บทที่ 392 พูดลับหลัง

บทที่ 392 พูดลับหลัง

บทที่ 392 พูดลับหลัง

หญิงชราคนนี้เข้าใจพูดทีเดียว

เพียงประโยคเดียว หล่อนยอมรับว่าครอบครัวของหล่อนเป็นฝ่ายผิด แต่ก็เอ่ยถึงเรื่องที่จ้าวจวินถูกทำร้ายร่างกายขึ้นมาด้วย หล่อนชี้ให้เห็นว่า ถึงแม้จ้าวจวินจะผิด แต่เขาก็พร้อมจะรับผิดชอบเรื่องทั้งหมดนี้

นอกจากนี้ ตอนนี้เรื่องก็เกิดขึ้นแล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะตามเอาเรื่องอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์ เมื่อผลลัพธ์ออกมาดีก็ถือว่าดีมากแล้ว

หลินชิงเหอมีแผนในใจของตนไว้แล้วเช่นกัน ครอบครัวของเธอจะไม่ไปร่วมงานเลี้ยงฉลองการแต่งงานของสวี่เชิ่งเหม่ยอย่างแน่นอน แต่ในตอนนี้เธอเต็มใจที่จะไว้หน้าสวี่เชิ่งเหม่ยสักเล็กน้อย ให้หล่อนได้แต่งงานออกไปโดยเร็วและราบรื่น เพื่อที่เรื่องนี้จะได้จบลงเสียที!

เรื่องนี้ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับเธอเลย ไม่ว่าหล่อนจะมีชีวิตที่ดีหรือไม่ดีในอนาคต สวี่เชิ่งเหม่ยเป็นคนเลือกเขาด้วยตนเอง ฉะนั้นก็ไม่ต้องมาหาเธอ หล่อนโตแล้วไม่ใช่เด็ก ๆ ก็ต้องรับผลจากการกระทำของตนเองให้ได้

และเมื่อพี่สาวใหญ่และพี่เขยใหญ่มาถึง หลินชิงเหอก็ตั้งใจจะคุยบางสิ่งกับทั้งคู่ เธอจะไม่ยอมให้ตนเองได้ชื่อว่าเป็นฝ่ายบกพร่องในเรื่องนี้แน่!

“เกรงใจไปแล้วละค่ะ ในเมื่อตอนนี้เรื่องได้คลี่คลายลงแล้ว ก็ให้มันคลี่คลายไป อีกอย่างพี่สาวใหญ่และพี่เขยใหญ่ของฉันก็รู้เรื่องแล้ว ตอนนี้แค่รอให้จ้าวจวินพาคู่หมั้นกลับไปหาแม่ภรรยาของเขาเท่านั้นเอง” หลินชิงเหอกล่าวด้วยรอยยิ้ม

แม่เฒ่าหูรับรู้ว่าคำพูดของเธอยอดเยี่ยมไม่มีที่ติเลย แต่ก็บอกเป็นนัยว่าเธอจะไม่เกี่ยวข้องด้วย ด้วยเหตุนี้หล่อนจึงรู้ว่าคนผู้นี้กำลังโกรธอยู่

ทว่าหล่อนก็พูดอะไรออกมาไม่ได้ ท้ายที่สุดแล้วก็เป็นหลานชายของหล่อนที่เป็นคนทำเรื่องล่อลวงเช่นนี้ขึ้นมา

เมื่อแม่เฒ่าหูกลับไปแล้ว หลินชิงเหอก็กวาดตามองไปที่สวี่เชิ่งเหม่ย

สวี่เชิ่งเหม่ยกัดริมฝีปากของตน หล่อนก้าวขึ้นมาแล้วคุกเข่าต่อหน้าคุณน้าและคุณน้าสะใภ้ของหล่อน

“เรา 2 คนยังไม่มีใครตาย ถ้าหนูกล้าคุกเข่าอีก ก็อย่ามาโทษกันนะถ้าจะโดนตบกลับไป” หลินชิงเหอไม่ใช่คนที่สามารถจะอดกลั้นอะไรได้ โดยเฉพาะในตอนนี้ที่เธอรู้สึกรังเกียจสวี่เชิ่งเหม่ยเป็นอย่างมาก

ในชีวิตของเธอไม่เคยทำพลาดมากขนาดนี้มาก่อนเลย เพียงแค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น เป็นเพราะความใจอ่อนและอยากจะส่งเสริมหลานสาวของตนเอง!

ไม่คาดคิดว่า กลายเป็นการเลี้ยงดูหมาป่าตาขาวตัวจริงอย่างนี้ให้เติบใหญ่ขึ้น

หน้าของสวี่เชิ่งเหม่ยซีดเผือด “คุณน้าสะใภ้คะ หนู…”

“ไม่ต้องมาแสดงท่าทางอย่างนั้นกับน้าอีก ในเมื่อเธอเลือกทางนั้นแล้ว ก็ควรจะรู้ว่าน้าจะคิดยังไง ต้องการแต่งเข้าไปในครอบครัวตระกูลจ้าวอย่างนั้นเหรอ เยี่ยมไปเลย น้าได้แต่หวังว่าเมื่อแต่งไปแล้ว หนูจะไม่ต้องเสียใจในวันข้างหน้า ส่วนเรื่องอื่นที่เหลือไม่จำเป็นต้องมาพูดให้มากความอีก เพราะสุดท้ายแล้วก็เป็นหนูที่เป็นคนไปอยู่ที่ตระกูลจ้าวในอนาคต” หลินชิงเหอพูดอย่างไม่สนใจ

เมื่อเธอกล่าวจบ ก็ไม่พูดอะไรให้เปลืองน้ำลายอีกต่อไป จากนั้นเธอก็หันหลังเดินเข้าไปในบ้าน

“คุณน้าคะ หนูรู้คะว่าเรื่องนี้หนูผิด แต่หนูไม่เข้าใจ…” สวี่เชิงเหม่ยรู้ว่าคุณน้าสะใภ้ของหล่อนเป็นคนจัดการด้วยได้ยาก ดังนั้นจึงคิดจะอธิบายให้คุณน้าของหล่อนฟัง

แม้ว่าโจวชิงไป๋จะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่คิ้วของเขาก็มุ่นขมวดตั้งแต่ต้นจนจบ สายตาของเขาบ่งบอกถึงความผิดหวังอย่างชัดเจน

“ตั้งแต่เธอมาที่นี่ น้าสะใภ้กับน้าไม่เคยเลยที่จะปฏิบัติกับเธอไม่ดี ตอนนี้ในเมื่อเธอเลือกเส้นทางนี้ งั้นวันหน้าเธอก็เดินต่อไปด้วยตัวเองแล้วกัน” โจวชิงไป๋บอก

เขารู้จักภรรยาของตนดี บางครั้งเธออาจจะเข้มงวด แต่ในความเข้มงวดนี้ไม่ได้เฉพาะเจาะจงไปที่คนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะ

แม้จะเป็นลูกชายของตนเอง เธอก็จะไม่ปรานีเลยเมื่อถึงคราวที่เธอเข้มงวด

ไม่ว่าจะเป็นหู่จือหรือเอ้อร์นี เมื่อพวกเขาทำอะไรผิดหรือไม่สามารถเรียนตามได้ทันในชั้นเรียน พวกเขาก็จะถูกหลินชิงเหอดุด่าอยู่เสมอ แต่เนื่องเพราะพวกเขาไม่ใช่ลูกของเธอเอง ดังนั้นเธอจึงไม่ได้โหดร้ายด้วยมากนัก

เต็มที่แล้วพวกเขาก็แค่ทนโดนด่าไปสัก 1 หรือ 2 ประโยค

และสำหรับเรื่องที่เธอเอาใจใส่ต่อหลานสาวและหลานชายที่พวกเขาพามาเหล่านี้ โจวชิงไป๋รู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี ถ้าเธอไม่อยากจะฝึกฝนพวกเขาแล้วละก็ เธอจะยอมจ่ายเงินให้พวกเขาไปโรงเรียนภาคค่ำได้อย่างไร?

แม้แต่สมุดบัญชีก็เอาไปให้พวกเขาฝึกฝนคำนวณเป็นครั้งคราวและให้พวกเขาได้ลองหัดทำบัญชีกันด้วย

เอ้อร์นีและหู่จือต่างก็มีแรงผลักดัน ทว่าหลานสาวคนนี้ไม่มีความคิดในเรื่องนี้เลย

สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นทางเลือกส่วนตัว เมื่อหล่อนไม่เลือกทางนี้ เช่นนั้นก็ไม่ได้ว่าอะไร ในเมื่อหล่อนต้องการจะดูทีวี ก็ดูไป

ใครจะไปคิดว่า หล่อนจะทำเรื่องอย่างนี้ขึ้นได้จริง ๆ

โจวชิงไป๋เป็นคนหัวโบราณและเข้มงวด เขาไม่มีอะไรจะพูดเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เลวทรามเช่นนี้

เขาไม่เอ่ยอะไรต่อและเข้าไปหาท่านแม่โจว

ท่านพ่อโจวกำลังดูทีวี ในขณะที่ท่านแม่โจวกำลังเอนตัวนอนพักอยู่ในห้อง พร้อมกับเปิดพัดลมไว้ และมีผลส้มอยู่ข้าง ๆ ตัวนาง

โจวชิงไป๋เหลือบมองไปที่ภรรยาของเขาผู้ซึ่งกำลังปอกส้มให้แม่ของเขาอยู่ แต่ไม่ได้เดินเข้าไปหา

“ชิงไป๋กับฉันไปตอนใต้ครั้งนี้ได้เห็นอะไรมาเยอะแยะเลยค่ะ ตอนอยู่ที่นั่น ฉันคิดได้ว่าคุณพ่อกับคุณแม่ยังไม่มีเครื่องซักผ้าใช้ที่บ้านนี้ และต้องลำบากแค่ไหนที่จะต้องซักผ้าสำหรับคนตั้งหลายคน ฉันก็เลยซื้อกลับมาให้คุณแม่เครื่องหนึ่ง อีกไม่กี่วันก็น่าจะถูกส่งมาถึงแล้วละค่ะ” หลินชิงเหอส่งส้มที่ปอกแล้วให้ท่านแม่โจวพร้อมกับพูดคุยไปด้วย

ท่านแม่โจวกินส้มที่ลูกสะใภ้ผู้ซึ่งมีความสามารถมากที่สุดของนางเป็นคนปอกให้ ในใจนางรู้สึกดีขึ้นมาก แต่ก็ยังอดรู้สึกเศร้าใจอยู่ไม่ได้

“บอกซิว่าฉันมีชะตากรรมแบบไหนกัน? อายุขนาดนี้แล้วยังต้องมากังวลเรื่องของเด็กหนุ่มสาวพวกนี้อีก” ท่านแม่โจวพูดอย่างโกรธเคือง

“คุณแม่กับคุณพ่อใช้ชีวิตให้สุขสบายเถอะค่ะ มีความจำเป็นอะไรคะที่คุณพ่อคุณแม่จะต้องมาเป็นกังวล? หลานสาวคนนี้เป็นคนในครอบครัวตระกูลสวี่ ไม่ได้มาจากครอบครัวตระกูลโจวของพวกเราสักหน่อย” หลินชิงเหอพูดน้ำเสียงเรียบเฉย

“ถึงแม้หล่อนจะไม่อยู่ในบ้านตระกูลโจวของพวกเราก็เถอะ แต่หล่อนก็ยังเป็นหลานสาวของบ้านตระกูลโจวอยู่ดี พอพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ช่างเป็นเรื่องที่น่าอับอายจริง ๆ ฉันไม่มีหน้าจะออกไปซื้อของข้างนอกอีกแล้ว” ท่านแม่โจวกล่าวอย่างอดสู

ท่านแม่โจวเคยรู้สึกว่า จริง ๆ แล้วนางก็เป็นคนที่ค่อนข้างจะประสบความสำเร็จในชีวิตมากทีเดียว นางเคยมีชีวิตที่ค่อนข้างยากลำบากในช่วงที่ยังอายุน้อย แต่หลังจากที่เข้าสู่วัยกลางคนแล้ว นางก็ไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องเป็นกังวลอีก

ครั้งแรก ลูกชายคนเล็กที่นางรักมากที่สุดเติบโตขึ้นและได้มีอาชีพเป็นนายทหาร นางเป็นที่อิจฉาของคนในหมู่บ้านอยู่ระยะหนึ่ง

และเพราะรายได้จากลูกชายคนเล็ก สถานะความเป็นอยู่ในครอบครัวก็ดีขึ้นมาเล็กน้อยเมื่อเทียบกับคนอื่นรอบ ๆ ตัวในหมู่บ้าน

ต่อมา นางก็ต้องรู้สึกเสียใจที่ลูกชายคนเล็กต้องเกษียณ ทว่าจู่ ๆ ลูกสะใภ้คนเล็กกลับโดดเด่นขึ้นมาและได้กลายเป็นคุณครูในโรงเรียนมัธยมของชุมชน

ดังนั้น นางจึงได้หน้ามาก

หลังจากนั้นก็ราบรื่นมาตลอด ลูกสะใภ้และหลานชายคนโตสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ ลูกสะใภ้กลายมาเป็นอาจารย์สอนภาษาต่างประเทศในมหาวิทยาลัยปักกิ่ง

ไม่ต้องเอ่ยถึงในเขตนั้นเลย แม้แต่มองหาไปทั่วประเทศ ก็ไม่สามารถจะหาคนแบบนี้ได้อีกเป็นคนที่สอง

หัวหน้าชุมชนยังต้องแวะมาแสดงความห่วงใยเป็นระยะ ๆ พูดได้ว่าในฐานะแม่สามีและย่า นางได้หน้ามากขนาดไหนกันเล่า? เป็นที่นับถือมากขนาดไหน?

ต่อจากนั้น ลูกสะใภ้ก็พาลูกชายคนเล็กและครอบครัวไปอยู่ที่ปักกิ่ง ทะเบียนบ้านของพวกเขาถูกย้ายไปด้วยและพวกเขาก็กลายเป็นพลเมืองของปักกิ่ง

นางและสามีถูกพามาที่นี่เพื่อใช้ชีวิตที่สุขสบาย

เป็นชีวิตที่มีความสุข

แม้แต่ยามที่นางเดินไปกับแม่เฒ่าที่เป็นคนท้องถิ่นของปักกิ่ง นางก็ไม่รู้สึกว่าตนเองด้อยไปกว่าพวกหล่อนเลย

แต่เกียรติยศและความภาคภูมิใจทั้งหมดนี้กลับถูกหลานสาวคนนี้โยนทิ้งลงบนพื้นไปจนสิ้น

หล่อนท้องมีลูกกับใครคนหนึ่งก่อนที่จะได้แต่งงาน ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้นที่หมู่บ้านแล้ว หล่อนคงจะต้องจมน้ำลายจนตายไปแล้ว

แม้ฝ่ายชายจะรับผิดชอบ แต่เรื่องจะไม่จบแค่นี้ ผู้คนจะต้องนินทาลับหลังพวกเขาเป็นแน่!

……………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ไม่ต้องมาตีหน้าซื่อทำเป็นเศร้าซึมเลยค่ะเชิ่งเหม่ย คุกเข่าให้เข่าด้านแม่ก็ไม่ยกโทษให้เธอ เพราะตอนนี้แม่รู้แล้วว่าเธอมันคือนางงูพิษเลี้ยงไม่เชื่อง

ต่อจากนี้ผู้อ่านจำชื่อนางงูพิษนี่ไว้นะคะ เพราะเธอคนนี้แหละจะนำความวุ่นวายมาให้ตระกูลโจวอีกยาว ๆ เลย

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset