ตอนนี้เองจูหลินเห็นตัวเองอีกคนเดินมาไกลๆ ข้างกายมีคนสองคน มองเห็นไม่ชัด แต่เดินไปพลางคุยไปพลาง ดูเธอมีความสุขมาก…
สองคนข้างกายเห็นใบหน้าเลือนรางมาก แต่ในความเลือนรางมีเอกลักษณ์เล็กน้อย จูหลินเรียนศิลปะ เลยชำนาญเรื่องการเก็บรายละเอียดมาก มองไม่กี่ทีก็ร่างหน้าตาคร่าวๆ ของคนออกมาได้
ตอนที่เธอเห็นอย่างละเอียดนั้น ภาพแตกเป็นเสี่ยงๆ…
จูหลินรู้สึกแค่ว่าแสงตะวันแยงตาจึงใช้มือบังแสงโดยจิตใต้สำนึก จนปรับตัวได้แล้วถึงพบว่าฟางเจิ้งหายไปแล้ว! หลวงจีนน้อยที่หันหลังให้แสงตะวัน แฝงไว้ด้วยความสิริมงคลและลึกลับหลายส่วนหายไปแบบนี้เลย!
จูหลินมองท่าเรืออยู่ไกลๆ พลางทอดถอนใจ “เป็นผู้วิเศษจริงๆ ด้วย…เมื่อกี้เป็นภาพหลอนหรือความฝันกัน รู้สึกสมจริงมาก”
จูหลินประนมสองมือไปทางไกลๆ “ขอบคุณไต้ซือที่ชี้แนะมาก จากนี้ถ้าเจอแบบนี้จะระวังอย่างแน่นอน”
พูดจบจูหลินก็หมุนตัวเดินไป
ตอนนี้เองฟางเจิ้งอยู่ไหน? หายไปราวกับผู้วิเศษนอกโลกจริงๆ? แน่นอนว่าไม่ใช่…
“ใครมันชั่วขนาดนี้ ฝาท่อล่ะ?!” ฟางเจิ้งแหงนหน้ามองฟ้าด้วยความกลัดกลุ้มมาก ไม่ผิด หลังใช้อภินิหารความฝันยามต้มข้าวฟ่างแล้ว เพื่อไม่ต้องอธิบายเรื่องยุ่งยากต่างๆ เลยคิดจะย่องหนีไป ทว่ารีบไปหน่อย ก้าวเท้ายาวตกลงไปในท่อน้ำ
ดีที่ท่อน้ำแห้ง ดูแล้วน่าจะทิ้งร้าง ส่วนเขามีจีวรขาวจันทร์ปกป้องเลยไม่ได้มีจุดจบเหม็นเน่าทั้งตัว
พอปีนขึ้นมาก็เห็นเงาแผ่นหลังจูหลินเดินไปไกลพอดี จึงส่ายหน้าเล็กน้อยแล้วไปยังท่าเรือ
“ขอโทษนะ ไม่มีที่แล้ว ท่านรอเรือลำต่อไปเถอะ” ชายร่างกำยำขวางฟางเจิ้งไว้
ฟางเจิ้งมองเรือที่ยังมีที่ว่างพลางตอบกลับ “อมิตาพุทธ โยม บนเรือก็ยังมีที่อยู่นี่?”
“ขอโทษ เรือพวกเรานั่งกันแค่นี้ ท่านรอลำต่อไปเถอะ” ผู้ชายพูดจบก็กระโดดขึ้นเรือ ติดเครื่องยนต์แล่นไป
ฟางเจิ้งเหงื่อซึม นี่มันเรื่องอะไรกัน? ทว่าเขาก็รู้แล้วว่าเรื่องนี้มันแปลกๆ เล็กน้อย
ฟางเจิ้งรออยู่ครู่หนึ่งเรือลำต่อไปก็มาถึง แต่พอเขาจะขึ้นเรือก็ยังถูกขวางเอาไว้ สุดท้ายคนที่ขึ้นเรือพูดกับฟางเจิ้งตรงๆ ว่า “เณร ท่านอย่าเสียแรงเปล่าเลย จะบอกให้นะ ท่านไปทำให้ใครไม่พอใจมาก เรือพวกเราไม่ต้อนรับท่าน ถ้าแน่จริงก็ว่ายน้ำไป ถ้าไม่อย่างนั้นก็คิดเอาว่าจะแก้ปัญหายังไง”
ฟางเจิ้งมึนงงกว่าเดิม ตลอดทางมานี้นอกจากโจรพวกนั้นแล้วก็ไม่ได้ล่วงเกินใครนี่?
คิดไปคิดมาก็นึกออกอยู่บ้าง ดูท่าเขาคงไม่มีทางนั่งเรือข้ามไปได้แล้ว จึงร้อนใจเล็กน้อย
ถึงพิธีสวดมนต์เพื่อสิริมงคลต้องรับฤดูใบไม้ผลิจะจัดวันมะรืน แต่วันนี้เป็นวันที่นักบวชจากวัดจำนวนมากรวมตัวกัน ถึงยังไงพิธีใหญ่ขนาดนี้รวมนักบวชจากวัดต่างกันมากมาย จึงต้องจัดเตรียมก่อนล่วงหน้าเป็นธรรมดา ตามกฎแล้ววัดที่ไม่มาในวันนี้จะถูกยกเลิกสิทธิ์เข้าร่วมพิธีสวดมนต์เพื่อสิริมงคลต้องรับฤดูใบไม้ผลิ นี่ยังเบา ที่สำคัญคือวัดเมฆาขาวเชิญคุณด้วยตัวเอง แต่คุณไม่มา? นี่เรียกว่าตบหน้าวัดเมฆาขาวรึเปล่า? จะต้องเป็นการล่วงเกินอย่างแน่นอน วันข้างหน้าอย่าหวังจะได้ร่วมพิธีสวดมนต์เพื่อสิริมงคลต้องรับฤดูใบไม้ผลิของวัดเมฆาขาวอีก
กระทั่งตอนที่วัดอื่นมีกิจกรรมอะไรก็จะไม่เชิญไปด้วย คนที่ไม่ให้เกียรติคนอื่นก็จงอยู่กับความกลัดกลุ้มไปเถอะ ดังนั้นแล้วถ้าไม่แก้ปัญหาเรื่องนี้ ได้มีปัญญาตามมาไม่ขาดสายแน่!
ฟางเจิ้งร้อนใจเล็กน้อย เดินไปมาข้างแม่น้ำ ตรึกตรองว่าจะข้ามฟากไปยังไง…
ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำเป็นชายสูงอายุคนหนึ่งนั่งดูดยาสูบอยู่บนตอไม้
ข้างๆ เป็นหลวงจีนรูปหนึ่งยืนอยู่ ยิ้มกล่าว “ตู้เหล่า ขอบคุณสำหรับเรื่องนี้มากนะ”
“หึ พวกทำพุทธศาสนาเสื่อมเสียคิดเหรอว่าจะได้ร่วมพิธีสวดมนต์เพื่อสิริมงคลต้องรับฤดูใบไม้ผลิ?! วางใจเถอะอู้หมิง ไม่หลวงจีนนี่ว่ายน้ำมาก็ต้องดูอยู่ฝั่งตรงข้ามแหละ เรือแม่น้ำขาวให้เกียรติฉันอยู่บ้าง ถ้าฉันไม่บอกก็ไม่มีใครรับเขาหรอก!” ตู้เหล่าเคาะยาสูบแล้วยิ้มเยาะ
อู้หมิงยิ้ม “ถูก ตู้เหล่าทำแบบนี้มีคุณธรรมและบารมีสูง ส่วนฟางเจิ้งนั่น เฮ้อ…ไม่พูดถึงเขาแล้ว ในใจคงลนลาน เด็กดี ไม่ชะล้างร่างกายให้บริสุทธิ์แต่ดันออกบวช พวกลวงโลกจริงๆ…เฮ้อ…”
“อู้หมิง ท่านบอกว่าเขาหลอกสีกาแถมยังแอบวางเพลิงเพื่อให้คนเชื่อเขาด้วยนี่จริงไหม?” ตู้เหล่ายังสงสัยเล็กน้อย
อู้หมิงตอบ “ตู้เหล่า อาตมาไม่กล้าบอกว่าจริงหรือไม่จริงหรอก เพียงแค่ท้องถิ่นมีข่าวลือแว่วมานานแล้ว ต้นไม้ย่อมมีร่มเงา คนเราย่อมมีชื่อเสียง ต่างกันตรงไหน?”
ตู้เหล่าพยักหน้า “ก็ใช่ หลวงจีนนั่นฉันไม่คุ้นหน้าเลย แต่เจ้าหนูอย่างท่านใช้ได้”
อู้หมิงกล่าว “แน่นอน ตู้เหล่า อาตมาขึ้นเขาไปก่อนนะ ทางนี้ฝากท่านด้วย”
“ไปเถอะ เห็นว่าจะรวมกันที่ผามองภูมิลำเนา ท่านเห็นตรงนี้ชัดเจนอยู่แล้ว ถ้ามีอะไรฉันจะไปหาท่าน” ตู้เหล่ากล่าว
อู้หมิงดีใจใหญ่ รีบบอกลาไป
‘รวมที่ผามองภูมิลำเนาจริงๆ ฮ่าๆ…ดีมาก ร่วมพิธีสวดมนต์ต้อนรับฤดูใบไม้ผลิพลางได้เห็นเจ้าเด็กทึ่มยืนเหม่ออยู่ริมฝั่งแม่น้ำด้วย ฮ่าๆ…ประเสริฐๆ! ระบายความแค้นแล้วโว้ย!’ อู้หมิงดีใจ ฮัมเพลงเบาๆ พลางขึ้นเขาไป เขาเหมือนเห็นวัดเอกดรรชนีหงอยเหงา จากนั้นปิดวัด
อู้หมิงขึ้นเขามาก็เจอกับคนจากวัดต่างๆ พอสมควร เขากระซิบข้างหูหงเสียงว่า “นายไปดูตรงตีนเขา อย่าให้เกิดความผิดพลาดเรื่องฟางเจิ้งอย่างเด็ดขาด”
“วางใจเถอะศิษย์พี่อู้หมิง ตู้เหล่าเป็นอาผมเอง รับรองว่าช่วยท่านจัดการได้แน่!” พูดจบหงเสียงก็ลงเขาไป
หงเสียงลงเขามาแล้วนั่งข้างตู้เหล่า มองฟางเจิ้งอีกฟากของแม่น้ำที่วนไปวนมาไม่ไปไหน ก่อนหัวเราะเยาะในใจ ‘ไอ้หนู แกทำให้คนมาจุดธูปวัดพวกเราน้อยลง ฉันก็จะให้วัดแกเปิดต่อไปไม่ได้เหมือนกัน…หึๆ…’
ตอนนี้ฟางเจิ้งกลัดกลุ้มจริงๆ แล้ว เรือไม่รับเขา จะข้ามแม่น้ำยังไง
ชั่วขณะที่กำลังจนตรอกนั้น ผิวน้ำพลันหมุนม้วนเกิดฟองอากาศ ฟางเจิ้งปิ๊งไอเดีย ยิ้มกล่าว “มีสิ!”
ฟางเจิ้งนั่งยองลงพูดข้างแม่น้ำ “มีปลาไหม?”
หงเสียงอีกฟากเห็นฟางเจิ้งพลันนั่งยองลงข้างแม่น้ำ พูดพึมพำบางอย่างจึงเกาหัว “อา เจ้านั่นทำอะไร?”
“อาอะไร? ไม่ได้ตระหนักอะไรเลยใช่ไหม มิน่าวัดเมฆาขาวไม่รับแก จำเอาไว้ จากนี้เรียกฉันว่าโยม! แกบวชแล้วเข้าใจไหม?” ตู้เหล่าต่อว่า
หงเสียงรีบเปลี่ยนคำ “อมิตาพุทธ อาตมารู้แล้ว โยม ฟางเจิ้งนั่นกำลังทำอะไร?”
“ใครจะรู้ล่ะว่าทำอะไร พึมพำอยู่ข้างแม่น้ำ บ้าล่ะมั้ง…” ตู้เหล่าไม่คิดอย่างนั้น
ตอนนี้เองตู้เหล่าตาตั้งตรง เขาเป็นชาวประมง ไม่เข้าใจอย่างอื่น ทว่าพายเรือ ดูน้ำ ดูปลาเขาชำนาญที่สุดแล้ว! เขามั่นใจมากว่าข้างหลวงจีนนั่นมีฝูงปลาอยู่!
‘ทำไมฝูงปลาถึงมารวมกันตรงท่าเรือตอนนี้? ท่าเรือไม่น่ามีปลาสิ…’ ตู้เหล่าสงสัย ส่วนจะเรียกคนไปตกปลา? วัดเมฆาขาวห้ามตกปลาในแม่น้ำขาว ปลาพวกนี้เลยไม่มีอันตราย
หงเสียงข้างๆ ไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้ เห็นแค่ผิวน้ำเกิดฟองอากาศก็เลยแปลกใจเล็กน้อย
…………………………