หลวงจีนหงเหยียนมองอู้หมิงก่อนมองฟางเจิ้งที่ข้ามฟากใต้ภูเขา นัยน์ตามีความเข้าใจวูบผ่าน ก่อนมองแววตาอู้หมิงที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง อู้ซินข้างๆ อยากพูดบางอย่างแต่หลวงจีนหงเหยียนห้ามไว้ ก่อนพาอู้ซินลงเขาไปพร้อมกัน ระหว่างทางหลวงจีนหงเหยียนถอนหายใจ “เหตุและผลหมุนวนเป็นวงกลม กรรมตามสนองแล้ว เกรงว่าอู้หมิงคงต้องออกจากการเป็นนักบวชแล้ว…”
อู้ซินอดใจไม่ไหว “อาจารย์ อู้หมิงไม่ได้มีนิสัยเลวร้าย”
“จิตใจโน้มเอียง จะสำเร็จอรหันต์ได้ยังไง? อาตมาช่วยเขาให้เขาหลุดพ้นมาหลายปี แต่ก็ช่วยได้แค่ร่างกาย ช่วยจิตใจไม่ได้ เฮ้อ…” หลวงจีนหงเหยียนส่ายหน้า ตอนนี้เองเหมือนแก่ชราไปหลายปี อู้ซินก็ถอนหายใจด้วยความจำใจ…
ใต้ภูเขา ในที่สุดตู้เหล่าก็ได้สติกลับมา พลันหันหน้าไปมองก่อนดึงจีวรหงเสียงพลางพูดด้วยความโกรธ “นี่น่ะเหรอหลวงจีนที่ไร้ความสามารถและหลอกลวงคนอื่น? แต่ใช้ต้นกกข้ามฟาก ต้นกกข้ามฟากเชียว! นี่มันอภินิหารของพระอาจารย์โพธิธรรม! แกบอกฉันว่าหลวงจีนแบบนี้เป็นพวกสารเลวอย่างนั้นหรอ? เป็นพวกชั่วช้า?! หืม?!”
เมื่อครู่หงเสียงกำลังอึ้ง ตอนนี้ได้สติกลับมาจึงตอบด้วยสีหน้าลนลาน “อา ไม่ใช่ผมนะ อู้หมิงต่างหาก อู้หมิงให้ผมพูดแบบนี้…” สิ้นเสียง หงเสียงสำนึกเสียใจทันที นี่เท่ากับเปิดเผยความลับแล้ว จึงเอ่ยต่อ “ไม่ใช่ คือ…”
เพียะ!
หงเสียงถูกตบหน้าจนกลิ้งไปกับพื้น ก่อนตู้เหล่าจะต่อว่าด้วยความโมโห “ฉันเข้าใจแล้ว แกกับไอ้ห่าอู้หมิงนั่นร่วมมือกันกลั่นแกล้งคนอื่นใช่ไหม? พวกแก…พวกแกมันไร้ประโยชน์ โดยเฉพาะแก! แกทำให้ฉันผิดหวัง! ให้โอกาสอีกครั้งบอกความจริงมา!”
หงเสียงกลัวตู้เหล่าตั้งแต่เล็ก ตอนนี้ตู้เหล่าโกรธและด้วยความหวาดกลัวในใจจึงบอกความจริงไป
ตู้เหล่าได้ยินดังนั้นพลันโกรธใหญ่ ชี้หน้าหงเสียงด้วยท่าทีว่าจะตีก็ไม่ใช่ จะไม่ตีก็ไม่เชิง ชื่อเสียงดีงามตลอดชีวิตป่นปี้หมดแล้ว เขาล่ะอยากจะฆ่าคนจริงๆ
ฟางเจิ้งไม่รู้ว่าตนดึงดูดความสนใจมากขนาดไหน แต่ต่อให้ดึงดูดจริงๆ ก็ช่วยไม่ได้ เขาคิดได้แต่วิธีข้ามฟากที่เรียบง่าย! ไม่อยากแตกหักกับวัดเมฆาขาวและผูกเหตุและผลอันไร้ประโยชน์ ที่สำคัญที่สุดคือเพื่อทำตามความปรารถนาของหลวงจีนหนึ่งนิ้ว ในที่สุดวัดเอกดรรชนีก็ได้เข้าร่วมพิธีของวัดใหญ่ จากนี้จะไม่ใช่วัดเล็กที่ไม่มีใครถามถึงอีก!
ฟางเจิ้งเห็นว่าถึงริมฝั่งแล้วก็กระโดดเบาๆ ขึ้นไปบนฝั่ง ยังไม่ทันได้ทำอะไรก็เห็นคนสูงอายุคนหนึ่งเดินเข้ามาต้อนรับ พอเจอหน้าก็โค้งตัวแสดงความเคารพ!
ทำเอาฟางเจิ้งรีบหลบ ประนมสองมือกล่าว “อมิตาพุทธ โยมจะทำอะไร?”
“หลวงพี่ ผมขอโทษท่านด้วยครับที่ไปฟังคำพูดใส่ร้ายของคนต่ำช้า ให้เรือข้ามฟากไม่รับท่าน ตอนนี้ผมรู้ความจริงแล้ว ผมผิดไปแล้ว” ตู้เหล่าร้องไห้ไปร้องทุกข์ไป เขาเข้มแข็งมาตลอดชีวิต เป็นตาแกดื้อรั้น ขณะเดียวกันก็เป็นผู้พิพากษายุติธรรมที่มีชื่อเสียงในแปดหมู่บ้านสิบลี้ มีเรื่องอะไรทุกคนจะไม่ไปหาทางราชการ ปกติจะมาให้เขาแก้ปัญหาให้
ตอนนี้ตู้เหล่าได้ยินคำพูดของอู้หมิงกับหงเสียง คนหนึ่งเป็นหลานชายเขา ในอดีตไม่ได้พลาดพลั้งมากนัก อีกคนคืออู้หมิงศิษย์สายตรงของหลวงจีนหงเหยียนที่อนาคตจะสืบต่อตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดผาแดง เข้าไม่รู้จักอู้หมิง แต่รู้จักนามของหลวงจีนหงเหยียน ประกอบกับอู้หมิงแสดงละครได้ดีจริงๆ เขาเลยเชื่ออู้หมิง คิดว่าฟางเจิ้งเป็นคนสารเลวชั่วช้า เลยให้คนปิดท่าเรือ ไม่ให้ฟางเจิ้งข้ามฟาก
ตอนนี้เรื่องราวกระจ่าง ฟางเจิ้งเป็นคนถูกใส่ร้าย ซ้ำยังใช้ต้นกกข้ามฟาก เกรงว่าคงจะสร้างความตกใจกับทุกคนแล้ว นี่ถ้ามีคนถามเหตุผลขึ้นมา ตู้เหล่ารู้สึกแค่ว่าตรงหน้ามืดมิด จบสิ้นแล้ว จบเห่แล้ว…
ฟางเจิ้งสงสัยมาตลอดว่าทำไมตนถึงถูกขึ้นบัญชีดำ ไม่นึกเลยว่าทุกอย่างจะเป็นเพราะชายสูงวัยที่ดูเหมือนโกรธจวนจะปะทุตรงหน้า
แม้เกิดเรื่องแล้ว แต่อีกฝ่ายก็ตรงเข้ามาโค้งตัวแสดงความเคารพ ทั้งยังขอโทษไม่หยุด ฟางเจิ้งจะพูดอะไรได้? ต่อยเขา? ด่าเขา?
ฟางเจิ้งไม่ด่าไม่ลงมือกับคนสูงวัยหรอก
ชั่วขณะที่ฟางเจิ้งกำลังกลุ้มใจอยู่เล็กน้อยนั้น มีกลุ่มคนคุยกันพลางวิ่งเข้ามา
คนนำหน้าคือเถ้าแก่เรือเฮยเกอ และยังมีลูกเรือกับเถ้าแก่เรือคนอื่นๆ ข้างหลังเป็นกลุ่มญาติโยมที่มาไหว้พระ แต่ละคนถือมือถือถ่ายภาพดังแชะๆ จากนั้นโพสต์ลงในโซเชี่ยว แววตาที่มองฟางเจิ้งล้วนเปล่งประกายราวกับกำลังมองผู้วิเศษ!
เฮยเกอตะโกนมาแก่ไกล “หลวงพี่ฟางเจิ้ง เป็นผมเองที่ไม่รับท่าน มีอะไรมาลงที่ผมเถอะ! อย่าว่าตู้เหล่าเลย!”
“ผมก็ปฏิเสธไม่รับท่านเหมือนกัน มีอะไรมาคุยกับผมเถอะ” มีอีกคนตะโกนขึ้น
จากนั้นพวกลูกเรือต่างตะโกนตาม แต่ละคนดูฮึกเหิมมาก เหมือนกลัวว่าจะสร้างความลำบากให้ตู้เหล่า จิตใจที่ปกป้องตู้เหล่าแขวนอยู่บนสีหน้า มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่ของปลอมแน่ๆ
ตู้เหล่าได้ยินดังนั้นก็พูดด้วยความโมโห “หุบปาก! ฉันเป็นคน ใครให้พวกแกมารับแทนหะ?!”
“ตู้เหล่า ท่านอายุปูนนี้แล้ว อย่าเถียงเลยน่า” เฮยเกอตอบ
“ไร้สาระ ทำผิดแบ่งอายุกันด้วยเรอะ? หรือว่าอายุเยอะแล้วทำผิดไม่ต้องติดคุก? จะบอกให้นะทำผิดก็คือทำผิด ทำผิดแล้วก็ควรรับโทษ! ฉันเคยพูดแบบนี้มาก่อน ตอนนี้ก็ยังยืนยันคำเดิม” พูดจบตู้เหล่าก็เอ่ยกับฟางเจิ้ง “หลวงพี่ฟางเจิ้ง ท่านบอกมาเถอะ ผมยอมรับโทษ!”
ฟางเจิ้งมองชายสูงวัยหัวดื้อตรงหน้าพลางรู้สึกโกรธไม่ลง เขาทำผิดก็จริง แต่มีใครบ้างที่ไม่เคยทำผิด? สำนึกผิดปรับปรุงตัวได้นั้นดีที่สุด สำนึกผิดแต่ไม่ปรับปรุงก็ควรรับโทษเป็นปกติ ในเมื่อชายสูงวัยว่าแบบนี้…
ฟางเจิ้งประนมสองมือ “อมิตาพุทธ ในเมื่อโยมพูดแบบนี้ อาตมาจะลงโทษโยมจริงๆ แล้ว”
สิ้นเสียงพลันเกิดเสียงฮือฮา!
“จะลงโทษจริงๆ เหรอ?”
“ปล่อยผ่านเถอะน่า คนเยอะขนาดนี้ ไม่เห็นแก่หน้าภิกษุก็เห็นแก่พุทธศาสนาเถอะ เขาอายุปูนนี้แล้ว ถ้าลงโทษจริงๆ จะขายหน้าเอานะ”
“ไต้ซือ มันเกินไปหน่อยไหม ต่อให้เขาผิดจริง ก็ขอโทษแล้ว…”
พวกเฮยเกอไม่พอใจ ขณะจะกล่าวกลับถูกสายตาตู้เหล่าดันกลับไป ตู้เหล่าเงยหน้าขึ้น “หลวงพี่ฟางเจิ้งมาเลย! ผมยอมถูกลงโทษ!”
ฟางเจิ้งหัวเราะเหอะๆ ถอดห่อผ้าบนตัวออกมายัดใส่มือตู้เหล่า “ในเมื่อยอมรับโทษแล้วก็ช่วยถือห่อผ้าให้อาตมาหน่อย หิ้วไปถึงยอดเขาก็พอ เจ้านี่มันหนักมากเลย”
ห่อผ้าของฟางเจิ้งมีข้าวปั้นสองลูก รวมกันหนักไม่ถึงครึ่งจิน ตู้เหล่าใช้มือชั่งน้ำหนักดูแล้วก็อึ้งไป นี่เรียกว่าลงโทษ?
ฟางเจิ้งยิ้ม “ไปเถอะ”
เอ่ยจบฟางเจิ้งเดินขึ้นเขาไป ตู้เหล่าตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนแสดงความเคารพฟางเจิ้งอย่างนอบน้อมแล้วเดินตามไป
เฮยเกอเห็นดังนั้นก็รีบตามไป “ตู้เหล่า ให้ผมช่วยถือไหม? หลวงพี่ฟางเจิ้งบอกว่าหนัก ท่านอายุเยอะแล้ว…”
“อายุเยอะอะไร? ฉันแก่จนถือของครึ่งจินนี่ไม่ไหวเลยเรอะ? เอาเถอะ อย่าเดามั่วเลย นี่คือนักบวชจริงๆ” พูดจบตู้เหล่าเดินตามไป เขาเข้าใจแจ่มแจ้งว่าฟางเจิ้งไม่ได้ลงโทษเขาจริงๆ แต่ช่วยเขารักษาหน้าตาที่เหลืออยู่สุดท้ายเอาไว้! เขาเป็นผู้พิพากษาเที่ยงตรง ถ้าครั้งนี้เขาทำผิด ไม่ว่าตั้งใจหรือไม่ ไม่ว่าถูกหลอกหรือไม่ ถ้าเขาไม่รับโทษ จากนี้ไปเขาจะตัดสินความถูกผิดให้คนอื่นได้ยังไง?
………………