บทที่ 502 กำหนดวันแต่งงาน

บทที่ 502 กำหนดวันแต่งงาน

ตอนนี้หล่อนได้แต่งงานออกไปแล้ว ต่อให้ไม่มีความสุขก็ต้องมีความสุขได้แล้ว แต่งเข้าบ้านผู้ชายแบบนี้ไป รู้สึกเหมือนจะเป็นการทำร้ายฝ่ายหญิงไม่น้อย

หลินชิงเหอโทรศัพท์ไปหาพี่สะใภ้ใหญ่ ทว่าเธอไม่ได้ถามถึงโจวลิ่วนีเลยแม้แต่ครึ่งประโยค กลับพูดเรื่องของหวังหยวนกับโจวเอ้อร์นีแทน

“ฉันกับพ่อหล่อนก็ไม่ได้จะว่าอะไรหรอกนะ แค่เห็นหวังหยวนมีอนาคตที่ดีก็พอแล้วล่ะ” สะใภ้ใหญ่โจวพูดด้วยรอยยิ้ม

หากมีลูกเขยอย่างหวังหยวนแล้วพวกเขายังไม่พอใจ จะมีลูกเขยแบบไหนที่พวกเขาพอใจได้เท่านี้อีก?

ครั้งนั้นที่หวังหยวนมาหาพี่สะใภ้ใหญ่ทั้งยังปฏิบัติกับหล่อนอย่างดี นั่นก็ทำให้หล่อนรู้ว่าคนในเมืองหลวงไม่ได้ดูถูกแม่และพ่อภรรยาที่เป็นคนชนบทไปเสียทุกคน

ที่จริงสะใภ้ใหญ่ก็ไม่ได้คิดไว้ว่าจะจัดบ้านเป็นการต้อนรับหวังหยวนอย่างไรบ้าง

ดังนั้นเพื่อที่จะต้อนรับเขา หล่อนและครอบครัวจึงจัดห้องให้ดูใหม่เอี่ยมและเปิดโล่ง ฟูกที่นอนกับผ้าห่มล้วนใช้ของใหม่ทั้งหมด แม้แต่ตะเกียบถ้วยชามรวมไปถึงแก้วน้ำก็เป็นของใหม่เช่นกัน

หล่อนถึงขั้นเรียกโจวเซี่ยมาช่วยทำโต๊ะตัวใหม่ เป็นแบบนี้คงไม่มีทางที่เขาจะไม่ชอบใจแน่

สิ่งที่คนเมืองหลวงกลัวที่สุดก็คือห้องสุขาของคนชนบท(1) พี่ชายใหญ่จึงใช้เวลาทำความสะอาดมันทุกวันในหนึ่งสัปดาห์ ซึ่งการใช้ดินกลบฝังคงจะแก้ปัญหาไปได้มาก

ส่วนสะใภ้ใหญ่ก็ขยันสรรค์สร้างทำอาหารทุกวัน แต่ละวันมีของกินอร่อย ๆ ไม่ซ้ำอย่าง นอกจากอาหารสามมื้อในหนึ่งวันแล้วยังมีของว่างอีกมากมายด้วย เรียกได้ว่าหล่อนงัดทุกกลเม็ดเคล็ดลับใส่ลงไปในอาหารที่ทำเลยทีเดียว

ขนาดลูกชายตัวเอง หล่อนยังไม่ใส่ใจถึงขนาดนี้

แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าความพยายามทั้งหมดนี้ทำให้หวังหยวนประทับใจกับทางบ้านแม่ยายของเขามาก

การกลับไปที่บ้านเกิดในครั้งนี้ไม่เพียงแต่โจวเอ้อร์นีจะดูอวบขึ้น หวังหยวนเองก็เช่นกัน กลับไปแค่ 20 กว่าวัน พวกเขาก็มีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเกือบ 5 ชั่งแล้ว

เท่านี้ก็รู้แล้วว่าอาหารการกินของที่นั่นดีมากขนาดไหน

สะใภ้ใหญ่ดีใจยกใหญ่ที่สามารถทำให้หวังหยวนลูกเขยผู้เลิศเลอจากเมืองหลวงอ้วนขึ้นได้ เหนือสิ่งอื่นใดนั้น มันก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นเลยที่หวังหยวนจะทำให้ผู้ที่เขารู้สึกดีด้วยมีอารมณ์ดีขึ้นมา

ท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวเองก็ดีใจมากเหมือนกันไม่ใช่เหรอ พวกเขามองหวังหยวนไม่แตกต่างจากหลานชายแท้ ๆ แล้ว

ไม่ต้องบอกเลยว่าสะใภ้ใหญ่ดีใจมากขนาดไหนหลังจากที่เขามาเยี่ยม

หลินชิงเหอสัมผัสได้ถึงความปิติยินดีจากน้ำเสียงปลายสายของพี่สะใภ้ใหญ่ จากนั้นทั้งคู่ก็คุยเรื่องสัพเพเหระกันสักพักก่อนจะวางสายไป

ตั้งแต่ต้นจนจบเธอไม่ได้พูดถึงโจวลิ่วนีเลยแม้เพียงครึ่งคำ

หวังหยวนหาฤกษ์งามยามดีมาให้ท่านพ่อโจวและท่านแม่โจว นี่เป็นสิ่งที่แม่ยายของเขาบอกมาว่าให้ผู้เฒ่าทั้งสองเลือกฤกษ์ที่เห็นว่าเหมาะสม

ถึงตอนนั้นแล้วให้บอกคนทางนี้ พวกเขาจะได้มาร่วมเลี้ยงฉลองด้วย

เมื่อท่านพ่อโจวและท่านแม่โจวรู้เรื่องนี้ ทั้งคู่ก็ดีใจมากเช่นกัน

ฤกษ์แต่งงานแบ่งออกเป็น 3 เดือน มีเดือนมีนาคม เดือนเมษายน และเดือนพฤษภาคม

ท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวอยากจะให้พ้นฤดูใบไม้ร่วงไปก่อน เพราะในชนบททั้งปีมีเพียงหลังฤดูเก็บเกี่ยวในช่วงฤดูใบไม้ร่วงเท่านั้นถึงจะสามารถพักผ่อนได้

แต่หวังหยวนไม่อยากรอนานถึงขนาดนั้น จึงเลือกฤกษ์มงคลเหล่านี้มา

เขารักภรรยาสาวคนนี้ แม้ครอบครัวแม่ยายของเขาจะเป็นชาวชนบท แต่คนฝ่ายนั้นก็มีเหตุมีผลดี หากในอนาคตทั้งคู่มีเวลาว่างก็คงจะไปเยี่ยมเยียนพวกเขาเป็นครั้งคราว ส่วนเรื่องอื่น ๆ นั้นคงไม่มีปัญหาอะไร

ที่เขารีบพาคนกลับมาแต่งงาน เป็นเพราะคงอยากจะนอนกอดภรรยาเต็มแก่แล้วไม่ใช่หรือ?

ท่านพ่อโจวและท่านแม่โจวโทรศัพท์กลับไปที่ชนบท พอสะใภ้ใหญ่ได้ยินว่าจะจัดงานเร็วขึ้นอีกก็หัวเราะออกมาเช่นกัน

หวังหยวนบอกกับหล่อนหลายครั้งแล้วว่าอยากแต่งงานเร็ว ๆ

สะใภ้ใหญ่และพี่ชายใหญ่สองสามีภรรยาหารือกันแล้วก็เลือกเดือนสี่ ซึ่งถือว่าไม่ได้ดูเร็วหรือช้าไปนัก บวกกับความคิดที่ลูกเขยอยากรีบพาตัวภรรยากลับไปดูแลที่บ้าน

“แต่งเดือนเมษายนก็ถือเร็วมากแล้วนะ” หลินชิงเหอรู้แล้วก็พูดออกมา

หวังหยวนที่ฟังอยู่จึงรีบพูดขึ้น “นี่ไม่เห็นจะเร็วเลยครับ กว่าจะถึงเดือนเมษายนก็อีกตั้งนาน”

“ที่จริงฉันอยากจะให้แต่งหลังฤดูเก็บเกี่ยวช่วงฤดูใบไม้ร่วงด้วยซ้ำ ตอนนั้นเป็นช่วงพักผ่อนของพวกเรา พ่อตากับแม่ยายเธอจะได้สามารถมาอยู่ด้วยกันหลายวันหน่อย คิดไม่ถึงว่าจะจัดกระชั้นชิดอย่างนี้” หลินชิงเหอพูด

“นั่นก็เป็นเพราะแม่ยายดูแลผมอย่างดี รู้ว่าผมอยากแต่งเร็ว ๆ น่ะครับ” หวังหยวนยิ้ม

สรุปแล้ววันแต่งงานของหวังหยวนกับโจวเอ้อร์นีจึงเป็นเดือนเมษายนของปีนี้ ส่วนตอนนี้พวกเขาถือว่าเป็นคู่หมั้นที่ยังไม่ได้แต่งงานกัน

หลินชิงเหอหาเวลามาพูดเรื่องงานกับโจวเอ้อร์นี

เธออยากถามโจวเอ้อร์นีว่าหล่อนอยากไปทำงานที่โรงงานเดียวกับหวังหยวนหรือไม่

โจวเอ้อร์ส่ายหน้า “หนูอยู่ที่นี่ก็ดีแล้วค่ะ ไม่คิดจะไปทำงานที่โรงงานของเขาเลย”

หวังหยวนอยากให้หล่อนไป และเขาก็เคยพูดเรื่องนี้กับหล่อนแล้วครั้งหนึ่ง แต่โจวเอ้อร์นีไม่อยากจะไปจริง ๆ ถ้าไปเยือนเป็นครั้งคราวนับว่ายังพอไหว แต่ถ้าเป็นเรื่องทำงานแล้ว หล่อนก็ยังชอบทำงานที่ร้านเสื้อผ้าของอาสะใภ้สี่อยู่ดี

หลินชิงเหอดูท่าทางของหล่อนก็ไม่ได้พูดอะไรต่อไป เพียงเอ่ยขึ้นว่า “เดี๋ยวหลังจากแต่งงานไปแล้ว ถ้าหนูท้องขึ้นมาต้องรีบบอกอานะรู้ไหม?”

โจวเอ้อร์นีหน้าแดง “อาสะใภ้สี่คะ นั่นเร็วเกินไปแล้วค่ะ”

“เร็วอะไรล่ะ อีกไม่กี่เดือนเท่านั้นเอง กะพริบตาครั้งหนึ่งก็ผ่านไปแล้ว” หลินชิงเหอพูด

หล่อนจะแต่งงานในเดือนเมษายน ซึ่งถือว่าใกล้เข้ามามาก แถมท่านพ่อโจวกับท่านแม่โจวก็ตกลงกับทางสะใภ้ใหญ่และพี่ชายใหญ่แล้ว จึงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้

สวี่เชิ่งเหม่ยมาหาคุณยายของหล่อนและเพิ่งรู้ว่าโจวเอ้อร์นีกับหวังหยวนเถ้าแก่ใหญ่คนนั้นจะแต่งงานกัน ทั้งยังเป็นช่วงเดือนเมษายนนี้อีกด้วย

หัวใจของหล่อนถึงกับกระตุกไป

ไม่ให้รู้สึกอิจฉาก็คงยาก เพราะหล่อนไม่มีทางเทียบอีกฝ่ายติด หล่อนต้องใช้ความพยายามมากขนาดไหนกว่าจะได้แต่งกับตระกูลจ้าวได้ทั้งยังก่อเรื่องอับอายขายขี้หน้าถึงเพียงนั้น แต่โจวเอ้อร์นีกลับได้แต่งงานกับคนดี ๆ โดยไม่ต้องลงแรงอะไรเลย

ลองมองสิ่งที่หวังหยวนปฏิบัติต่อเอ้อร์นี แล้วหันกลับมาดูสิ่งที่จ้าวจวินทำกับหล่อนสิ ไหนจะเรื่องความก้าวหน้าของหวังหยวนอีก? ขณะที่จ้าวจวินเป็นตัวอะไรก็ไม่รู้?

พูดให้น่าฟังหน่อยก็คือเขาไม่ต้องทำงานอะไรก็มีกินไปจนตาย พูดตรง ๆ เลยก็คือเขาตั้งใจมีชีวิตอยู่ไปวัน ๆ และรอแก่ตายไปก็เท่านั้น

สวี่เชิ่งเหม่ยโมโหจนแทบจะหายใจไม่ออก หลังมาเยี่ยมคุณยายเสร็จหล่อนก็ไม่ได้แวะมาที่ร้านเกี๊ยวและไม่ได้กลับไปที่บ้านตระกูลจ้าวเช่นกัน แต่ตรงไปยังร้านเสื้อผ้าที่หล่อนร่วมกันเปิดกับจางเหมยเหลียนแทน

พอเห็นว่าน้องชายอยู่ หล่อนจึงเดินเข้าไป

จางเหมยเหลียนยังคงรักษาระยะห่างกับสวี่เชิ่งเฉียงเล็กน้อย

“เชิ่งเหม่ยเธอมีเวลามาที่นี่ได้ยังไง” จางเหมยเหลียนเป็นคนถาม

“ฉันแค่อยากแวะมาหาน่ะ ว่าแต่เฉียงจือทำไมนายมาอยู่ที่นี่?” สวี่เชิ่งเหม่ยถาม

“เฉียงจือจะตั้งร้านแผงลอยน่ะ เขาเลยมารับเสื้อผ้าที่นี่” จางเหมยเหลียนพูด

สวี่เชิ่งเหม่ยได้ยินก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เห็นน้องชายกำลังเติบโตขึ้นมากก็รู้สึกยินดี จึงตอบกลับไป “งั้นเหรอ ถ้ามาเอาของก็เอาไปเถอะ”

หล่อนเองก็ไม่อยากให้น้องชายหล่อนใกล้ชิดกับจางเหมยเหลียนมากนักเช่นกัน

“ผมรู้แล้ว พี่กลับไปก่อนเถอะ” สวี่เชิ่งเฉียงพูด

สวี่เชิ่งเหม่ยออกมานานพอสมควรและถึงเวลาต้องกลับบ้านแล้ว ไม่อย่างนั้นแม่สามีของหล่อนคงจะพูดค่อนแคะหล่อนต่างๆ นานา

พอหล่อนเดินจากไป สวี่เชิ่งเฉียงก็ดึงจางเหมยเหลียนมากอดไว้ในอ้อมแขน “ทำไมพอพี่สาวผมมาหาคุณก็ผลักไสผมทันทีล่ะครับ? คุณเป็นของผมมานานแล้วนะ”

“พี่สาวคุณยังไม่ยอมรับฉันน่ะสิคะ” จางเหมยเหลียนพูด

“แล้วมันเกี่ยวตรงไหน รอคุณท้องแล้ว พอถึงตอนนั้นหล่อนจะไม่ยอมรับได้เหรอครับ?” สวี่เชิ่งเฉียงพูด เขาทำข้าวสารให้เป็นข้าวสุกไปแล้วย่อมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงได้ “ว่าแต่นี่ก็นานมากแล้ว ทำไมคุณถึงยังไม่ท้องอีกล่ะครับ?”

……………………………………………………………………………………………………………………….

(1)เนื่องจากห้องสุขาในชนบทของชาวจีนสมัยนั้นยังสร้างเป็นส้วมหลุม (ห้องที่สภาพดีหน่อยก็มีไม้กระดานปิดปากหลุมกันอุจาด บางบ้านไม่มีห้องสุขาก็ใช้วิธีปล่อยข้างทางตามพงหญ้า) เมื่อใดที่เต็มไปด้วยสิ่งปฏิกูลก็จะกลบฝังหลุมเก่าแล้วขุดหลุมใหม่แทน (ภาพจาก https://mgronline.com/china/detail/9620000120774)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset