บทที่ 528 หาเรื่องอีกแล้ว

บทที่ 528 หาเรื่องอีกแล้ว

“ฉันก็กำลังคิดอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรดีน่ะค่ะ” คุณแม่เวิงพูด

“ซื้อร้านค้าสักร้านเปิดขายเสื้อผ้าหรือไม่ก็อาหารทะเลแห้งดีไหมคะ?” หลินชิงเหอออกความคิดเห็น

เธอให้ความเห็นแบบนี้ นั่นก็เพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์อันดีของตนกับแม่เวิง ไม่อย่างนั้นเธอก็คงไม่พูดแบบนี้

“แล้วจะไม่ชนกับร้านของคุณเหรอคะ” คุณแม่เวิงอึ้งและถามกลับ

“เมืองปักกิ่งใหญ่ขนาดนี้ ไม่มีทางมาชนกับฉันหรอกค่ะ แต่ถ้าคุณอยากเปิดล่ะก็ พูดตามตรงพวกเราก็อย่าเปิดร้านใกล้กันเลยค่ะ” หลินชิงเหอพูด

“เปิดร้านอะไรคุณ คนที่บ้านมีงานทำหมด คุณไม่ต้องทำงานก็มีเงินใช้อยู่แล้ว” คุณพ่อเวิงพูด

“มันเหมือนกันที่ไหนคะ คุณไม่รู้เหรอว่าฉันอยู่แต่บ้านจนจะเป็นบ้าแล้ว” คุณแม่เวิงพูดกับเขาพร้อมกับใจเต้นแรง

คุณพ่อเวิงแย้ง “แล้วคุณทำธุรกิจเป็นเหรอ?”

คุณแม่เวิงอึกอัก ในใจหล่อนก็ไม่มีความมั่นใจเหมือนกัน หล่อนไม่เคยทำธุรกิจมาก่อนเลย

หลินชิงเหอเห็นแล้วก็เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอยากทำจริง ๆ ล่ะก็ งั้นก็ลองไปทำงานฟรี ๆ ที่ร้านของฉันดีไหมคะ ดูว่าเป็นอย่างไรไปก่อน ถ้าคิดว่าไม่เลวคุณก็ค่อยเอาไปพิจารณาอีกทีเป็นอย่างไรคะ”

“งั้นก็ได้ค่ะ” คุณแม่เวิงมีดวงตาเป็นประกาย

“แล้วเรื่องอาหารของผมกับกั๋วต่งละ” คุณพ่อเวิงถอนหายใจ

“พวกคุณก็ไปกินข้าวที่โรงอาหารสิคะ ฉันจะกินข้าวกับชิงเหอที่นั่น ไม่กลับไปบ้านแล้ว” คุณแม่เวิงตอบ

หลินชิงเหอยิ้ม การเปิดร้านในตอนนี้ไม่ใช่การตัดสินใจที่ผิดแน่ หากซื้อร้านไว้ก็จะไม่รู้สึกเสียใจภายหลัง ซื้อสักหนึ่งร้านถือว่ากำลังดี หลังจากนี้ก็จะได้กำไรคืนเอง นี่ก็คือเสน่ห์ของยุคสมัยนี้ และเป็นการโกงอีกอย่างหนึ่งเช่นกัน

“ก็ได้ ๆ ถ้าคุณทำไม่ไหวแล้วก็ไม่ต้องไปทำอีกแล้วนะ แต่คุณต้องกลับบ้านเร็วมาทำกับข้าวด้วย” คุณพ่อเวิงพูด

คุณแม่เวิงมองค้อนเขาปะหลับปะเหลือก

หลังแช่น้ำร้อนกันเสร็จ พวกเขาก็อาบน้ำและกินข้าวเย็นที่นี่ด้วยเลย ก่อนจะขับรถกลับ

เวิงกั๋วต้งที่เพิ่งออกไปกินข้าวกลับมาแล้วเห็นพ่อกับแม่ตนเข้าพอดี จึงพูดขึ้น “พ่อกับแม่ไปไหนกับอาโจวเหรอครับ”

“ไปแช่น้ำร้อนกับอาโจวน้าหลินของลูกน่ะแหละ ตั้งแต่พรุ่งนี้ลูกไปกินข้าวที่โรงอาหารกับพ่อลูกนะ ไม่ต้องกลับมากินข้าวที่บ้าน” คุณแม่เวิงพูด

“?” ใบหน้าของเวิงกั๋วต้งปรากฏเครื่องหมายคำถาม ก่อนจะหันไปมองพ่อของตน

“แม่ของลูกจะไปเรียนรู้การเปิดร้านที่โน่น หล่อนวางแผนว่าจะเรียนธุรกิจกับน้าหลินของลูกเพราะว่าอยากเปิดร้านของตัวเอง น่าจะยุ่งมาก ๆ น่ะ” คุณพ่อเวิงถอนหายใจ

ไม่ใช่ว่าเขาดูถูกธุรกิจขนาดเล็กหรอก ธุรกิจขนาดเล็กก็ไม่ได้แย่ แต่เขาไม่อยากให้ภรรยาของตัวเองไปเปิดร้านเองเลยจริง ๆ

“แม่อยู่เฉย ๆ ไม่ไหวแล้ว มันน่าเบื่อเกินไป รู้สึกเหมือนถูกตัดขาดจากสังคม” คุณแม่เวิงบอก

เวิงกั๋วต้งจึงเอ่ยขึ้น “โรงอาหารพวกผมกับข้าวรสชาติแย่มาก”

“แย่ยังไงก็ไม่ต้องมาหาแม่ ไปหาภรรยามาทำกับข้าวเองสิ” คุณแม่เวิงพูดออกมาตรง ๆ

เพียงประโยคเดียวเวิงกั๋วต้งก็สงบปาก จบแล้วเขา อาหารรสชาติแย่อย่างไรก็ต้องกินแล้ว

“อายุปูนนี้แล้ว อากาศเย็นขนาดนี้แทนที่กลับมาจะมีภรรยานอนกอดอุ่น ๆ เตียงเย็นยังไงหม้อข้าวก็เย็นเหมือนกัน ลูกจะผ่านวันเวลาที่ยากลำบากนี้ได้เหรอ?” คุณแม่เวิงเอ่ยอย่างนึกฉุน

“ครับ ๆๆ แม่ก็ทำกิจการของแม่ไปเลยครับ ผมไม่ว่าแม่หรอก” เวิงกั๋วต้งสวนทันควัน

“ลูกว่าไปก็ไม่มีประโยชน์ คิดว่าลูกพูดแล้วแม่จะฟังเหรอ” คุณแม่เวิงส่งเสียงหึ

หลังจากนั้นหล่อนก็นำสมบัติในครอบครัวออกมานับ และพูดกับคุณพ่อเวิง “คุณพอจะรู้จักหน้าร้านที่ไหนไหมคะ”

“คุณอยากจะซื้อเหรอ?” คุณพ่อเวิงถามเสียงเครียด ภรรยาของเขาตั้งแต่สาว ๆ จนถึงตอนนี้ก็ยังคงมีนิสัยประเภทเห็นลมแล้วบอกว่าเป็นฝน*

*ตื่นตูมไปเอง ทั้งที่ยังไม่ทันได้พินิจพิจารณาให้รอบคอบ

“ชิงเหอบอกว่าถ้าจะทำธุรกิจก็ต้องซื้อหน้าร้านน่ะค่ะ” คุณแม่เวิงตอบ

“คุณยังไม่รู้เลยนะว่าต้องทำยังไง ทำไมคุณไม่ไปลองทำดูก่อนละ? รอคุณตัดสินใจได้แล้วค่อยพูดถึงก็ยังไม่สาย” คุณพ่อเวิงพูด

“งั้นฝากคุณดูหน้าร้านดี ๆ ให้ด้วยนะคะ”คุณแม่เวิงสั่ง

“ครับ ๆ ผมจะจำไว้” คุณพ่อเวิงตอบอย่างจนใจ

คุณแม่เวิงได้ยินแล้วก็พอใจและไม่พูดอะไรอีก สวมกอดคุณพ่อเวิงและพูดขึ้น “เหล่าเวิง ฉันดูตำแหน่งที่คุณทำอยู่แล้วก็คิดว่าไม่น่าทำเท่าไหร่ รอให้ร้านฉันทำกำไรได้แล้ว คุณก็ออกมาทำงานที่ร้านของฉันเถอะนะคะ”

“จ๊ะ” แม้ว่าท่านพ่อเวิ่งจะไม่ได้คิดแบบนั้น แต่เขาก็ยังตอบรับภรรยาของตัวเองด้วยความยินดี

เวิงกั๋วต้งเห็นพ่อกับแม่เขาแบบนี้ก็รู้สึกเหมือนถูกป้อนอาหารหมาให้กิน*

*คำศัพท์ในอินเทอร์เน็ต คนจีนจะเรียกคนโสดว่าหมาโสด ดังนั้นจึงเป็นที่มาว่าทำไมว่าเห็นคู่รักพลอดรักจนเกิดอาการอิจา จึงเรียกว่าเหมือนถูกป้อนอาหารหมาให้กิน

แต่เขาได้แต่อิจฉาในใจเท่านั้น พ่อกับแม่ของเขาเป็นคู่รักที่คบกันมานานตั้งแต่เด็ก และจะคบกันไปจนแก่เฒ่า ดังนั้นความรู้สึกที่มีให้กันจึงดีเป็นพิเศษ อายุถึงขนาดนี้แล้วพวกเขายังรักกันเหนียวแน่นอยู่เลย

เขาที่อายุเท่านี้จะมีแบบพ่อกับแม่ของเขาได้ไหมนะ?

วันต่อมาคุณแม่เวิงก็มาที่ร้าน หลินชิงเหอจึงจัดให้หล่อนดูแลร้านเสื้อผ้าที่เอ้อร์นีดูแลก่อนหน้านี้

ช่วงนี้อากาศเย็นลง ทำให้บรรยากาศดูเงียบเหงา กิจการค่อนข้างเรียบเรื่อยธรรมดา แต่ก็ยังมีคนมาซื้ออยู่บ้างเช่นกัน ดังนั้นสำหรับคุณแม่เวิงแล้ว หล่อนจึงยังมีเวลาได้ฝึกฝนอยู่

ไม่ว่าจะเป็นการพับเสื้อ จัดการซ่อมเสื้อผ้า แขวนเสื้อ หรือจัดชุดตัวอย่างพวกนี้ หล่อนยังต้องเรียนรู้อีกมากเลยทีเดียว

ตอนเที่ยงคุณแม่เวิงจึงได้มากินข้าวที่นี่ และพูดขึ้น “ร้านนี้มีขนาดไม่ใหญ่มาก แต่มีงานให้ทำไม่น้อยเลยค่ะ”

“เดี๋ยวชินแล้วก็จะดีเองค่ะ หลังจากเปิดร้านของตัวเองแล้ว ก็จะมีงานยุ่งจนไปไหนไม่ได้ถึงขนาดต้องเรียกเด็ก ๆ มาช่วยเลยล่ะค่ะ” หลินชิงเหอพูด

แม้ว่าจะเหนื่อยเล็กน้อย แต่คุณแม่เวิงกลับรู้สึกมีความสุขที่มีอะไรให้ทำ ตอนเย็นหล่อนก็กินข้าวที่นี่เช่นเดิม กินเสร็จแล้วจึงกลับบ้านของตนเอง

“เหนื่อยไหมครับ” เห็นหล่อนเป็นแบบนี้แล้ว คุณพ่อเวิงก็นวดบ่าให้หล่อนพลางถามขึ้น

“เหนื่อยจริง ๆ ค่ะ มันไม่ง่ายเลย ไหล่ฉันไม่ได้ปวดนะคะ คุณนวดขาให้ฉันดีกว่า” คุณแม่เวิงพูด

ทำงานวันแรกหล่อนก็ยืนเหนื่อยแทบตายแล้ว ต่อไปถ้าเปิดร้านของตัวเอง หล่อนคงต้องเรียกเด็ก ๆ มาช่วยบ้าง

“หรือว่าแม่ทำกับข้าวอยู่ที่บ้านสบายกว่าครับ” เวิงกั๋วต้งพูด

“ไม่ต้องมายุ่งกับแม่” คุณแม่เวิงพูด

เวิงกั๋วต้งลูบจมูกป้อย ๆ ส่งสายตาไปให้พ่อของตน ทว่าพ่อของเขากลับทำเหมือนมองไม่เห็น ไม่สนใจเขาเลยสักนิด

“แต่จะกินข้าวที่โรงงานตลอดไปเลยก็ดูจะไม่ใช่การแก้ไขนะแม่ หรือว่าผมจะไปกินข้าวที่บ้านน้าหลินด้วยแล้วให้ค่าอาหารคุณน้าเขา” เวิงกั๋วต้งพูด

“อายุปูนนี้ยังไม่มีภรรยาทำกับข้าวให้กิน แล้วยังจะไปรบกวนน้าหลินของลูกอีก ลูกไม่อายแต่แม่อายคนอื่นเป็นนะ ไม่ต้องไปเลย!” คุณแม่เวิงพูด

เวิงกั๋วต้งรู้สึกว่าตัวเองถูกครอบครัวระเบิดความเย็นชาใส่อีกแล้ว ตอนนี้แม่ของเขาชอบหาโอกาสมาเหน็บแนมเขาให้เขาเจ็บปวดอยู่เรื่อย ครอบครัวแบบนี้เขาจะอยู่ต่อไปได้ยังไง?

เขาคิด หรือตัวเองควรจะออกไปเช่าห้องสักห้องอยู่ข้างนอกได้แล้ว?

คุณแม่เวิงไปที่ร้านทุกวัน และอาหารการกินที่นั่นก็ไม่มีการเรียกเก็บเงินด้วย

หลินชิงเหอโบกมือลาคุณแม่เวิง เธอจะไปโรงอาบน้ำกับโจวเสี่ยวเหมย

“พี่สะใภ้สี่ พี่รู้หรือเปล่าว่าแม่เฒ่าจูหาเรื่องอีกแล้ว” โจวเสี่ยวเหมยพูดอย่างไม่ไว้หน้า

“หืม?” หลินชิงเหอมองหล่อน

“ปีก่อนก็รู้ถึงความประสงค์ของหล่อนแล้ว แต่ว่าปีนี้กลับไม่มีความเคลื่อนไหว ฉันก็นึกว่ารู้สึกไปเอง คิดไม่ถึงว่าสองสามวันมานี้หล่อนไปหาคุณแม่ทุกวัน พูดยกยอหลานชายหล่อนอยู่นั่น” โจวเสี่ยวเหมยพูด

“หลานชายเป็นที่รักของหล่อนเอง ยังต้องการให้คนอื่นรักหลานชายหล่อนอีกเหรอ” หลินชิงเหอหัวเราะ

“ซื่อนีถูกหมายตาแล้ว” โจวเสี่ยวเหมยพูด

“ก็ถือว่าหล่อนสายตาไม่เลว” หลินชิงเหอกกล่าวและหัวเราะออกมา

…………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

สงสารกั๋วต้งเขานะคะ โดนกดดันรัว ๆ จากคุณแม่เลย ลองลดเสป็กลงมานิดนึงดีไหมคะพี่

แม่เฒ่าจูยังไม่หยุดนะ เดี๋ยวเจอแม่ฟาดกลับแน่

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset