บทที่ 372 เรือนสี่ประสานหลังแรก

บทที่ 372 เรือนสี่ประสานหลังแรก

บทที่ 372 เรือนสี่ประสานหลังแรก

“เป็นความคิดของเมียแกใช่ไหม?” ท่านแม่โจวเอ่ยยิ้ม ๆ

“ครับ” โจวชิงไป๋พยักหน้า

ท่านแม่โจวพอจะเดาออก นางรู้นิสัยของลูกชายดี แค่จากร้านนางก็รู้แล้ว และเป็นอย่างที่คาดไว้ มีแต่ภรรยาของเขาเท่านั้นที่จะคิดได้

“พ่อกับแม่ไม่ได้ช่วยอะไรพวกแกเลย” ท่านแม่โจวเอ่ยปากอย่างกระดากใจ

“ไม่เป็นไรครับ เราแค่จ้างคนมาคอยดูแลร้านให้เท่านั้นเอง” โจวชิงไป๋กล่าวอย่างไม่ใส่ใจนัก

เมื่อไม่มีเรื่องอื่นอีก ท่านแม่โจวก็เดินยิ้มกว้างกลับไป

หลัง 2 ทุ่ม ซูต้าหลินก็พาโจวเสี่ยวเหมยมาหา ซึ่งครอบครัวของหลินชิงเหอกำลังนั่งดูทีวีกันอยู่

เวลานี้หู่จือและโจวเอ้อร์นียังไม่เลิกเรียน ทั้ง 2 คนยังเรียนภาคค่ำกันอยู่ และจะเลิกเรียนตอนเวลา 3 ทุ่ม

“ไปรินน้ำมาให้คุณอาเขยกับคุณอาเล็กหน่อยไป” หลินชิงเหอสั่งเจ้าสาม

โจวกุยหลายไปรินน้ำมาให้

หลังจากโจวเสี่ยวเหมยนั่งลงเรียบร้อยก็ถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ “พี่สะใภ้สี่ พี่เปิดร้านใหม่อีกแล้วหรือคะ?”

“อืม เป็นร้านขายเครื่องดื่มอยู่ตรงโรงหนังน่ะ” หลินชิงเหอบอกด้วยรอยยิ้ม

“พี่สะใภ้สี่คะ นี่เป็นร้านที่สี่ของพี่แล้ว พี่ทำไหวได้ยังไงกันคะ? เรามีแค่ร้านเดียวยังรู้สึกว่ามีเวลาไม่มากพอใน 1 วันเลยค่ะ” โจวเสี่ยวเหมยเอ่ยอย่างสะท้อนใจ

ธุรกิจที่ร้านซาลาเปานั้นดีมาก หล่อนและต้าหลินนั้นยุ่งกันตลอดทั้งวันจนแม่ของหล่อนต้องเป็นคนทำอาหารให้ ในขณะที่พ่อก็ต้องไปคนไปรับเด็ก ๆ จากที่โรงเรียนให้ พวกเขาไม่มีเวลาว่างกันเลย

“จะเหมือนกันได้ยังไงล่ะ? เธอ 2 คนลงมือทำกันเอง แต่เราจ้างคนอื่น” หลินชิงเหออธิบาย

“แล้วจะขายได้ไหมคะ?” โจวเสี่ยวเหมยสงสัย

“พี่ก็ยังไม่รู้เหมือนกัน แค่อยากจะลองทำดูก่อนเท่านั้นเอง” หลินชิงเหอตอบ

“ตู้แช่แข็งที่พี่ซื้อมาจากที่ไห่หนานครั้งก่อนก็ซื้อมาใช้เพื่อจะขายไอติมแท่งที่ร้านนี้ใช่ไหมคะ?” โจวเสี่ยวเหมยถาม

“ใช่จ้ะ” หลินชิงเหอพยักหน้า

“เปิด…ที่โรงหนัง…ดีมากเลยครับ” ซูต้าหลินกล่าว

เขารู้สึกว่าพี่สะใภ้สี่สมกับเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยและมีความสามารถที่จะสอนนักศึกษามหาวิทยาลัยได้จริง ๆ ถ้าเปิดร้านใกล้กับโรงภาพยนตร์ ธุรกิจจะต้องไปได้ดีอย่างไม่ต้องสงสัย

“แต่มันก็อยู่ห่างจากโรงหนังไปประมาณ 1 ช่วงถนนนะ” หลินชิงเหอบอกยิ้ม ๆ

แม้ว่าจะอยู่คนละฟากถนน ทว่าทำเลที่ตั้งก็ยอดเยี่ยมมาก ไม่อย่างนั้นเธอจะยอมเสียเงินถึง 3,000 หยวนเพื่อซื้อร้านเล็ก ๆ สภาพโทรม ๆ แห่งนั้นหรือ?

อีกทั้งยังต้องให้หม่าเฉินหมินหาคนมาซ่อมแซมและตกแต่งร้าน ซึ่งต้องใช้เงินไปอีกเกือบ 500 หยวนในการปรับปรุงร้านเล็ก ๆ แห่งนี้ขึ้นใหม่หมด

คู่สามีภรรยานั่งคุยอยู่จนถึง 3 ทุ่มจึงกลับไป

หลินชิงเหอเห็นว่าได้เวลาแล้วจึงกลับเข้าห้องไปพักผ่อนกับโจวชิงไป๋

“หากคราวหน้าจะเราเปิดร้านอีก ต้องปิดเรื่องไว้เป็นความลับนะคะ” หลินชิงเหอบอกเขา

โจวชิงไป๋ไม่เข้าใจ

หลินชิงเหออธิบาย “เดี๋ยวจะแตกตื่นกันเกินไปน่ะสิคะ”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ” โจวชิงไป๋ไม่สนใจ ตอนนี้ประชาชนได้รับอนุญาตให้ทำธุรกิจกันได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าแผงลอยหรือการทำธุรกิจเป็นของตัวเองก็เป็นสิ่งที่รัฐอนุญาตให้ทำได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย แล้วจะมีปัญหาอะไรได้ล่ะ?

รัฐอนุญาตให้ประชาชนบางคนได้มีฐานะร่ำรวยขึ้นมาก่อน จากนั้นก็ผลักดันประชาชนคนอื่นให้มีโอกาสได้ร่ำรวยบ้าง ที่สำคัญร้านค้าทุกแห่งต่างก็จ้างคนงาน ซึ่งเท่ากับว่าประชาชนได้มีงานทำไปด้วย ทำให้การทำธุรกิจได้รับการยอมรับอย่างสูงจากรัฐ

นอกจากนั้นครัวเรือนที่มีรายได้ 10,000 หยวนได้เกิดขึ้นไปทั่วประเทศแล้ว รัฐยินดีอย่างยิ่งที่ประชาชนจะได้ร่ำรวยขึ้น

ส่วนคนรอบ ๆ ตัวคิดอย่างไร โจวชิงไป๋ไม่เคยให้ความสำคัญ

หลินชิงเหอรู้สึกขำในท่าทางที่มั่นใจของชายคนนี้ ทั้งคู่ต่างรู้สึกเหน็ดเหนื่อยกันมาทั้งวัน คืนนี้จึงเข้านอนเร็วกว่าปกติ

และกิจการร้านขายเครื่องดื่มก็ตั้งหลักได้อย่างรวดเร็ว

กำไรในเดือนแรกก็ได้มาอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกัน ร้านได้กำไรเกือบ 500 หยวน และเป็นเงินที่ได้มาจากการขายเครื่องดื่มเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

เมื่อหลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋หาเวลาที่เหมาะสมได้ก็นำตู้แช่แข็ง 3 ตู้และเครื่องซักผ้าอีก 1 เครื่องออกมาจากมิติ จากนั้นก็ให้คนมาขนของจากที่บ้านไปส่งที่ร้าน

ตู้แช่แข็ง 1 ตู้ส่งไปที่ร้านเกี๊ยวและอีก 2 ตู้ส่งไปที่ร้านเครื่องดื่ม หลังจากที่ตู้แช่แข็งถูกส่งไป วันรุ่งขึ้นร้านเครื่องดื่มก็มีไอติมแท่งและไอศกรีมมาขาย

“มีคนขายเมล็ดแตงโมอยู่ติดกับโรงหนังด้วยไม่ใช่เหรอคะ? ลองไปถามพวกเขาดูสิคะว่าอยากจะส่งของให้ที่ร้านเราด้วยหรือเปล่า แล้วให้พวกเขาขายเราในราคาขายส่ง” หลินชิงเหอแนะนำหม่าเฉิงหมิน

“ได้ครับ” หม่าเฉิงหมินพยักหน้า

ไม่นานร้านเครื่องดื่มก็ไม่ได้ขายแค่เครื่องดื่มและไอติมแท่งเท่านั้น แต่ยังมีของกินเล่นอย่างเช่นเมล็ดแตงโมอีกด้วย

เมื่อมีร้านค้าที่ทำกำไรได้เพิ่มขึ้นมาอีกร้าน หลินชิงเหอจึงอารมณ์ดีมาก

โจวกุยหลายถอนใจ “ม้าจะไม่ซื้อกล้องให้ผมแล้วหรือครับ?”

ตู้แช่แข็ง 3 ตู้และเครื่องซักผ้าที่ซื้อมา ไม่มีอันไหนราคาถูกเลย แพงทุกเครื่อง

“รอไปก่อน ถ้ามีเงินเมื่อไหร่เราจะซื้อให้ลูกนะจ๊ะ” หลินชิงเหอกล่อม

หลินชิงเหอพูดไว้อย่างนั้น ทว่าเธอเองก็คาดไม่ถึงว่าเงินเก็บทั้งหมดที่มีอยู่ในบ้านจะถูกใช้ไปจนหมดในคราวเดียว

ในเดือนเมษายน ปี 1982 เรือนสี่ประสานในฝันของหลินชิงเหอก็เป็นจริงขึ้นมาได้ในที่สุด

ยิ่งไปกว่านั้น ยังเป็นเรือนสี่ประสานแบบ 2 วงอีกด้วย

ไม่เพียงเท่านั้น แต่มันยังตั้งอยู่ในทำเลที่ดี ตรงสี่แยกภายในถนนวงแหวนที่ 2 อีกต่างหาก

พื้นที่รวมทั้งหมดก็มีมากถึง 800 ตารางเมตร ในบรรดาเรือนสี่ประสาน 2 วงที่นี่นับได้ว่าอยู่ในระดับชั้นยอดเลยทีเดียว

เนื่องจากว่าโดยทั่วไปแล้วเรือนสี่ประสานแบบ 3 วงจะมีพื้นที่อยู่แค่ประมาณ 900 ตารางเมตรเท่านั้น

หลังจากต้องรอคอยมานานโดยที่ไม่ได้ข่าวคราวอะไรเลย ดังนั้นเมื่อได้ยินข่าวแถมยังเป็นข่าวที่วิเศษมากเช่นนี้จึงทำให้พวกเขาดีใจกันมาก

แต่สำหรับเรื่องราคากล่าวได้ว่าแพงมหาโหด อย่างน้อย ๆ เมื่อเทียบกับราคาตลาดในปัจจุบันก็ถือว่าเป็นราคาสูงเสียดฟ้าจริง ๆ

ราคาแพงกว่าที่หลินชิงเหอคาดการณ์ไว้มาก ซึ่งราคาขายอยู่ที่ 130,000 หยวน

ในยุคของรายได้ครัวเรือน 10,000 หยวน เงินจำนวน 130,000 หยวนจะหมายถึงอะไรได้ล่ะ? ยิ่งไปกว่านั้นนี่ไม่ได้เป็นจำนวนเงินที่น้อย ๆ เลย

แน่นอนว่าหลินชิงเหอกับโจวชิงไป๋ไม่ได้ยากจน รายได้ต่อเดือนของพวกเขาก็ถือว่าน่าประทับใจมาก แต่เมื่อรวบรวมเงินเก็บที่มีอยู่ทั้งหมดในตอนนี้แล้วก็ยังไม่พออยู่ดี

ไม่มีทางอื่นนอกจากต้องขอยืมจากเฒ่าหวังก่อน

มีแต่เฒ่าหวังเท่านั้นที่มีเงินมากพอจะให้พวกเขามาซื้อบ้านหลังนี้ได้ แต่หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋ก็ไม่ได้บอกออกไปว่าจะเอาเงินไปทำอะไร

เฒ่าหวังก็ไม่ได้เอ่ยปากถามเช่นกัน เมื่อได้ยินว่าทั้ง 2 คนต้องการเงินเขาก็ให้เงิน 10,000 หยวนไปและยังถามด้วยว่า “พอไหม?”

“พอครับ” โจวชิงไป๋พยักหน้ารับ

“คุณลุงหวัง เราจะคืนเงินให้ภายในปีนี้นะคะ” หลินชิงเหอรู้สึกซาบซึ้งใจ ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ สำหรับคนรุ่นหลังที่จะขอยืมเงิน 10,000 หยวนจากคนอื่นได้ อย่าว่าแต่เฉพาะในช่วงเวลานี้เลย

ผู้เฒ่าหวังไว้ใจทั้งคู่ด้วยใจจริง

“จะรีบคืนทำไม? ฉันยังไม่ต้องใช้มันหรอก” เฒ่าหวังไม่คิดมาก

เขามีเงินเดือน 50 หยวน ทางมหาวิทยาลัยปักกิ่งเป็นคนดูแลเรื่องค่าอาหารและที่พักให้ บางครั้งท่านพ่อโจวก็ชวนให้ไปกินข้าวด้วยกัน หรือบางทีเขาก็จะมากินที่ร้านเกี๊ยว นอกจากนั้นเขาก็ยังมีรายได้จากการให้เช่าเรือนสี่ประสานแบบ 2 วงของเขาอีกด้วย

ไม่มีเรื่องให้ต้องใช้จ่ายเงินเลยจริง ๆ

และด้วยเงินที่ได้จากเฒ่าหวัง

หลินชิงเหอและโจวชิงไป๋จึงสามารถซื้อเรือนสี่ประสานหลังแรกของพวกเขาในเมืองหลวงได้สำเร็จ

ทั้ง ๆ ที่ใช้เงินที่มีในบ้านไปจนหมด แต่เมื่อสำนักงานจัดการที่อยู่อาศัยจัดการเรื่องการโอนและได้ส่งใบโฉนดและเอกสารอื่น ๆ มาให้แล้ว หลินชิงเหอก็รู้สึกอยากร้องไห้ออกมา

เรือนสี่ประสานของเธอ! พื้นที่กว้างขวางใหญ่โตและอยู่ในย่านทำเลที่ดีขนาดนี้ ต่อให้ชั่วชีวิตที่เหลืออยู่เธอต้องนั่งอยู่เฉย ๆ กับชิงไป๋ของเธอ ก็ไม่มีอะไรให้ต้องกลัวอีกต่อไปแล้ว!

……………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

ในที่สุดแม่ก็ได้เรือนสี่ประสานดังที่หวังแล้วค่ะ เย้ /จุดพลุฉลอง/ เงินที่ทุ่มไปคงจะหาคืนทุนได้ล่ะค่ะ แม่หาเงินเก่งอยู่แล้ว

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset