได้มีปัญหากับเรื่องนี้มากนัก แต่หลินชิงเหอมี จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะทำตัวเหมือนกับเธอไปด้วย

แต่ในตู้รถไฟนี้ไม่ได้มีแค่พวกเขาเท่านั้น พวกเขาจึงไม่สามารถกินอาหารส่วนตัวเหล่านี้กันตามลำพังได้ ฉะนั้นก็เลยต้องกินอาหารของรถไฟด้วยกัน

……………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

นึกสภาพรถไฟยุคนี้กับรถไฟยุคอนาคตที่แม่จากมาแล้วต่างกันสุดขั้วจริง ๆ ค่ะ หากท่านพ่อท่านแม่โจวได้มารู้สภาพรถไฟของจีนยุคใหม่จะเป็นอย่างไรกันบ้างน้า

ไหหม่า (海馬)

บทที่ 336 อาหารบนรถไฟ

บทที่ 336 อาหารบนรถไฟ

เมื่อพวกเขามาถึงที่ตัวอำเภอก็พบกับซูต้าหลินและโจวเสี่ยวเหมยที่กำลังรออยู่พร้อมกับพวกเด็ก ๆ

คุณลุงกับคุณป้าของซูต้าหลินก็อยู่ที่นั่นด้วย

“น้องชาย น้องสะใภ้ ในเมื่อเรื่องมาถึงขั้นนี้เราก็จะไม่พูดอะไรอีกแล้ว ต้าหลินกับเสี่ยวเหมยไปอยู่ที่นั่นยังไงก็ฝากดูแลพวกเขาด้วยนะ พวกเขาเป็นคนซื่อตรงและไม่ใช่คนที่ต่อไปจะลืมรากเหง้าของตัวเองอย่างแน่นอน” หลังจากเอ่ยทักทายท่านพ่อโจวและท่านแม่โจวแล้ว คุณลุงของซูต้าหลินก็หันมาพูดกับโจวชิงไป๋กับหลินชิงเหอ

“คุณลุงเกรงใจเกินไปแล้วค่ะ พวกเราต่างก็สนิทสนมกันมาตั้งหลายปียังจะต้องให้พูดแบบนี้ด้วยหรือคะ?” หลินชิงเหอตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “พวกเราเตรียมทุกอย่างที่นั่นไว้ให้เรียบร้อยหมดแล้วล่ะค่ะ เมื่อไปถึงที่นั้นและตั้งใจทำงานให้เต็มที่ พวกเขาจะต้องประสบความสำเร็จกันอย่างแน่นอน ส่วนเรื่องโรงเรียนของเด็ก ๆ ฉันก็ให้ข้อมูลล่วงหน้าไปแล้ว คุณลุงเขยกับคุณป้าเขยไม่ต้องกังวลนะคะ”

เธอเอ่ยกับพวกเขาต่อจากโจวเสี่ยวเหมย

“ดีแล้ว ดีแล้ว” คุณป้าของต้าหลินพยักหน้า จากนั้นก็หันไปพูดกับท่านแม่โจว “ไปอยู่ที่นั่นเด็ก ๆ พวกนี้คงต้องรบกวนคุณด้วยนะคะ ช่วยดูพวกเขาด้วย ฉันได้ยินมาว่าที่นั่นมีรถเยอะมาก อย่าปล่อยให้พวกเด็ก ๆ ออกไปวิ่งเล่นบนถนนกันล่ะ”

“เราสองสามีภรรยาพอไปอยู่ที่นั่นก็ไม่มีอะไรทำกันอยู่แล้วล่ะค่ะ เราจะช่วยดูแลพวกเด็ก ๆ แล้วก็ช่วยเฝ้าร้านให้ด้วย ป้าต้าหลินวางใจได้ ในอนาคตถ้ามีเวลาก็ไปที่นั่นนะคะ จะได้ไปเที่ยวที่เทียนเหมิน คิดซะว่าเป็นการไปพักผ่อน ที่บ้านสถานที่กว้างขวาง มีที่ว่างให้ไปพักอยู่ด้วยกันได้ค่ะ” ท่านแม่โจวตอบกลับอย่างสุภาพ

“งั้นถ้ามีเวลาเราจะไปเที่ยวที่นั่นกันค่ะ” คุณป้าของต้าหลินพูดด้วยรอยยิ้มระบายเต็มใบหน้า

หลังจากคุยกันอยู่สักพักก็ได้เวลาออกเดินทางไปรอรถโดยสาร น้องชายสามตระกูลหลินกำลังรอพวกเขาอยู่ที่สถานี ในอ้อมแขนของเขามีซาลาเปาในห่อกระดาษไขจำนวนหนึ่ง

“พี่ครับ” น้องชายสามตระกูลหลินเรียก

“มาทำไมเนี่ย ฉันบอกแล้วว่าให้นายไปทำงานของนาย ไม่จำเป็นต้องมาส่งหรอก” หลินชิงเหอพูดขึ้นทันที

“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนี่ครับ เดี๋ยวผมค่อยไปหลังจากกลับจากที่นี่แล้วก็ได้ครับ พี่เอาซาลาเปาพวกนี้ไปกินระหว่างทางนะครับ” น้องชายสามตระกูลหลินส่งห่อซาลาเปาไปให้

หลินชิงเหอรับของมา เธอรู้ว่าเขาจะต้องออกนอกเมืองเพื่อไปรับผลไม้และผักต่าง ๆ กลับมาขายอีกจึงเร่งเขา “รีบไปได้แล้ว นายไม่ต้องอยู่รอหรอก”

“ได้ครับ ขอให้ทุกคนเดินทางโดยสวัสดิภาพนะครับ” น้องชายสามตระกูลหลินนั้นงานยุ่งมากจริง ๆ ดังนั้นเขาจึงขี่จักรยานออกไปหลังจากที่พูดจบ

หลินชิงเหอส่งซาลาเปาให้ท่านแม่โจวและบอกว่า “เอาไว้ที่คุณแม่เถอะค่ะ ถ้าพวกเด็ก ๆ อยากกินก็ให้พวกเขากินกันไปได้เลย คุณแม่ด้วยนะคะ ฉันจะไปคืนจักรยานก่อน”

จักรยานที่ขนสัมภาระมานั้นเป็นคันที่เธอเอาออกมาจากมิติ ดังนั้นเธอจะต้องเก็บมันเข้ามิติ เนื่องจากบนรถประจำทางไม่อนุญาตให้นำจักรยานขึ้นไปด้วย

ท่านแม่โจวคิดว่าเธอยืมจักรยานมาจากคนอื่น ดังนั้นนางจึงไม่ได้ว่าอะไร แค่บอกให้เธอรีบไปรีบกลับเพราะรถประจำทางใกล้จะมาแล้ว

หลินชิงเหอขี่จักรยานวนอยู่สักพัก หลังจากเก็บจักรยานเข้ามิติแล้วเธอก็เดินกลับมา ซึ่งรถประจำทางก็มาถึงพอดีตอนที่เธอกลับมาแล้ว

ซูต้าหลินและโจวชิงไป๋ช่วยกันขนกระเป๋าสองใบใหญ่ ๆ ขึ้นรถ

ของส่วนใหญ่เป็นของซูต้าหลินกับโจวเสี่ยวเหมย ท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวไม่ได้มีข้าวของอะไรมากนัก มีแค่เสื้อผ้าบางส่วนกับวิทยุทรานซิสเตอร์เท่านั้น ท่านพ่อโจวจึงสามารถถือกระเป๋าได้ด้วยตัวเอง

ซูต้าหลินและโจวเสี่ยวเหมยจึงดูเหมือนขอทานย้ายที่อยู่พร้อมกับสัมภาระมากมายอย่างแท้จริง

ทุกอย่างถูกขนไปด้วยหมด ทั้งพวกผ้านวมและของอื่น ๆ ไม่อย่างนั้นเมื่อไปถึงเมืองหลวงแล้วจะมีค่าใช้จ่ายเยอะมาก ถ้าจะต้องซื้อของทุกอย่างใหม่หมด

เมื่อต้องย้ายที่อยู่ก็ต้องประหยัดเท่าที่จะทำได้

แม้จะมีสัมภาระเยอะ แต่พวกเขามีซูต้าหลินกับโจวชิงไป๋อยู่ด้วย สำหรับผู้ชายตัวโตสองคนแล้วมันไม่ได้หนักหนาอะไรเลย

หลินชิงเหอเอาเชือกเส้นเล็กออกมาแล้วผูกตัวเด็ก ๆ ทั้งสามคนไว้กับตัวเธอ เธอจะเป็นคนคอยดูแลพวกเขาเอง ในขณะที่โจวเสี่ยวเหมยเป็นคนอุ้มลูกสาวคนสุดท้อง

ในที่สุดเมื่อได้ขึ้นรถไฟกันเรียบร้อยแล้วพวกเขาต่างก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก

แม้ว่าพวกเขาจะต้องใช้เวลาอยู่บนรถไฟกันอีก 2 วัน แต่มันก็ดีกว่าการต้องอยู่บนรถประจำทางมากนัก นอกจากถนนจะขรุขระแล้วยังมีกลิ่นควันจากน้ำมันรถที่เหม็นมากอีกด้วย

กับหลินชิงเหอที่ยังแข็งแรงดีอยู่ก็ไม่เป็นอะไรนัก แต่สำหรับท่านแม่โจวแล้ว นางถึงกับต้องล้มตัวนอนลงทันทีหลังจากที่ขึ้นมาบนรถไฟ เพราะนางคลื่นไส้อาเจียนมาตลอดทางบนถนน นับเป็นการทรมานผู้สูงอายุอย่างแท้จริง

“ป้าสะใภ้ครับ ผมโตแล้ว ป้าไม่ต้องผูกเชือกรอบตัวผมไว้อย่างนี้ก็ได้ครับ” ซูเฉิงพูดขึ้นมาอย่างทำอะไรไม่ถูก

“ป้าจะแก้มัดให้ แต่หนูจะวิ่งซนไปมาไม่ได้นะ เข้าใจไหม?” หลินชิงเหอพูด

“ได้ครับ ผมจะไม่วิ่งซนเลยครับ” ซูเฉิงพยักหน้า

ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางโดยรถประจำทางหรือรถไฟก็เป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ทั้งสองอย่าง

หลินชิงเหอแก้มัดเขาออก และก็แก้มัดให้ซูสวิ่นและลูกสาวคนที่สามด้วย ที่นี่มีผู้ใหญ่อยู่กันหลายคน เมื่ออยู่บนรถไฟแล้วก็ไม่ต้องกังวลอะไรมากนัก

“อยากได้มะเขือเทศกันไหม?” หลินชิงเหอหยิบมะเขือเทศออกมาจากกระเป๋าผ้าของเธอ

“พี่สะใภ้สี่ พี่เอามะเขือเทศมาด้วยเหรอ ส่งมาให้ฉันลูกหนึ่งค่ะ” โจวเสี่ยวเหมยอุทานพร้อมกับแววตาเป็นประกาย แม้ว่าหล่อนจะไม่คุ้นเคยกับการนั่งรถ หล่อนก็ไม่ถึงกับต้องล้มตัวลงนอนทันทีเหมือนคุณแม่ของหล่อน แต่ก็ยังคงรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวอยู่ดี

การได้กินมะเขือเทศที่ทั้งหวานและเปรี้ยวในเวลานี้เป็นอะไรที่สมบูรณ์แบบมาก

หลินชิงเหอแบ่งให้กับทุกคน คนละหนึ่งลูก

หลังจากกินเสร็จก็เป็นเวลาพักผ่อน

หลินชิงเหอมองไปที่โจวชิงไป๋แล้วบอกว่า “คุณก็นอนลงด้วยนะคะ”

“ตกลงครับ” โจวชิงไป๋พยักหน้าเมื่อกำลังคิดอยู่ว่าเขาจะเฝ้ายามช่วงกลางคืนอย่างไร

หลินชิงเหอไม่ใช่คนขี้เหนียว เธอซื้อตั๋วรถไฟแบบนอนซึ่งสามารถนอนราบลงไปได้ทำให้พวกเขานอนหลับได้สบายขึ้น

ซูต้าหลินก็เหนื่อยมากจนหลับไปเช่นกัน

หลินชิงเหอคอยดูซูเฉิงและซูสวิ่นในตอนที่พวกเขานั่งชมวิวภายนอกกัน ส่วนเด็กสาวตัวน้อยก็หลับกันไปแล้ว

“ป้าสะใภ้ครับ ที่ปักกิ่งมีที่เที่ยวสนุก ๆ อยู่เยอะไหมครับ?” ซูเฉิงถาม

“มีที่สนุกๆ อยู่หลายแห่งเลยละจ้ะ แต่ตอนนี้หนูยังไปเที่ยวเล่นที่ไหนไม่ได้นะ หนูต้องตั้งใจเรียนก่อน พอเรียนจบจากมหาวิทยาลัยเหมือนกับพี่ใหญ่ญาติผู้พี่ของหนูแล้ว ถึงตอนนั้นหนูสามารถไปเที่ยวเล่นได้ทุกที่ที่อยากจะไปเลยละจ้ะ” หลินชิงเหอตอบ

“เอ่อ ผมเรียนได้ที่ 2 ในชั้นครับ!” ซูเฉิงพูด

“เก่งมากเลยจ้ะ ต้องขยันเรียนต่อไปนะ” หลินชิงเหอพยักหน้า

ซูสวิ่นก็เรียนจบชั้นประถมปีที่หนึ่งแล้ว และกำลังจะขึ้นชั้นประถมปีที่สองในปีนี้

หลินชิงเหอใช้ภาษาจีนกลางในการสื่อสารกับพวกเขาระหว่างการเดินทาง ทันทีที่สองคนพี่น้องได้ยินว่าที่ปักกิ่งพูดภาษาจีนกลางกัน ทั้งคู่ก็ตั้งใจเรียนรู้จากเธอ

เด็ก ๆ เกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์เรื่องการเรียนรู้ภาษา และพวกเขาก็เรียนรู้ได้ดีมาก

เมื่อเห็นพวกเขาเหนื่อยแล้ว เธอก็ปล่อยให้พวกเขาไปนอน

หลินชิงเหอหยิบหนังสือภาษาอังกฤษขึ้นมาอ่าน เมื่อใกล้ถึงเวลาเธอจึงไปสั่งอาหาร

ซาลาเปาของน้องชายสามตระกูลหลินถูกกินไปหมดแล้วระหว่างทางที่นั่งรถประจำทางมา ส่วนอาหารบนรถไฟมีรสชาติไม่ดีนัก แต่ก็ดีกว่าไม่มีอะไรให้กินเลย

ในมิติของหลินชิงเหอนั้นมีของกินอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็นลูกอม ของว่างหรือผลไม้นานาชนิด ตอนที่เธอเดินทางไปตอนใต้ เธอซื้อผลไม้ตุนไว้หลายอย่างและเก็บเข้าไว้ในมิติ ทั้งหมดถูกตุนไว้แล้วค่อยเอาออกมากินทีละนิดกับโจวชิงไป๋ในช่วงฤดูหนาว

อาหารหลักอย่างเกี๊ยวและซาลาเปาก็มีอยู่ในมิติด้วยเช่นกัน มีแม้กระทั่งข้าวหน้าหมูตุ๋นชามใหญ่ ๆ อยู่หลายชาม ซึ่งเธอให้โจวชิงไป๋ทำเตรียมเก็บไว้ก่อนออกเดินทาง

เนื่องจากทั้งคู่ต่างก็ไม่เคยชินกับอาหารบนรถไฟ

จริง ๆ แล้วโจวชิงไป๋ไม่ได้มีปัญหากับเรื่องนี้มากนัก แต่หลินชิงเหอมี จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะทำตัวเหมือนกับเธอไปด้วย

แต่ในตู้รถไฟนี้ไม่ได้มีแค่พวกเขาเท่านั้น พวกเขาจึงไม่สามารถกินอาหารส่วนตัวเหล่านี้กันตามลำพังได้ ฉะนั้นก็เลยต้องกินอาหารของรถไฟด้วยกัน

……………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

นึกสภาพรถไฟยุคนี้กับรถไฟยุคอนาคตที่แม่จากมาแล้วต่างกันสุดขั้วจริง ๆ ค่ะ หากท่านพ่อท่านแม่โจวได้มารู้สภาพรถไฟของจีนยุคใหม่จะเป็นอย่างไรกันบ้างน้า

ไหหม่า (海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset