บทที่ 433 การเปรียบเทียบที่ทำให้คนแทบคลั่ง

บทที่ 433 การเปรียบเทียบที่ทำให้คนแทบคลั่ง

เมื่อได้เห็นปฏิกิริยาของหู่จือ สวี่เชิ่งเหม่ยก็รู้ว่าจางเหมยเหลียนนั้นหมดหวังเสียแล้ว จึงได้พูดว่า “พี่คิดว่าเธอสองคนกำลังคบหากันอยู่เสียอีก แล้วหล่อนก็ไปหาพี่มาด้วยนะ”

“พี่ก็อยู่ให้ห่าง ๆ จากหล่อนไว้เถอะ อยู่กับหล่อนจะทำให้ชื่อเสียงของพี่ต้องพลอยหม่นหมองไปด้วย” หู่จือแนะนำ

สวี่เชิ่งเหม่ยไม่ได้พูดอะไรกลับไป และถามเกี่ยวกับเรื่องการเรียนของน้องชายหล่อนแทน

หู่จือตอบกล่าวว่า “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะอยู่คนละห้องกับเฉียงจือ แต่ตอนที่ผมถามเขาว่ามีอะไรที่เขาไม่เข้าใจบ้างไหม เขาบอกว่าไม่มี”

สวี่เชิ่งเหม่ยพยักหน้า เนื่องจากมาถึงที่นี่แล้ว หล่อนจึงแวะที่ร้านคุณน้า จากนั้นก็ไปหาคุณตาและคุณยาย

แต่ในครั้งนี้ ท่านพ่อโจวและท่านแม่โจวไม่ได้แสดงสีหน้าดี ๆ ให้กับหล่อนอีกต่อไปแล้ว

“คุณยายคะ หนูอุตส่าห์มาหาทั้งที แต่คุณยายกลับทำสีหน้าแบบนี้ใส่หนู” สวี่เชิ่งเหม่ยกล่าว

“เธอต้องการจะปกปิดความจริงเรื่องที่เฉียงจือทำให้คนต้องเข้าโรงพยาบาลไปอีกนานแค่ไหนกัน?” ท่านแม่โจวถามน้ำเสียงเย็นชา

สวี่เชิ่งเหม่ยถึงกับชะงักงันไปชั่วขณะ เห็นได้ชัดว่าหล่อนไม่คาดคิดว่าคนทางนี้จะรู้เรื่อง พวกเขารู้ได้อย่างไรกัน? ทั้งที่ระยะทางค่อนข้างจะไกลกันทีเดียว

อย่างไรก็ตาม สวี่เชิ่งเหม่ยไม่ได้สนใจในประเด็นเรื่องนี้ต่อ หล่อนรีบอธิบาย “คุณยายคะ ถึงเฉียงจือจะต่อยตีคนจนเข้าโรงพยาบาล แต่คนพวกนี้ก็ทำเกินไป…”

“เกินไปงั้นเหรอ? พวกเขาทุบตีเฉียงจือหรืออะไร?” ท่านแม่โจวถามด้วยสีหน้าแข็งกระด้าง

“เปล่าค่ะ” สวี่เชิ่งเหม่ยอึ้งไป

“เธอก็ยอมรับแล้วนี่ว่าพวกเขาไม่ได้ทำอย่างนั้น พวกเขาไม่ได้ทำร้ายใครเลย แค่นินทาลับหลังคนอื่นเท่านั้น เฉียงจือเข้าไปได้ก็เพราะเส้นสายของครอบครัวเธอ แล้วจะผิดอะไรล่ะถ้าผู้คนจะพูดถึงเรื่องการเล่นพรรคเล่นพวกจากทางญาติน่ะ?” ท่านแม่โจวแหวใส่

“คุณยายไม่รู้หรอกค่ะว่าคำพูดของพวกเขามันแย่ขนาดไหน” สวี่เชิ่งเหม่ยยังพูดต่อ

“อย่ามาแก้ตัวให้เขา เขาเป็นคนแบบนี้ ไม่แปลกที่น้ากับน้าสะใภ้ของเธอถึงได้ไม่เต็มใจให้เขามาที่นี่ เขามาไม่นานก็มามีเรื่องทะเลาะวิวาทแล้ว ต่อไปวันหน้าไม่ต้องเอาเรื่องไร้สาระพวกนี้มาพูดกับยายอีก ไม่อย่างนั้นเธอก็อย่ามาที่นี่!” ท่านแม่โจวพูดด้วยความหงุดหงิด

