ฟางเจิ้งโดนเด็กหญิงน้อยน่ารักหยอกล้อ เพียงแต่ตอนนี้เด็กหญิงขาดหายรอยยิ้มในตอนแรกไป มีความเศร้าเพิ่มมาหลายส่วน เห็นได้ชัดเธอรู้เรื่องบิดาถูกตัดสินประหาร เขาจึงลูบหัวเสียวหมี่ลี่ “ไม่เป็นไร โยมทั้งสอง ถ้าจิตใจว้าวุ่นจริงๆ ก็ไปหาพระโพธิสัตว์ที่อุโบสถดู ไม่แน่พระโพธิสัตว์อาจจะช่วยพวกโยมขจัดความทุกข์ได้ อย่างน้อยๆ พระโพธิสัตว์ก็เป็นผู้ฟังที่ดีที่สุด”
หลู่ซวงซวงพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นต้องขอบคุณไต้ซือที่ให้การต้อนรับนะคะ ยังไงไต้ซือช่วยพาหมี่ลี่ไปหน่อยค่ะ”
ฟางเจิ้งมองหมี่ลี่ที่ตาโตน่ารักพลางพยักหน้าเล็กน้อย “โยมวางใจ”
“อืม” หลู่ซวงซวงพยักหน้า ยืนขึ้นเดินไปอุโบสถ
เพียงแต่ว่าในใจหลู่ซวงซวงไม่คิดอย่างนั้นจริงๆ เธอไม่ใช่คนเชื่อเรื่องศาสนา แต่เป็นนักศึกษาเรียนจบจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง ในมุมมองเธอ พุทธะก็ดี เทพก็ดี ล้วนเป็นความหวังที่จิตใจคนสร้างขึ้นมา ของเหล่านี้ เชื่อก็จะมีอยู่ ทว่าที่มีอยู่นี้เป็นการมีอยู่แบบปลอมๆ เพียงแต่แสร้งว่ามีคนคนหนึ่ง จากนั้นนำความลับและถูกผิดยัดใส่อีกฝ่าย อีกทั้งยังได้รับการอภัยจากอีกฝ่ายด้วย ทว่านี่เป็นการหลอกตัวเอง ความจริงเป็นการให้อภัยตัวเองก็เท่านั้น
ดังนั้นเธอจึงไม่สนใจเรื่องการขอพรหรือเล่าเรื่อง เธอเข้าอุโบสถก็ไม่คิดว่าพระพุทธจะช่วยเธอได้ เพียงแค่อยากหาโอกาสให้ตนอยู่เงียบๆ แล้วร้องไห้เท่านั้น…
ตอนนี้ขาดแขนหนักแน่นไว้พึ่งพิงไปแล้ว แถมบนบ่าแขนอ่อนแอของเธอยังมีลูกสาวกับทุกอย่างของครอบครัว กดดันเธอจนเหนื่อยมาก ล้ามาก กระทั่งสับสนเล็กน้อย ไม่รู้ว่าอนาคตจะไปทางไหน มีที่ยึดเหนี่ยวอย่างเดียวคืออยากดูแลลูกสาวให้เติบใหญ่ ที่เหลือไม่รู้อะไรเลย…
เธออยากร้องไห้ แต่เธอที่เป็นเสาหลักครอบครัวจะร้องไห้ต่อหน้าลูกสาวไม่ได้เด็ดขาด เลยได้แต่อดกลั้นไว้
โทษของหานเซี่ยวกั๋วหนักเกินไป ถึงขั้นญาติพี่น้องก็ให้อภัยเขาไม่ได้ แม้แต่หลู่ซวงซวงกับหานเสียวหมี่ยังแบ่งเส้นกับเขา ตอนนี้ทั้งโลกเธอหาที่รับฟังคนที่สองไม่เจอเลย หาสถานที่และคนที่ทำให้เธอวางใจอยู่เงียบๆ ร้องไห้ไม่ได้
สุดท้ายเธอก็มาที่นี่ ความจริงเธอก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงมา…
แต่เป้าหมายที่มาที่นี่แค่อยากร้องไห้เท่านั้น…จากนั้นยังต้องดำเนินชีวิตต่อไป แม้โลกนี้จะกลายเป็นมืดครึ้มก็ตาม
ทว่าทันทีที่หลู่ซวงซวงเดินเข้าอุโบสถ จิตใจเธอผ่อนคลายลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ ความคิดที่กดดันอารมณ์ความรู้สึกลดน้อยลงมาก ราวกับประตูกักน้ำปล่อยฟางเส้นสุดท้าย ความเศร้าหลั่งทะลักออกมา หลู่ซวงซวงคุกเข่าลงบนเบาะนั่ง ร้องไห้เป็นสาวเจ้าน้ำตา
ฟางเจิ้งพาหานเสียวหมี่มายืนหน้าประตู หลู่ซวงซวงหันหลังให้สองคน หานเสียวหมี่จึงไม่รู้ว่าหลู่ซวงซวงร้องไห้ แต่ฟางเจิ้งรู้ บ่าสั่นแบบนั้นอธิบายทุกอย่างแล้ว
“หัวโล้นใหญ่คะ แม่หนูทำอะไรอยู่?” หานเสียวหมี่ถาม
ฟางเจิ้งยิ้มเล็กน้อย ขยี้หัวเธอ “กำลังคิดถึงเรื่องบางอย่าง เรื่องที่สำคัญ หัวโล้นน้อยมีผมแล้ว จากนี้จะเรียกเสียวหมี่ลี่แล้วกัน เสียวหมี่ลี่ เธอชอบสัตว์ตัวน้อยไหม”
“ชอบค่ะ…ตอนพ่อยังอยู่จะพาหนูไปสวนสัตว์บ่อยๆ แต่สวนสัตว์อำเภอซงอู่เล็กมากเลย มีแค่กิ้งก่าที่ไม่เคยขยับเลย แล้วก็มีหมาป่าที่ไม่รู้ว่าเป็นหมาหรือเปล่าอีกสองตัว อืม…แล้วก็มี…” เสียวหมี่ลี่บ่น
ฟางเจิ้งพูดไม่ออก เขาเคยไปสวนสัตว์นั้นตอนเด็กเหมือนกัน ไม่นึกเลยว่าผ่านมานานขนาดนี้แล้วยังไม่เปลี่ยนไปเลย ยังคงมีสัตว์แก่ๆ แค่สามชนิด…หลอกลวงไปแล้ว โดยเฉพาะกิ้งก่านั่น ตอนแรกเขาคิดว่ามันมีชีวิต เพียงแค่ขี้เกียจขยับก็เท่านั้น ต่อมาถึงรู้ว่าเจ้านั่นเป็นหุ่นสตาฟ ชาตินี้อย่าหวังให้มันขยับเลย
แต่ฟางเจิ้งไม่ได้บอกเสียวหมี่ลี่ เขาพาเธอไปยังใต้ต้นโพธิ์ จากนั้นเคาะลำต้น
ต่อมากระรอกมุดหัวออกมาจากโพรงไม้ ส่งเสียงร้องจี๊ดๆ “อย่าเคาะ วันนี้ไม่มีเมล็ดสน!”
ฟางเจิ้งพลันเก้อเขิน ดีที่เสียวหมี่ลี่ไม่เข้าใจภาษากระรอก เลยขจัดความเขินของเขาได้ จากนั้นเขากวักมือเรียกกระรอก “อมิตาพุทธ เจ้าตัวน้อยลงมาหน่อย มาเล่นกับโยมน้อยสักเดี๋ยว”
“ไม่ไป นายอย่าคิดหลอกให้ฉันออกมาเพื่อขโมยเมล็ดสนเลย!” กระรอกน้อยตอบด้วยท่าทีว่าฉันฉลาดมาก
ฟางเจิ้งตาเปล่งประกาย เจ้านี่มีของอยู่จริงๆ!
กระรอกน้อยรู้ว่าตนหลุดปากจึงมองฟางเจิ้งเหมือนระวังโจรอย่างไรอย่างนั้น
ฟางเจิ้งกล่าว “นายลงมาเถอะ ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย ไม่อย่างนั้นวันนี้ไม่ต้องกินข้าว”
ช่วงแรกกระรอกส่ายหน้า แต่พอได้ยินว่าไม่ได้กินข้าวก็รับไม่ได้! ตอนนี้ข้าวผลึกกลายเป็นอาหารชั้นหนึ่งของมันไปแล้ว ไม่ว่ายังไงก็ขาดไม่ได้!
ดังนั้นกระรอกน้อยจึงลงมาภายใต้ความหลงระเริงในอำนาจของฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งกระซิบข้างหูกระรอกบอกเรื่องราวชีวิตของเสียวหมี่ลี่ กระรอกน้อยเกาหัว มองฟางเจิ้งอย่างระแวง “ฉันจะเล่นกับเธอ แต่นายห้ามขโมยเมล็ดสนของฉัน!”
“ขี้งกจริงๆ ใจกว้างหน่อยไม่ได้รึไง? เอามาสองอันดูแลแขกหน่อยไม่ได้เหรอ? ถือว่าฉันยืมก็ได้ แล้วเดี๋ยวสักวันเราไปเก็บใหม่ด้วยกันดีไหม?” ฟางเจิ้งหมดคำจะพูด เจ้าตัวน้อยหวงของนี่ทำให้เขาหมดคำจะพูดจริงๆ
กระรอกเอียงศีรษะตรึกตรอง ไม่รู้ว่าคำนวณอะไรอยู่ สุดท้ายก็ทำหน้าไม่แยแส “นายนี่โง่นัก ไม่รู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี”
จากนั้นเจ้าตัวน้อยขึ้นไปบนต้นไม้ ไม่นานก็เอาเมล็ดสนออกมาจริงๆ ฟางเจิ้งมองแวบแรกก็พูดไม่ออก เจ้าขี้งกเอาเมล็ดสนออกมาแค่สองเมล็ดจริงๆ!
ส่วนเสียวหมี่ลี่มองฟางเจิ้งกับกระรอกตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ พูดให้ชัดคือกำลังมองกระรอกน้อย! เห็นฟางเจิ้งคุยกับกระรอกได้ดวงตาโตของเธอเปล่งประกายไม่น้อย โดยเฉพาะหลังจากเห็นความฉลาดของกระรอกแล้ว ก็ชอบยิ่งกว่าเดิม
เพียงแต่ว่าเด็กน้อยมีความกลัวและอาย ไม่กล้าตะโกนเรียกกระรอก เพียงแค่ใช้ดวงตาโตสดใสมองกระรอกด้วยความปรารถนาและเฝ้าหวังอย่างมาก
ฟางเจิ้งเห็นแบบนั้นก็เคาะกระรอกน้อย “จะให้ฉันดูของขวัญทำไม? ยังไม่ให้ไปอีก?”
กระรอกน้อยไต่ไปตามจีวรฟางเจิ้ง จนเมื่ออยู่ระดับความสูงเท่าเสียวหมี่ลี่แล้วถึงส่งเมล็ดสนสองเมล็ดให้เธอ
เสียวหมี่ลี่ร้องด้วยความดีใจและตื่นเต้นมาก “นายให้ฉันเหรอ?”
กระรอกน้อยมองฟางเจิ้ง ฟางเจิ้งทำหน้าประมาณว่าถ้านายไม่ให้ฉันจะหักมื้อเย็นนาย กระรอกน้อยมองเสียวหมี่ลี่อีกครั้ง จากนั้นกลั้นความเจ็บปวดวางเมล็ดสนสองเมล็ดลงบนมือเสียวหมี่ลี่
เสียวหมี่ลี่พลันดีใจใหญ่ ถือมันในมือราวกับสมบัติล้ำค่า ก่อนพูดกับกระรอกน้อย “ขอบคุณนะ!”
จากนั้นเสียวหมี่ลี่ยกเมล็ดสนสองเมล็ดนั้นขึ้นสูง ให้ฟางเจิ้งดู “หัวโล้นใหญ่คะ ดูสิว่ากระรอกน้อยให้หนูด้วย! สวยมาก! นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ได้ของขวัญจากสัตว์…”
ฟางเจิ้งยิ้ม “เสียวหมี่ลี่ กระรอกน้อยให้เธอ เป็นตัวแทนมิตรภาพระหว่างพวกเธอ ใช้ไหมเจ้าตัวน้อย…”
ฟางเจิ้งจิ้มพุงกระรอกน้อย ตั้งแต่เจ้านี่เข้าวัดมาก็อ้วนขึ้นทุกวัน…
กระรอกน้อยสะบัดหางใส่ฟางเจิ้ง ก่อนวิ่งไปอยู่บนบ่าเสียวหมี่ลี่ ร้องจี๊ดๆ พูดจาไม่ดีถึงฟางเจิ้งว่าจู่ๆ ก็จะหักมื้อเย็นอย่างไร้เหตุผลอะไรทำนองนี้…
…………………………….
Related