หงจินถอนหายใจ “เฮ้อ…ฟ้าให้จิวยี่มาเกิด ไฉนต้องให้ขงเบ้งมาเกิด…” พูดจบหงจินคลึงหัวเณรอย่างเอ็นดู กล่าวต่อว่า “อี้หัง เรื่องที่อาจารย์รับปากในครั้งนี้คงต้องเปลี่ยนแล้วแหละ อาจารย์ทำให้เจ้าเสียเวลา…”
“อาจารย์ ท่านอย่าพูดแบบนี้เลย ชะตาเกิดชะตาดับล้วนมีคำว่าชะตา ถ้าชะตาไม่ชักพา คิดวางแผนมากเท่าไรก็ไม่มีประโยชน์ อี้หังเข้าใจ” เณรอี้หังแย้มยิ้ม
สภาพจิตใจหงจินดีขึ้นไม่น้อย ทว่าก็ยังถอนหายใจ “หลังพิธีสวดมนต์ต้อนรับใบไม้ผลิ ทุกปีจะมีงานแลกเปลี่ยนพระธรรมในพุทธศาสนา ทุกปีจะเลือกผู้โดดเด่นมาหนึ่งคนเพื่อเทศนาให้ทุกคนฟัง ไม่แน่นะอาจจะได้คำชี้แนะจากพวกหลวงจีนไป๋อวิ๋น ที่สำคัญคือถ้าเทศน์ดี มีความเข้าใจสูง ได้รับการยอมรับของทุกคน วัดของตนจะมีชื่อเสียงโด่งดังตามไปด้วย
อาจารย์ยังเห็นแก่ตัว อี้หังตั้งแต่เล็กเอ็งมีทักษะการทำความเข้าใจที่สูงมาก เป็นอัจฉริยะที่หาได้ยาก เมื่อหลายปีก่อนวัดอย่างวัดเมฆาขาวมีศิษย์อัจฉริยะถือกำเนิดไม่หยุด อาตมากลัวว่าเอ็งจะสู้พวกเขาไม่ได้ เลยไม่ลงชื่อให้เอ็ง ซ่อนตัวเอ็งมาตลอด จนปีนี้มั่นใจแล้วว่าวัดใหญ่พวกนั้นไม่มีใครสู้เอ็งได้เลยลงชื่อให้เอ็ง
ใครจะรู้ล่ะว่าระหว่างทางกลับมีฟางเจิ้งที่ชั่วร้ายกว่าปีศาจโผล่มา! ใช้ต้นกกข้ามฟาก…” พูดถึงตรงนี้หงจินหลับตาลง สิ้นหวัง! ไม่ใช่อะไรอื่น แต่การใช้ต้นกกข้ามฟากผลักดันให้ฟางเจิ้งเป็นดั่งราชาคนที่ถือกำเนิดใหม่ในปีนี้ บัลลังก์แห่งการเทศก์ได้ลอยไปแล้ว!
อี้หังกลับไม่คิดอย่างนั้น เขายิ้มกล่าว “อาจารย์ ปีก่อนๆ ไม่เห็นท่านกังวลแบบนี้เลย ปีนี้เป็นอะไร? ถึงยากจะได้โอกาส แต่ท่านดูหลวงจีนหงเหยียน เขาเป็นเจ้าอาวาสวัดขนาดเล็กกึ่งกลางไม่ใช่เหรอ? แต่ว่านะเพราะเขามีพระธรรมลึกซึ้ง ต่อให้เป็นหลวงจีนไป๋อวิ๋นยังต้องปฏิบัติในระดับเดียวกันเลย ก่อนหน้านี้ท่านเคยบอกผมไม่ใช่เหรอว่าชื่อเสียงเป็นสิ่งจอมปลอม มีแต่พระธรรมที่เป็นของจริง ตอนนี้ท่านกลับ…” พูดถึงตรงนี้อี้หังก็เงียบไป
หงจินอึ้งไป ก่อนยิ้ม “เจ้าเด็กโง่ วันนี้ถูกเอ็งสอนซะได้” จากนั้นหงจินส่ายหน้า “แต่ตอนนี้ต่างกับเมื่อก่อน ก่อนหน้านี้มีญาติโยมคนหนึ่งมาอยากจะช่วยพวกเราขยายวัด ถ้าขยายวัด ขนาดวัดเราจะอยู่ที่วัดระดับกลาง นี่คือการก้าวกระโดดของสถานะ แต่เร็วๆ นี้อีกฝ่ายลังเลมาตลอดว่าจะบริจาคให้อีกวัดหรือวัดของพวกเราดี อาจารย์อยากใช้โอกาสนี้สร้างชื่อเสียงให้อารามไผ่ทองของเราเหนือกว่าวัดมังกรดำ”
“เอ่อ มีเรื่องแบบนี้ด้วยหรือครับ ทำไมท่านไม่บอกผมแต่แรก?” อี้หังงุนงง
หงจินยิ้มแห้ง “บอกแต่แรก? บอกให้เอ็งฟังเหรอ? มีประโยชน์ไหมไม่รู้หรอกนะ แต่อาจารย์จะไม่มีทางให้เอ็งแย่งชิงตำแหน่งนั้นมาด้วยจิตใจที่มุ่งหวังชื่อเสียงและผลประโยชน์อย่างเด็ดขาด ถ้าจะต้องลงนรก อาจารย์ลงคนเดียวก็พอ”
อี้หังเงียบ ผ่านไปนานถึงถาม “อาจารย์ ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ท่านจะทำยังไง?”
“ตอนนี้? เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว มีฟางเจิ้งอยู่พวกเราคงไม่มีหวังแล้วล่ะ เอ็งรู้แล้วว่าเรื่องเป็นมายังไง เอาเถอะ รีบกินซะ” หงจินกล่าวจบก็หยิบตะเกียบมากินข้าว
อี้หังกินช้าๆ เพียงแต่ในดวงตาโตกลับมีประกายวาววูบวาบ…ต้นกกข้ามฟาก?
ฟางเจิ้งถือว่าข้าวมื้อนี้ใช้ได้ กินข้าวไปหลายคำ กินผักไม่น้อย ถึงจะเป็นอาหารเจ แต่อาหารเจของวัดเมฆาขาวก็ดีกว่าวัดเอกดรรชนีมาก!
ฟางเจิ้งทำกับข้าวไม่ค่อยเป็น ปกติวัดเอกดรรชนีจะต้มผักสดเป็นหม้อใหญ่ แต่วัดเมฆาขาวต่างไป ที่นี่ใช้วิธีการอบผัดต้มทอดทุกวิธี ถึงจะเป็นผักสด ก็ยังทำออกมาอย่างพิถีพิถันมาก รสชาติมีความเปรี้ยวหวานเผ็ดครบ
สำหรับคนอื่นๆ บางทีอาจจะถูกปาก แต่สำหรับฟางเจิ้งที่กินข้าวทุกวันและตุ๋นมั่วๆ แล้ว นี่คือลาภปาก กินอย่างสุขสบายยิ่ง มีอย่างเดียวที่น่าเสียดายคือข้าวเทียบไม่ได้กับข้าวผลึกเลย แต่ยังไงก็ต้องทน
กินข้าวมื้อหนึ่งเสร็จ ทุกคนแยกย้าย นักบวชวัดเมฆาขาวต่างจัดที่พักให้ทุกคน
ฟางเจิ้งมองห้องที่มีหน้าต่างสว่างไสวพลางนึกถึงสภาพแวดล้อมวัดเอกดรรชนี อดปลงอนิจจังไม่ได้ ‘สมกับเป็นวัดเมฆาขาว มีฐานะดีจังเลยนะ’
ฟางเจิ้งขึ้นเตียง หนุนหมอนนอนหลับ หนึ่งคืนผ่านไปเงียบๆ
วันที่สองนักบวชทุกรูปซ้อมพิธีสวมมนต์ต้อนรับใบไม้ผลิกันง่ายๆ ครู่หนึ่ง ฟางเจิ้งทำตามขั้นตอนทั้งหมด ควรนั่งตรงไหนก็นั่งตรงนั้น ควรสวดมนต์ก็สวด ถือว่าง่าย
ตอนนี้เองหลวงจีนรูปหนึ่งวิ่งเข้ามา “อมิตาพุทธ เจ้าอาวาสฟางเจิ้ง ท่านมีรูปภาพวัดเอกดรรชนีไหม?”
“เอ่อ จะเอารูปไปทำอะไรหรือ?” ฟางเจิ้งถามไปตามจิตใต้สำนึก
หลวงจีนยิ้มซื่อๆ “คือ…ก่อนหน้านี้พวกเราไม่เคยเห็นภาพของวัดท่านมาก่อนเลย ประกาศที่เราทำเป็นภาพวาด เจ้าอาวาสเห็นแล้วโกรธมาก ต่อว่าพวกศิษย์พี่ยกใหญ่ ให้พวกเราเอารูปภาพมาแทน แต่ว่า…” พูดถึงตรงนี้หลวงจีนพูดต่อไปไม่ได้ ผิวหนังคล้ำออกเป็นสีแดงเล็กน้อย
ฟางเจิ้งยิ้ม ประนมสองมือแสดงความเคารพ “อมิตาพุทธ เรื่องนี้จะโทษท่านไม่ได้ โทษอาตมาเถอะ วัดเอกดรรชนีเล็กเกินไป หาในอินเทอร์เน็ตไม่เจอก็ปกติ ที่อาตมามีรูปภาพอยู่ จะส่งให้เดี๋ยวนี้เลย”
เดิมทีหลวงจีนคิดว่าฟางเจิ้งจะโกรธจึงเตรียมถูกด่าไว้แล้ว กระทั่งครั้งนี้วิ่งมาจะขอภาพยังระแวงหมัดมวย ใช้ความด้านของหนังหัวดาหน้าเข้ามา แต่ไม่นึกเลยว่าฟางเจิ้งเจ้าอาวาสที่มาพร้อมกับความปาฏิหาริย์ท่านนี้จะโอนอ่อนตาม หลวงจีนหน้าดำจึงยิ้มเบิกบานใจ เอารูปภาพแล้วเดินไปอย่างดีอกดีใจ
ฟางเจิ้งมองเงาแผ่นหลังหลวงจีนรูปนี้พลางถูจมูก หัวเราะเหอะๆ ‘ใครบอกว่าหลวงจีนวัดเมฆาขาวหยิ่งกัน ฉันว่านิสัยดีกันหมดเลยต่างหาก…’
จนถึงตอนนี้ฟางเจิ้งยังไม่แน่ใจในตำแหน่งของตัวเอง ต้นกกข้ามฟากมาพร้อมกับตำนานที่ตกทอดมาจากพระโพธิธรรม เมื่อรวมเข้าด้วยกันฐานะเขาจึงสูงขึ้นตาม เขาเป็นดาวเด่นในหมู่นักบวช อีกทั้งนักบวชส่วนใหญ่ก็เคยได้ยินตำนานของพระโพธิธรรมมาก่อน ต้นกกข้ามฟากยังเป็นตำนานที่สืบทอดกันต่อมา ไม่เห็นพระโพธิธรรม แต่เห็นฟางเจิ้ง แน่นอนว่าย่อมเพิ่มพูนขึ้นมา ในใจจึงเกิดความเคารพยำเกรง
พอรู้ว่าในที่สุดวัดเอกดรรชนีของตนก็จะได้ขึ้นป้ายประกาศและมีชื่อเสียงจริงๆ สักที ฟางเจิ้งก็ตื่นเต้นเล็กน้อย
เขาไม่ไปที่อื่น แต่นั่งยองรออยู่ตรงป้ายประกาศหน้าประตูใหญ่วัดเมฆาขาว
สิบกว่านาทีต่อมาหลวงจีนหน้าดำพาหลวงจีนอีกหลายรูปวิ่งมา หลังแสดงความเคารพฟางเจิ้งแล้วก็แปะประกาศใหม่ทั้งหมด ฟางเจิ้งเห็นประตูใหญ่วัดเอกดรรชนีข้างบนรวมถึงอักษรใหญ่สีทองก็ยิ้ม ‘หลวงตาหนึ่งนิ้ว ในที่สุดวัดเอกดรรชนีของเราก็ได้ติดประกาศหน้าประตูวัดเมฆขาวแล้วนะ ท่านเห็นไหม?’
ฟางเจิ้งกลับกุฏิอย่างมีความสุข หยิบคัมภีร์ที่จะสวดในวันพรุ่งนี้ออกมาท่องเตรียมตัวสำหรับวันพรุ่งนี้ ตอนนี้เองมีเสียงดังเจี๊ยวจ๊าวมาจากข้างนอก
ฟางเจิ้งออกไปดูก็เห็นหลวงจีนหลายรูปชี้บนยอดหลังคาพลางตะโกนบางอย่าง ฟางเจิ้งเงยหน้ามองก็เห็นก้นลิงสีแดงหายไปในป่าพอดี
จากนั้นได้ยินหลวงจีนรูปหนึ่งพูดด้วยความไม่พอใจ “ลิงนี่ทำเกินไปแล้ว มาขโมยของในวัดทุกสามถึงห้าวันตลอด ก่อนหน้านี้ขโมยเครื่องถวายไป ตอนนี้มาเล่นพระพุทธรูปอีก เฮ้อ…ถ้าอาตมาไม่ใช่นักบวช ถ้ามันไม่ใช่สัตว์คุ้มครอง อาตมาจะตีมันให้พิการไปเลย!”
“ช่วยไม่ได้ เป็นสัตว์คุ้มครองนี่ จนปัญญาละ ไปเถอะ รีบไป เฮ้อ…” หลวงจีนอีกรูปบ่น
ฟางเจิ้งเห็นหลวงจีนร่างกำยำหลายรูปจนปัญญากับลิงตัวหนึ่งก็ขบขัน ที่ไหนได้ไม่ใช่แค่เขาที่ถูกสัตว์คุ้มครองก่อกวน! พอนึกถึงกระรอกที่ตอนแรกมาแอบขโมยของแถมยังใช้เหตุผล เขาพลันรู้สึกสมดุลดี
เขากลับเข้าห้องไปนั่งสมาธิต่อ ถึงกลางดึกเขาหิว ค้นห่อของหยิบข้าวผลึกปั้นมากิน จากนั้น…
“ข้าวปั้นฉันล่ะ?!” ฟางเจิ้งมองห่อของว่างเปล่าด้วยความโกรธจนแทบด่าแม่ ดีที่วางตัวเป็นพระอาจารย์มานานเลยอดกลั้นไว้ ทว่าก็ยังโวยวายเสียงดังในใจ ‘ไอ้สารเลวนั่นชั่วขนาดนี้ ข้าวปั้นไม่กี่ก้อนยังขโมย? แล้วขโมยของไปรึเปล่าเนี่ย? ไม่รู้จักขโมยของคนรวยๆ รึไง? เป็นโจรก็ควรมีคุณธรรมบ้างนะรู้ไหม?’
จ๊อก…
ท้องร้องดังสนั่น ฟางเจิ้งลูบหนังท้องก่อนเปิดประตูห้อง คิดอยู่ว่าจะไปหาของกินดีไหม?
ตอนนี้เองมีเสียงดังมาจากบนต้นไม้
ฟางเจิ้งเงยหน้ามองก็เห็นเงานั่งยองบนต้นไม้ กำลังแยกเขี้ยวให้เขา พอเพ่งมองดีๆ นั่นมันลิงขนยาวสีขาว!
พอเห็นลิงก็นึกไปถึงเรื่องเมื่อกลางวัน ก่อนตบเข้าที่หน้าผาก “ลิง นายขโมยข้าวปั้นฉันไปใช่ไหม?”
เจี๊ยก! ลิงตกใจสะดุ้ง มองฟางเจิ้งแปลกๆ จากนั้นชี้ฟางเจิ้งด้วยอาการงกๆ เงิ่นๆ “นายพูดได้เหรอ?”
ฟางเจิ้งหน้ามืดทะมึน ทำไมสัตว์ที่ได้ยินเขาพูดแล้วต้องพูดประชดแบบนี้ตลอด? ลืมไปเลยว่าถ้ามีสัตว์ตัวหนึ่งพูดได้ เดาว่าทุกคนก็คงจะพูดประชดแบบนี้…
ฟางเจิ้งตอบ “อาตมาต้องพูดได้อยู่แล้ว อย่าพูดไร้สาระ ข้าวปั้นของอาตมาล่ะ?”
“ขอข้าวปั้นก้อนหนึ่งแล้วจะบอก” ลิงเกาก้น มองฟางเจิ้งอย่างไม่แยแส ทว่าตอนที่มองห้องฟางเจิ้งแววตากลับลุกโชน
ฟางเจิ้งไม่ต้องถาม เขาอยู่กับสัตว์มานานขนาดนี้ เจ้านี่ที่ยังใสซื่อแทบจะเขียนทุกอย่างลงบนใบหน้าแล้ว มองปราดเดียวก็เข้าใจ! ดังนั้นฟางเจิ้งเลยเอ่ยกลับ “ขโมยข้าวปั้นอาตมาแล้วจะเอาข้าวปั้นอีก? ทำให้อาตมาหิวข้าว นายเตรียมตัวไว้แล้วรึยังว่าต้องทำยังไง?”
“ข้าวปั้นนั่นเป็นของนายจริงๆ?” ลิงจ้องฟางเจิ้ง
“พูดไร้สาระ ในโลกนี้มีแค่ของอาตมาเท่านั้น!” ฟางเจิ้งตอบด้วยความมั่นใจ
“จริงเหรอ? ฉันว่านายพอๆ กับลิงโง่ไม่มีขนแถมปีนต้นไม้ไม่ได้พวกนั้นเลย นายมีข้าวปั้น ทำไมพวกเขาจะมีไม่ได้? หรือว่านายเป็นคนเดียวที่เด็ดลูกท้อได้?” ลิงถามด้วยความขรึม
ฟางเจิ้งหมดคำจะพูดแล้ว เขาพบว่าการคุยกับลิงบ้านนอกที่ไม่เคยเจอมาก่อนตัวนี้มีปัญหาเรื่องการข้ามสายพันธุ์เล็กน้อยจริงๆ
ดังนั้นเลยเข้าประเด็นเลย “พูดเรื่องไร้สาระให้มันน้อยๆ หน่อย นี่คือบ้านอาตมา นายเอาของไปจากบ้านอาตมา ไม่เรียกว่าขโมยรึไง?”
“เอาเถอะ ไม่ต้องพูดมากแล้ว แค่กินข้าวปั้นไปสองก้อนไม่ใช่รึไง นายชื่ออะไร? ท่านวานรกินอาหารพวกลิงไม่มีขนพวกนั้นมาก็เยอะ แต่ไม่เคยเห็นพวกมันพูดมากเหมือนนายเลย” ลิงพูดด้วยความรำคาญ
ฟางเจิ้งอึ้ง เขาถูกลิงรังเกียจ! แต่ก็อดกลั้นความโมโหไว้ ถามต่อด้วยความแปลกใจว่า “ถ้าอย่างนั้นพวกเขาทำยังไง?”
“ปาไม้กวาด ทุบลูกท้ออะไรพวกนี้ แล้วก็กระโดดไปมา ร้องเสียงดังโวยวาย แต่ก็สนุกดีนะ ดูโง่ไปหน่อย แต่พวกเขาก็ตรงไปตรงมากว่านาย ตะโกนแล้วก็ลงมือเลย ใครจะมัวพูดมากเหมือนนายกัน” ลิงตอบด้วยมาดขรึม
ฟางเจิ้งหัวร้อน “…ไอ้ลิงนี่มองคนจิตใจดีเป็นไอ้โง่จริงๆ!”
…………………