นางรู้สึกว่ากำลังถูกหลานสาวคนนี้หลอกใช้เป็นเครื่องมือในการโจมตีผู้อื่น ตอนนี้นางไม่กล้าไปเจอหน้าสะใภ้สี่แล้ว นางรู้สึกผิดที่มักจะคิดตำหนิอยู่ในใจว่าสะใภ้สี่แข็งกร้าวเกินไปและไม่แสดงความเมตตาใด ๆ บ้างเลย

เมื่อเกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นมา ท่านแม่โจวก็รู้สึกเสียหน้าจนป่นปี้ไปหมดแล้ว

คิดถึงเรื่องนี้นางก็รู้สึกว่าโชคดีแล้วที่สะใภ้สี่มีทัศนคติที่ไม่ยอมอ่อนข้อประนีประนอมในเรื่องที่เฉียงจือจะมาที่นี่ ถ้าเขามาก่อเรื่องต่อยตีกับคนทางด้านนี้ แล้วจะทำอย่างไร? จะเป็นเรื่องที่ดีหรือถ้าข่าวถูกแพร่กระจายออกไป? พวกเขายังจะสามารถทำธุรกิจต่อไปได้อีกหรือ?

“คุณยายคะ เฉียงจือรู้ตัวค่ะว่าเขาทำผิด ตอนนี้เขากำลังตั้งใจเรียนอย่างหนักเลยค่ะ” สวี่เชิ่งเหม่ยพูดได้แค่นี้

“เขาสมควรที่จะตั้งใจเรียน ถ้าเขากล้าก่อเรื่องอะไรขึ้นมาอีก ยายจะบอกแม่ของเธอให้มาเอาตัวเขากลับไปทันทีเลย!” ท่านแม่โจวกล่าว

สวี่เชิ่งเหม่ยมาหาแต่กลับได้รับการดุด่า หล่อนรู้สึกเสียหน้ามาก

จะอย่างไรพวกเขาก็เป็นหลานชายและหลานสาวคนละสกุลกัน สุดท้ายแล้วก็ถือว่าแบ่งแยกเป็นครอบครัวคนละสายกัน แต่พวกเขาคอยแต่จะดุด่าโดยที่ไม่ได้ถามเลยว่าใครเป็นฝ่ายถูกหรือฝ่ายผิด

ท่านพ่อโจวและท่านแม่โจวไม่ได้คิดจริง ๆ ว่ายังจะมีเรื่องอะไรที่ต้องมาพูดคุยกันอีกในเรื่องนี้

หากทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนต้องเข้าโรงพยาบาลแล้ว จะอย่างไรก็ถือว่าเป็นเรื่องผิดอยู่ดี ถึงแม้จะเป็นฝ่ายที่ถูกก็ตาม อีกอย่างถ้ามีคนแสดงความเห็นไร้ความรับผิดชอบลับหลังตน เช่นนั้นก็ยิ่งต้องทำงานให้หนักขึ้น เพื่อที่ทุกคนจะได้ยอมรับความสามารถของตน

แต่เขากลับตรงไปทำร้ายคนอื่นจนต้องเข้าโรงพยาบาล จะยังมีอะไรให้พูดได้อีกเล่า? เขาทำตัวอย่างกับพวกนักเลงอันธพาลเลย!

สวี่เชิ่งเหม่ยนั่งบนตั่งเย็นสักพักหนึ่ง ก่อนที่หล่อนจะลุกขึ้นแล้วจากไป

ทว่าในตอนที่กำลังจะออกไป หล่อนเห็นหวังหยวนขับรถมาถึงพอดี จากนั้นเขาก็เดินมาพร้อมกับถุงตาข่ายแอปเปิล 2 ถุงเพื่อมอบให้ท่านพ่อโจวและท่านแม่โจวเก็บไว้รับประทาน

นี่คือคนที่รู้ว่าควรเข้าหาคนอื่นอย่างไร เขาจะมาที่นี่เป็นระยะ โดยจะมาร่วมรับประทานอาหารหรือไม่ก็นำของมาให้

สิ่งเหล่านี้ทำให้ท่านพ่อโจวและท่านแม่โจวรู้สึกประทับใจในตัวเขามากทีเดียว อย่าว่าแต่ท่านพ่อโจวและท่านแม่โจวเลย แม้กระทั่งโจวเสี่ยวเหมยและซูต้าหลินก็รู้สึกอย่างเดียวกัน

หวังหยวนไม่รู้จักสวี่เชิ่งเหม่ย ในตอนที่เขาและเอ้อร์นีเริ่มต้นคบหากันอย่างจริงจังและเริ่มมีความสัมพันธ์กับครอบครัวตระกูลโจวนั้น สวี่เชิ่งเหม่ยได้แต่งงานออกไปแล้ว

ในช่วงเวลาอื่น หล่อนก็ไม่เคยได้พบหน้าเขา ดังนั้นสวี่เชิ่งเหม่ยจึงไม่รู้จักหวังหยวนเช่นกัน

ทว่าเมื่อเห็นรถที่จอดอยู่ด้านนอกกับการแต่งกายของเขา หล่อนก็สามารถบอกได้ว่าภูมิหลังของเขาจะต้องไม่ธรรมดาเลย ครอบครัวของพวกเขารู้จักคนที่มีคุณสมบัติเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?

สวี่เชิ่งเหม่ยยิ้มพร้อมทั้งเอ่ยถาม “คุณคือ?”

“ผมมาหาคุณตากับคุณยายครับ” หวังหยวนเหลือบมองหล่อนแล้วตอบกลับ

“ที่นี่เป็นบ้านคุณตาคุณยายของฉันค่ะ คุณมาผิดที่หรือเปล่าคะ?” สวี่เชิ่งเหม่ยถามอย่างงุนงง

“ผมมาที่นี่หลายครั้งแล้วครับ แล้วผมยังจะมาผิดที่อีกเหรอ” หวังหยวนพูดแล้วก็เดินถือแอปเปิลเข้าไป

จากนั้นน้ำเสียงยินดีของท่านพ่อโจวและท่านแม่โจวก็ดังลอดออกมา

สวี่เชิ่งเหม่ยขมวดคิ้วและตามเข้าไป ครอบครัวตระกูลโจวยังมีญาติแบบนี้อยู่ด้วยหรือ?

รถยนต์คันหนึ่งไม่ได้สามารถซื้อหามาได้อย่างสบาย ๆ จ้าวจวินต้องการให้คุณพ่อคุณแม่ของเขาซื้อมาสักคันหนึ่ง แต่คุณพ่อจ้าวและคุณแม่จ้าวก็ยังคงลังเลใจอยู่ ทั้งที่ครอบครัวจ้าวมีเงินอยู่อย่างเหลือเฟือ!

ถึงอย่างไรรถยนต์คันหนึ่งก็มีราคาหลายหมื่นหยวน เป็นราคาที่สูงเสียดฟ้าโดยแท้จริง แม้แต่ครัวเรือนที่มีรายได้ 10,000 หยวนก็ยังไม่สามารถซื้อมาได้เลย!

“คุณตา คุณยาย ทำไมหนูไม่เห็นรู้จักเขาเลยล่ะคะว่าเขาเป็นใคร?” สวี่เชิ่งเหม่ยกลับเข้ามาถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“นี่เธอยังไม่ได้กลับไปอีกเหรอ?” ท่านแม่โจวถาม

“แหม ก็หนูอยากรู้นี่ค่ะ” สวี่เชิ่งเหม่ยตอบยิ้ม ๆ หล่อนช่างหน้าด้านหน้าทนโดยแท้ ไม่ได้สนใจกับคำพูดของท่านแม่โจวเลยสักนิด

“นี่เป็นคนรักของเอ้อร์นี ชื่อหวังหยวน แถมเขายังเป็นเจ้าของโรงงานผลิตเสื้อผ้าที่น้าสะใภ้ของเธอติดต่ออยู่ด้วยนะ” ท่านแม่โจวแนะนำ

หญิงชราจงใจแนะนำอย่างละเอียด ใครบอกให้หล่อนหาคู่มาด้วยตัวเองกันล่ะ แถมยังเลือกผู้ชายที่ปฏิบัติกับหล่อนราวกับของตายมาอีก!

แล้วมาดูชายหนุ่มที่คุณน้าสะใภ้ของหล่อนหามาให้เอ้อร์นีสิ ไม่เพียงแต่จะร่ำรวยกว่าครอบครัวจ้าว ที่สำคัญกว่านั้นเขายังเป็นคนมีความสามารถ ทั้งยังกตัญญูและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่อีกด้วย คนอย่างจ้าวจวินที่คอยแต่ดูถูกเหยียดหยามผู้อื่นจะสามารถเทียบเคียงกับเขาได้หรือ?

สวี่เชิ่งเหม่ยรู้สึกว่าหล่อนแทบจะรักษารอยยิ้มของตนเองต่อไปไม่ไหวแล้ว จึงกล่าวว่า “เป็นคนรักของเอ้อร์นีนี่เอง อย่างนั้นฉันก็ต้องเรียกว่าพี่เขยซิคะ นี่ก็สายมากแล้ว ฉันต้องกลับก่อนแล้วละค่ะ เชิญพี่เขยนั่งอยู่กับคุณยายและคนอื่น ๆ เลยนะคะ”

ตอนนี้หวังหยวนรู้แล้วว่าสวี่เชิ่งเหม่ยเป็นใคร จึงพยักหน้าให้โดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมา

สวี่เชิ่งเหม่ยหันหลังแล้วเดินออกจากบ้านไปด้วยสายตาคลั่งแค้น

คุณน้าสะใภ้ลำเอียงจริง ๆ ด้วย อีกฝ่ายเอาแต่ดุด่าหล่อนในเรื่องที่อยู่กับจ้าวจวินราวกับว่าหล่อนเป็นผู้หญิงใจง่าย เป็นผู้หญิงที่กระหายจะปีนขึ้นที่สูง แต่พอหันกลับมา เธอก็แนะนำผู้ชายที่ร่ำรวยให้กับเอ้อร์นี

ด้วยวัยหนุ่มขนาดนี้ เขาก็สามารถซื้อรถได้และยังมีโรงงานผลิตเสื้อผ้าเป็นของตนเอง นี่มันระดับเถ้าแก่ใหญ่เลยนะ!

หล่อนต้องทุ่มเทมันสมองทั้งหมดเพื่อที่จะได้แต่งเข้าครอบครัวจ้าว ในขณะที่โจวเอ้อร์นีไม่ต้องทำอะไรเลย คุณน้าสะใภ้ของหล่อนกลับแนะนำผู้ชายแบบนี้ให้กับโจวเอ้อร์นี!

ถ้าเธอยินดีที่จะแนะนำใครสักคนที่เป็นแบบนี้ให้เสียตั้งแต่ทีแรก หล่อนจะต้องวางแผนจับคนแบบจ้าวจวินหรือ?

คนอื่น ๆ ในครอบครัวต่างทำงานกันหมดทุกคน มีแต่จ้าวจวินเท่านั้นที่ไม่ได้ไปทำงาน ครอบครัวของเขาร่ำรวยก็จริง แต่ก็ยังไม่ได้แยกบ้านกัน เมื่อไหร่ที่มีการแยกบ้านกันในวันข้างหน้าแล้วจะทำอย่างไร?

การแต่งงานเข้าไปในครอบครัวจ้าวนั้น ภายนอกอาจดูสวยงาม แต่ที่จริงแล้วเป็นเรื่องของการชิงไหวชิงพริบหักเหลี่ยมโหด ซึ่งต้องใช้ทั้งความพยายามและความเหนื่อยยาก

แล้วหันมามองดูหวังหยวนคนนี้สิ ดีกว่ากันมากขนาดไหนเล่า? เขานำของกำนัลมาหาผู้อาวุโสทั้งสองคน ขณะที่จ้าวจวินไม่เคยมีท่าทีว่าต้องการจะมาเลย แม้แต่ในตอนที่หล่อนขอร้องให้เขามาด้วยซ้ำ!

นี่เป็นการเปรียบเทียบกันโดยแท้ว่าของชิ้นไหนควรถูกโยนทิ้งออกไป เป็นการถูกเปรียบเทียบซึ่งทำให้คนโมโหจนแทบคลั่งได้เลย!

……………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ตอนนี้รู้สึกสะใจแปลก ๆ ฟาดนางหลานคนนี้เยอะ ๆ เลยค่ะย่าโจว เอาให้น่วมจนร่อนไปสร้างเรื่องเดือดร้อนที่ไหนไม่ได้ไปเลยค่ะ

อย่างว่านะเชิ่งเหม่ย ก่อนจะด่าอะไรน้าสะใภ้ เธอไปส่องกระโถนปัสสาวะดูเงาสะท้อนของตัวเองก่อนเถอะค่ะว่าเป็นเพราะอะไรที่ทำให้เธอตกต่ำแบบนี้ เธอทำตัวเองทั้งนั้น อย่ามาโทษคนอื่นเลยค่ะ

/นั่งจิบชามองคนตกนรกบนดินด้วยความสมเพช/

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset