บทที่ 531 ชอบเข้าแล้ว

บทที่ 531 ชอบเข้าแล้ว

เรื่องของตระกูลจูไม่ได้สร้างคลื่นลมอะไรให้กับตระกูลโจวเลยสักนิด เพราะท่าทางของตระกูลใหญ่โจวเป็นไปด้วยความเย็นชา แม่เฒ่าจูเห็นแล้วก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป ท้ายที่สุดจึงวานให้แม่เฒ่าหูไปถาม

ท่านแม่โจวก็ไม่ไว้หน้าเช่นกัน ยายเฒ่าตระกูลจูนี่มีคุณธรรมอะไรกัน? เห็นดังนั้นแล้วนางก็ไม่อธิบายอะไรให้ฟังซ้ำอีก

แม่เฒ่าหูกลับไปอย่างกระอักกระอ่วน หลังจากนั้นก็นำคำพูดมาบอกกับแม่เฒ่าจูด้วยอารมณ์ไม่ดีนักว่า ตระกูลโจวไม่เห็นหลานชายสุดที่รักของนางอยู่ในสายตา

แม่เฒ่าจูโกรธแทบทนไม่ไหว ต่อให้ตระกูลโจวจะมีฐานะอยู่บ้าง แต่เรื่องที่ไม่เห็นหลานชายของนางอยู่ในสายตาเลยมันหมายความว่าอย่างไร?!

หลานชายของนางดีเสียขนาดนั้น ใครได้แต่งงานกับเขามีแต่จะโชคดี!

แม่เฒ่าหูไม่สนใจอะไรอีกแล้ว ให้ตายเถอะ ขืนนางยังเข้าไปยุ่งกับเรื่องไร้สาระของยายเฒ่าคนนี้ก็มีแต่จะเสียทั้งขึ้นทั้งล่อง

อยากได้หลานสาวของฝ่ายนั้นมาแต่งกับหลานตัวเองนักก็ต้องแสดงความดีให้ตระกูลโจวได้เห็น แต่นี่ความจริงใจสักนิดก็ยังไม่มี

หลังจากนี้ก็อย่ามาหานางอีก ต่อให้มาหาอีกครั้ง นางก็จะไม่ช่วยแล้ว

เป็นอันว่าเรื่องนี้ได้พูดออกไปชัดเจนแล้ว ดังนั้นเหตุการณ์นี้จึงยุติลงแต่เพียงเท่านี้ ไม่มีแม้กระทั่งคลื่นลมถาโถมใส่ตระกูลโจวเลยสักเสี้ยวเดียว

โจวข่ายกับเวิงเหม่ยเจี่ยกลับมาถึงบ้านในเดือนธันวาคม

พวกเขากลับมาที่ร้านเกี๊ยวก่อน ทานเกี๊ยวเนื้อแกะหนึ่งชาม จากนั้นโจวข่ายจึงขับรถไปส่งเวิงเหม่ยเจี่ยกลับบ้านของหล่อน

“ลูกกลับมาแล้ว!” คุณแม่เวิงดีใจมาก รีบเรียกลูกสาวและโจวข่ายให้เข้ามาในบ้าน

คุณพ่อเวิงมองแล้วก็รู้สึกเหมือนเห็นลูกสาวพาลูกเขยกลับมาบ้านอย่างไรอย่างนั้น

สำหรับโจวข่ายนั้น คุณพ่อเวิงรู้สึกพึงพอใจเขามาก ทั้งรูปร่างสูงโปร่ง แข็งแรงกำยำ หน้าตาหรือก็หล่อเหลา ปกติคนที่ตัวสูงขนาดนี้จะดูเก้งก้าง แต่โจวข่ายกลับไม่มีท่าทางแบบนั้นเลยสักนิด

เขาเป็นคนแข็งแรงมีพละกำลัง ทั้งยังเปี่ยมความสามารถชนิดที่ว่าไม่สามารถปิดบังได้

ถ้าได้ชายหนุ่มรูปหล่อแบบนี้เป็นลูกเขยของตัวเองแล้ว คุณพ่อเวิงจะไม่พอใจได้อย่างไร?

“ลูก ๆ นั่งกันก่อนสิ เดี๋ยวแม่ไปเอาบะหมี่มาให้กินกันนะ” คุณแม่เวิงพูด

“ไม่ต้องแล้วค่ะแม่ หนูกับพี่ข่ายกินเกี๊ยวเนื้อแกะที่ร้านนั้นมาแล้ว” เวิงเหม่ยเจี่ยพูด

“เกี๊ยวเนื้อแกะของเหล่าโจวก็อร่อยจริง ๆ นั่นแหละ เมื่อวานแม่รู้สึกขี้เกียจทำกับข้าวก็เพิ่งไปซื้อกลับมาห่อหนึ่งเหมือนกัน” คุณแม่เวิงพูดยิ้ม ๆ

หลังจากนั้นหล่อนก็นั่งลงเช่นเดียวกัน แล้วแกะส้มลูกหนึ่งให้โจวข่ายพลางพูดขึ้น “เสี่ยวข่ายจ๊ะ พาเหม่ยเจี่ยกลับมานี่คงลำบากเธอแล้ว”

“เหม่ยเจี่ยต่างหากครับที่ดูแลผม” โจวข่ายพูด

เวิงเหม่ยเจี่ยได้ทีก็เอ่ยฟ้อง “พี่ชายคนนี้เสน่ห์แรงเหลือเกินค่ะ คุณน้าคุณอาที่อยู่ขบวนเดียวกับพวกเรามาขอเบอร์โทรศัพท์ติดต่อพี่เขากันใหญ่ จนเขารำคาญแกล้งทำเป็นหลับ”

โจวข่ายรู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย รับส้มจากมือของคุณแม่เวิงมากิน

คุณแม่เวิงได้ยินก็ไม่พอใจ “คนพวกนี้ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ? ไม่สนิทกันสักนิดแต่อยากได้เบอร์โทรศัพท์ติดต่อกันมันใช้ได้ที่ไหน?”

ตายแล้ว หล่อนจะไม่ยอมให้คนอื่นมาแย่งว่าที่ลูกเขยคนนี้ไปได้หรอก

“อืม ไม่สนิทให้ไม่ได้” คุณพ่อเวิงก็พยักหน้าเช่นกัน

โจวข่ายยิ้มแล้วพูดขึ้น “ไม่มีอะไรหรอกครับ เรื่องแบบนี้ผมให้คุณแม่จัดการแทนได้ ผมเชื่อในสายตาของหล่อน”

“ป้าชอบฟังเธอพูดแบบนี้จริง ๆ จ้ะ สายตาของคุณแม่เธอไม่พูดไม่ได้จริง ๆ นะ ป้าไปซื้อเสื้อผ้าเองก็ยังไม่รู้เลยว่าจะซื้อแบบไหน เลือกไม่ถูกเลยจริง ๆ แต่คุณแม่ของเธอที่ไปด้วยกันกับป้าก็หยิบมาให้แล้วสามตัว แถมแต่ละตัวก็เข้ากันสุด ๆ” คุณแม่เวิงพูดรัวเร็ว

โจวข่ายหัวเราะ

“ป้าเชื่อสายตาของคุณแม่เธอเลยล่ะ เธอก็เป็นคนที่ป้ากับลุงเวิงเห็นมาจนโต จะเลือกภรรยามั่ว ๆ ไม่ได้รู้ไหมจ้ะ? รอให้คุณแม่เธอจัดการให้เถอะ” คุณแม่เวิงพูดต่อ

คุณแม่เวิงก็รู้ทันความคิดของหลินชิงเหอเช่นกัน ดังนั้นหล่อนจึงมีเหตุผลเพียงพอที่จะกล้าพูดออกมา

เวิงกั๋วต้งรู้สึกทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้ว เวิงเหม่ยเจี่ยหน้าแดงก่ำ ส่วนคุณพ่อเวิงก็ทำเป็นหันไปมองทีวี

ไม่ผิดหรอกที่จะบอกว่าเจตนาของคุณแม่เวิงโจ่งแจ้งเสียจนคนที่เดินผ่านไปมายังรู้

โจวข่ายกระแอมไอแห้ง เขาเหลือบมองเวิงเหม่ยเจี่ยแล้วพูดขึ้น “อย่าพูดถึงผมเลยครับ เหม่ยเจี่ยยังมีรักแรกไม่ได้”

“เหม่ยเจี่ยลูกมีรักแรกแล้วเหรอ?” คุณแม่เวิงรีบหันมองลูกสาวตัวเอง

“แม่ เหม่ยเจี่ยโตแล้วนะครับ จะมีแฟนก็เป็นเรื่องธรรมดา” เวิงกั๋วต้งพูด

“ช่างกล้าพูดนะ ลูกอายุขนาดนี้แล้ว แต่ทำไมแม่ยังไม่เห็นลูกมีแฟนเสียที?” คุณแม่เวิงตอกกลับหนึ่งประโยค

เวิงกั๋วต้งถึงกับหุบปาก

“ใช่ค่ะ มีสองคนเขาอยากจะจีบหนู” เวิงเหม่ยเจี่ยพูดเสียงเรียบ

“แล้วทำไมลูกไม่พูด” คุณแม่เวิงนิ่งอึ้งไปสักพัก แล้วเอ่ยขึ้นอย่างอดไม่อยู่

“เหม่ยเจี่ยต้องปฏิเสธไปอยู่แล้วครับ ที่โรงพยาบาลทหารยังมีคนไม่น้อยสนใจหล่อน ผมเองก็คอยจับตามองอยู่ตลอด” โจวข่ายพูด

“น้องสาวฉันมีแฟนน่ะเป็นเรื่องปกติ แต่นายไปจับตามองนี่มันหมายความว่ายังไง?” เวิงกั๋วต้งขมวดคิ้วมองเขา

เขาย่อมรู้ความหมายของพ่อกับแม่เขาอยู่ พวกเขาคล้ายจะมีโจวข่ายเป็นเขยในดวงใจแล้ว แต่ชายหนุ่มคนนี้กลับมีท่าทางเหมือนไม่รู้

“ผมก็คอยมองตลอดนั่นแหละครับ ไม่งั้นเกิดเหม่ยเจี่ยโดนคนหลอกไปจะทำยังไง?” โจวข่ายเอ่ยอึกอัก

“แค่นี้เหรอ ไม่มีเหตุผลอื่นเหรอ?” เวิงกั๋วต้งพูด

โจวข่ายรีบพูดเปลี่ยนเรื่อง “พี่ใหญ่งานเป็นยังไงบ้างครับ เข้าที่เข้าทางดีแล้วใช่ไหม?”

“งานเขาเข้าที่เข้าทางแล้วล่ะจ้ะ มีแค่เรื่องแต่งงานที่ยังไม่เข้าที่เข้าทางเท่านั้น อายุปูนนี้แล้วยังไม่แต่งงานเสียที” คุณแม่เวิงพูดอย่างไม่แยแส ก่อนจะยิ้มให้กับโจวข่ายอีกครั้ง “ป้าคิดว่าแต่งงานอายุ 22-23 น่ะกำลังดีเลย เสี่ยวข่ายล่ะคิดว่ายังไงจ๊ะ?”

โจวข่ายที่ปีนี้อายุจาก 20 มา 21 หยิบแก้วน้ำมาดื่ม นัยน์ตาเหลือบชายมองเวิงเหม่ยเจี่ยนิด ๆ “ครับ กำลังดี”

คุณแม่เวิงพอใจมาก

คุณพ่อเวิงก็พอใจมากเช่นกัน จากนั้นเวิงเหม่ยเจี่ยก็ส่งส้มให้โจวข่ายลูกหนึ่ง

“น้องรัก แกะให้พี่ลูกหนึ่งสิ ดูแลกันมาตั้งแต่รถไฟแล้ว ยังดูแลไม่จบอีกเหรอ” เวิงกั๋วต้งพูด

เวิงเหม่ยเจี่ยจึงแกะส้มให้พี่ชายใหญ่สองลูก ปิดปากที่พูดมากนั้นของเขา

โจวข่ายชอบครอบครัวเวิงมากทีเดียว ก่อนหน้านี้ตอนที่ยังเรียนอยู่ เขาก็มาที่บ้านเวิงนี้บ่อย ๆ จนไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะมาค้างที่บ้านตระกูลเวิงกับเวิงกั๋วเหลียง

เขากลับมาครั้งนี้ก็อยู่ต่ออีกหนึ่งชั่วโมงกว่า ๆ แล้วถึงค่อยกลับไป

“เสี่ยวข่ายยิ่งโตก็ยิ่งองอาจเนอะ” คุณแม่เวิงพูดอย่างดีใจ

“ใช่ ไม่เลวเลย” คุณพ่อเวิงพยักหน้าเห็นด้วย

“อยู่ที่โน่นเขาก็มีฉายาว่านายพลพยัคฆ์เชียวนะครับ มีความสามารถโดดเด่นที่สุดในหมู่ทหารใหม่เลย” เวิงกั๋วต้งเอ่ยเสียงเรียบ

คุณแม่เวิงจึงรีบถามเขาเกี่ยวกับเรื่องของโจวข่าย เวิงกั๋วต้งก็ยกประเด็นขึ้นมาเล่า

คุณแม่เวิงได้ยินแล้วก็พึงพอใจมาก หลังจากนั้นเมื่อนึกถึงเรื่องคู่ครองของลูกสาวขึ้นมาได้ก็พูดขึ้นว่า “จำไว้นะว่าถ้าใครมาขอคบกับลูกให้ปฏิเสธไปให้หมด แม่อยากเป็นญาติกับน้าหลินของลูก เพราะว่าแม่หาครอบครัวไหนที่ดีกว่าครอบครัวของน้าหลินไม่ได้อีกแล้ว”

“หนูเหนื่อยแล้วค่ะ ขอกลับไปพักก่อนนะคะ” เวิงเหม่ยเจี่ยรีบลุกกลับเข้าห้องไป

“เด็กคนนี้นี่….” คุณแม่เวิงเห็นแล้วก็ไม่พอใจ

“ลูกสาวคุณอึดอัดแล้ว คุณก็อย่าจับหล่อนมาปล่อยอย่างนี้สิ” คุณพ่อเวิงพูด

“ก็ฉันเห็นเสี่ยวข่ายก็ชอบเด็กคนนี้เข้าแล้วนี่คะ เด็กนี้อย่ามาทำโซ่ตก[1]ตอนหลังล่ะ ไม่อย่างนั้นฉันไม่ยอมตอบตกลงแน่!” คุณแม่เวิงตอบ

……………………………………………………………………………………………………………………….

[1] ทำโซ่ตก หมายถึง ทำพลาด (ความรู้สึกแบบเตรียมการมาพร้อมแล้ว แต่มาพลาดตอนหลัง) เป็นคำพูดติดปากของคนจีนตะวันออกเฉียงเหนือ

สารจากผู้แปล

เหมือนเจ้าใหญ่เริ่มรู้ใจตัวเองแล้วล่ะค่ะ รอลุ้นว่าเมื่อไหร่จะสารภาพรักกับน้องตุ๊กตานะคะ

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

ทะลุมิติไปเป็นชาวสวนแม่ลูกสาม

*นิยายเรื่องนี้อยู่ในยุค 1960 เทียบกับ พ.ศ. คือ 2503 เป็นยุคที่ประเทศจีนอยู่ในช่วงปฏิรูปการปกครองโดยมีพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นผู้นำ ดังนั้นสรรพนาม ฉากเรื่อง ตัวละคร จะไม่เหมือนกับภาพในนิยายจอมยุทธ์กำลังภายใน จู่ ๆ ก็ทะลุมิติมาเป็นคุณแม่ลูกสามในยุคปฏิรูปการปกครองปี 60 … ใครจะไปคิดว่าชีวิตธรรมดาของ หลินชิงเหอ ผู้จัดการฝ่ายขายสาวจะเผชิญกับความไม่ธรรมดา หลังทะลุมิติเข้าไปเป็นตัวประกอบในนิยายที่เธออ่าน ซึ่งต้องเผชิญกับความยากลำบากของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ไม่มีอะไรจะกินและไม่มีแม้แต่เสื้อผ้าจะสวมใส่ แต่โชคยังดีที่เธอได้พื้นที่มิติส่วนตัวไว้เก็บของ ทำให้เธอรอดตายไปได้ชั่วคราว แต่สิ่งที่น่ากังวลมากกว่านั้นก็คือ บุตรชายทั้งสามของเธอดันเป็นตัวร้ายในอนาคตของนิยายเรื่องนี้น่ะสิ แถมสามีในมิตินี้ของเธอยังต้องพบกับจุดจบน่าอนาถอีกด้วย ตัวประกอบแม่ลูกสามอย่างเธอจะเปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่องและเอาตัวให้รอดอย่างไรดีเนี่ย…

Comment

Options

not work with dark mode
Reset