“อยากด่าคนจริงๆ เดินมานานขนาดนี้แล้วไม่มีแม้แต่ป้ายบอกทาง? ใครบอกฉันได้บ้างว่าสี่แยกนี่ไปยังไงต่อ!” ฟางเจิ้งยืนอยู่ตรงสี่แยกด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม ถูกแล้ว ไต้ซือของพวกเราหลงทาง!
ตอนนี้เอง มีรถคันหนึ่งหยุดจอด คนคนหนึ่งชะโงกหน้าออกมาพูดด้วยรอยยิ้ม “ไต้ซือจะไปไหนคะ?”
ฟางเจิ้งประนมสองมือ สวดไปบทหนึ่งแล้วกล่าว “อมิตาพุทธ สวัสดีสีกา อาตมาอยากไปอำเภอซงอู่” ฟางเจิ้งขบคิด จะบอกว่าภูเขาเอกดรรชนีก็กลัวอีกฝ่ายไม่รู้จัก แต่น่าจะรู้จักอำเภอซงอู่ พอฟางเจิ้งเงยหน้าขึ้นก็อึ้งไปทันที!
อีกฝ่ายก็อึ้งเหมือนกัน จากนั้นพูดด้วยความแปลกใจพร้อมกัน “สีกานี่/ท่านนี่?!”
ฟางเจิ้งคุ้นตาคนขับรถ นั่นคือจิ่งเหยียนที่ขึ้นเขามาทำข่าวงานประลองศิลปะพู่กันจีน แต่ถูกหมากัดกระโปรงขาด
“ไต้ซือ ท่านจะไปไหนคะ? อืม…ท่านออกมาจากวัดเมฆาขาวเหรอ?” จิ่งเหยียนมองทางข้างหลังฟางเจิ้งแล้วยิ้มถาม
ฟางเจิ้งตอบ “อุบาสิกา อาตมาไม่ถือว่าเป็นไต้ซือหรอก เรียกหลวงพี่ฟางเจิ้งเถอะ อาตมาเพิ่งมาจากวัดเมฆาขาว กำลังจะกลับวัดเอกดรรชนี”
“บังเอิญจังเลย ฉันจะไปอำเภอซงอู่เหมือนกัน แต่ระหว่างนั้นต้องไปอีกที่หนึ่งก่อนแล้วค่อยกลับ ถ้าหลวงพี่ฟางเจิ้งไม่รีบให้ฉันไปส่งไหมคะ?” จิ่งเหยียนยิ้ม
ฟางเจิ้งได้ยินแบบนั้นพลันดีใจ กำลังเครียดอยู่เลยว่าจะกลับยังไง ถ้าจะกลับจริงๆ ก็ไกลเกินไป ไอ้เหนื่อยน่ะเขาทนไหว แต่เสียเวลานี่สิ! วัดเอกดรรชนีไม่มีคน ถึงจะมีชาวบ้านกับหมาป่าและกระรอกเฝ้าวัด แต่ก็ยังเป็นห่วงอยู่บ้าง ตอนนี้ได้ติดรถไปด้วยย่อมเต็มใจอย่างยิ่ง! ที่สำคัญที่สุดคือรถนี่ดูเป็นรถระดับไฮเอนด์มาก เขายังไม่เคยนั่งรถระดับไฮเอนด์แบบนี้มาก่อนเลย
ดังนั้นฟางเจิ้งจึงประนมสองมือแสดงความเคารพ “ถ้าอย่างนั้นต้องรบกวนสีกาแล้วล่ะ อาตมาไม่รีบ”
“แล้วจะรออะไรล่ะ? หลวงพี่รีบขึ้นรถมาเถอะ” จิ่งเหยียนเปิดประตูรถอย่างใจกว้าง ฟางเจิ้งขึ้นรถ นั่งบนเบาะนุ่มๆ เอนพิงหลัง ทั้งตัวเหมือนจะจมเข้าไปในเบาะ สบายมาก!
‘รถนี่สบายกว่านั่งรถแท็กซี่อีก ดีจริงๆ’ ฟางเจิ้งพูดปลงอนิจจังอยู่ในใจ
“หลวงพี่ฟางเจิ้ง” จิ่งเหยียนพลันเรียก
ฟางเจิ้งมองจิ่งเหยียนด้วยความกังวล ถามว่า “สีกา มีอะไรหรือ? ทำไมไม่ไปล่ะ?”
“เอ่อ รบกวนคาดเข็มขัดนิรภัยด้วยค่ะ” จิ่งเหยียนตอบด้วยความจำใจเล็กน้อย
ฟางเจิ้งงง เข็มขัดนิรภัย? เขาเคยเห็นในหนังสือกับทีวี แต่ไม่เคยเห็นของจริง จึงเอียงกายมองไปก็เห็นเข็มขัดสีดำเส้นหนึ่ง พอดึงออกมาแล้วเขางงงันเล็กน้อย เจ้านี่มันใช้ยังไง?
“หลวงพี่ฟางเจิ้งไม่เคยนั่งรถเหรอคะ?” จิ่งเหยียนเข้าใจบ้างแล้ว
ฟางเจิ้งตอบอย่างสบายๆ “อาตมาเคยนั่งเกวียน รถม้า ขี่รถจักรยาน รถแทรกเตอร์ เมื่อหลายวันก่อนก็นั่งรถแท็กซี่ แต่เพิ่งเคยนั่งรถเกรดสูงแบบนี้เป็นครั้งแรก”
จิ่งเหยียนงง สมัยนี้ยังมีคนไม่เคยนั่งรถแบบนี้อยู่จริงๆ ด้วย! รถเธอไม่ถือว่าเป็นรถหรู อีกทั้งรถแท็กซี่ก็มีเข็มขัดนิรภัย วิธีใช้ก็เหมือนกันนี่…เธอมองฟางเจิ้งแล้วก็เข้าใจ หลวงจีนนี่นั่งรถแท็กซี่เบาะข้างหลังนี่เอง คิดได้ดังนั้นจึงถอนหายใจ “หลวงพี่ ท่านไม่ค่อยเหมือนกับนักบวชคนอื่นๆ เลยนะ”
ส่วนไม่เหมือนยังไงนั้นจิ่งเหยียนไม่ได้บอก แต่ก้มลงไปดึงเข็มขัดนิรภัยลากผ่านฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งเกร็งกล้ามเนื้อโดยไม่รู้ตัว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาใกล้ชิดกับผู้หญิงแบบนี้ ได้กลิ่นหอมๆ จากตัว จึงอดสวดมนต์ในใจมิได้ ‘อมิตาพุทธ เมื่อไรจะได้สึกเสียที…’
จิ่งเหยียนช่วยฟางเจิ้งคาดเข็มขัดเรียบร้อย ก่อนเหยียบคันเร่งห้อทะยานไป
ฟางเจิ้งคุยกับผู้หญิงไม่เก่ง จิ่งเหยียนก็เหมือนมีความในใจ สองคนไม่ได้คุยกันมากนัก จนกระทั่งจิ่งเหยียนเลี้ยวลดคดเคี้ยวเข้าไปในภูเขาลึก ตอนที่เห็นหมู่บ้านหนึ่ง ฟางเจิ้งอดใจไม่ไหวถามขึ้นมา “อุบาสิกา มาทำอะไรที่นี่เหรอ?”
จิ่งเหยียนตอบ “ที่นี่ไม่ใช่อำเภอไป๋อวิ๋นแล้ว แต่เป็นอำเภอกวน เป็นอำเภอที่ยากจนอันดับหนึ่งของเมือง ถ้าพูดถึงความจน ทั้งมณฑลคงมีไม่กี่แห่งที่เทียบกับพวกเขาได้ ข้างหน้านี่คือหมู่บ้านสะพานบูรพา เป็นหมู่บ้านยากจนอันดับหนึ่งของอำเภอกวน”
“อ๋อ อุบาสิกามาช่วยพวกเขาเหรอ?” ฟางเจิ้งก็พอรู้จักหมู่บ้านสะพานบูรพาเหมือนกัน อ่านข่าวทุกวัน หมู่บ้านสะพานบูรพาขึ้นหน้าหนึ่งเป็นประจำ เด็กๆ ที่นี่น่าสงสาร ผอมจนหนังติดกระดูก ได้กินก็ถือว่าโชคดีแล้ว
ดังนั้นจึงมักจะมีคนมาบริจาคที่หมู่บ้านสะพานบูรพาบ่อยๆ กระทั่งยังมีดาราเคยมาช่วยเหลือนิดๆ หน่อยๆ ครอบครัวจิ่งเหยียนมีฐานะดี ฟางเจิ้งรู้แต่แรกแล้ว ไม่อย่างนั้นตอนแรกพวกนั้นคงไม่เกรงกลัวเธอขนาดนั้น ดังนั้นจึงคิดอย่างมีเหตุผลว่าจิ่งเหยียนต้องมาบริจาคด้วยจิตใจดีงามอย่างแน่นอน
แต่จิ่งเหยียนกลับส่ายหน้าอย่างแน่วแน่ ยิ้มเยาะตอบว่า “ช่วยเหลือ? ไม่ใช่ ฉันมาหาความจริงต่างหาก! มีบางคนหน้าด้านมากเกินไป!”
“เอ่อ…หมายความว่า?” ฟางเจิ้งงงงัน
“หลวงพี่ ท่านยังไม่รู้จักหมู่บ้านสะพานบูรพา เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง ท่านไม่จำเป็นต้องเชื่อก็ได้นะคะ แต่ฉันเชื่อว่าท่านเป็นนักบวชดี เดี๋ยวเข้าหมู่บ้านนี้ไปท่านจะเห็นเอง จากนั้นบอกมาได้ว่าท่านคิดยังไงโอเคไหม? ฉันก็ไม่อยากให้ความรู้สึกกระทบถึงการตัดสินของฉันเหมือนกัน และก็ไม่อยากเอาคำพูดคนอื่นมาทึกทักเอาเองด้วย” หลังจากไปวัดเอกดรรชนี เวลาจิ่งเหยียนทำอะไรจะระวังมากขึ้น ไม่ตัดสินตามอำเภอใจอีก จะต้องทำการบ้าน ศึกษาให้ดีก่อนถึงสรุป
ฟางเจิ้งไม่เข้าใจความหมายของจิ่งเหยียน แต่ก็พอใจกับคำขอนี้มากเหมือนกัน เลยพยักหน้าตกลง “อมิตาพุทธ อาตมาจะลองดู”
ระหว่างทางจิ่งเหยียนอยากจะพูดแต่ก็หยุดไปหลายครั้ง มาถึงริมฝีปากแล้วก็ยังไม่พูด ถึงฟางเจิ้งจะอยากรู้อยากเห็นบ้าง แต่อีกฝ่ายไม่บอกเขาก็จะไม่ซักถาม สองคนจึงไปถึงหมู่บ้านสะพานบูรพากันอย่างเงียบๆ
ทางเข้าหมู่บ้านมีประตูใหญ่ผุพังบานหนึ่ง บนประตูเขียนว่ายินดีต้อนรับสู่หมู่บ้านสะพานบูรพา สองด้านข้างมีคำคมของเอกบุรุษ ให้ความรู้สึกที่ไม่แย่มากนัก
ทว่าพอเข้าไปใกล้หมู่บ้าน ฟางเจิ้งขมวดคิ้ว
รถแล่นเข้าไปในหมู่บ้าน มีกลุ่มคนล้อมเข้ามา คนที่เดิมทีนั่งยองคุยกันอยู่หน้าหมู่บ้านต่างนั่งลงกับพื้น ทำท่าทางเหมือนป่วยอ่อนแรง
ชาวบ้านที่ล้อมเข้ามามีชายหญิงและเด็กน้อย ทว่าทุกคนไม่พูดอะไร มองจิ่งเหยียนเงียบๆ กระทั่งมีคนมองด้วยสายตาระแวง
ตอนนี้เอง พวกผู้ใหญ่หลายคนวิ่งมาดึงเด็กออกไปไกลๆ ไม่ให้เด็กเข้าใกล้รถยนต์
จิ่งเหยียนจอดรถหน้าหมู่บ้าน หยิบแว่นกันแดดขึ้นมาสวมแล้วลงจากรถไป
ฟางเจิ้งมองฟ้าครึ้มข้างนอกพลางส่ายหน้าน้อยๆ ไม่เข้าใจว่าจิ่งเหยียนจะสวมแว่นกันแดดทำไม ถึงจะมีแสงสะท้อนจากหิมะทำให้เกิดอาการตาบอดหิมะง่ายๆ ก็เถอะ แต่ว่านั่นต้องอยู่ตามทุ่งสีขาวทั้งหมดถึงจะเป็นได้ ในหมู่บ้านไม่ได้ขาวขนาดนั้น แสงสะท้อนไม่ได้แรงมาก ไม่มีความจำเป็นต้องสวมแว่นกันแดดเลย
พวกชาวบ้านมองจิ่งเหยียน ความตื่นตัวในแววตาน้อยลงหลายส่วน
จิ่งเหยียนยิ้มๆ บอก “สวัสดีทุกคน ฉันจิ่งเหยียน ไม่พูดมากล่ะนะ ในกระโปรงหลังรถฉันมีของจะให้พวกคุณ ทุกคนมาดูเร็ว ต้องการอะไรก็เอาไปได้เลย”
พูดจบจิ่งเหยียนก็เปิดกระโปรงรถ
ฟางเจิ้งได้ยินแบบนั้นพลันขมวดคิ้ว จิ่งเหยียนหมายความว่าไง? ถึงคนจะจน แต่ก็พูดแบบนี้ด้วยไม่ได้ล่ะมั้ง?
…………………