ไม่ไกลมีคนสี่คนเดินออกมาจากประตูมหาวิทยาลัยอย่างมีความสุข หนึ่งในนั้นดูคุ้นตาเล็กน้อย
ฟางเจิ้งโบกมือ มีภาพหนึ่งเพิ่มมาในมือ ผูกเปียหางม้า ยิ้มอ่อนโยนมาก สวมแว่นตา เครื่องหน้าอวิ๋นจิ้งมีความสวยฉลาด รูปกับคนซ้อนทับกัน ฟางเจิ้งจึงมั่นใจว่านี่คือเจ้าของภาพ ฟางอวิ๋นจิ้ง!
ข้างกายฟางอวิ๋นจิ้งคือฟางชิงเหอบิดาของเธอ แม่ฟางชิว น้องชายฟางเสียงหลง จ้าวต้าถงเคยเล่าถึงคนพวกนี้ให้เขาฟังแล้ว เขาเลยจำได้ทันที
แต่ฟางเจิ้งไม่ขยับ ยังคงมองเงียบๆ
“พ่อ แม่ น้อง จะไปกันแล้วเหรอ ไหนบอกว่าจะอยู่กับหนูสามวันไง นี่เพิ่งสองวันเอง” ฟางอวิ๋นจิ้งจับมือแม่พลางออดอ้อน
ฟางชิวมองพลางหยิกแก้มเล็กของฟางอวิ๋นจิ้งอย่างอ่อนโยน “เจ้าลูกคนนี้รู้จักพอบ้างนะ! ปีนี้ให้น้าลูกเลี้ยงหมูตั้งสามตัว นี่ก็เพิ่งซื้อลูกหมูกลับมา แม่ต้องไปดูก่อน! ลูกพูดอยู่ทุกวันไม่ใช่เหรอว่าเนื้อหมูในเมืองไม่อร่อย? ปีนี้เลยตั้งใจเลี้ยงให้ลูกโดยเฉพาะเลยนะ เดี๋ยวปีใหม่จะเอามาให้กินหนำใจเลย!”
“แม่ใจดีที่สุดเลย! มา จุ๊บทีหนึ่ง!” ฟางอวิ๋นจิ้งเข้าไปใกล้จะจุ๊บ
“ออกไปเลยนะ น่าเกลียด!” ฟางชิวใช้คำสมัยใหม่
ฟางอวิ๋นจิ้งว่า “โหแม่คะ รังเกียจหนูเหรอ? แต่ถึงจะน่าเกลียดกว่านี้ก็ลูกแม่นะ ช่วยไม่ได้นี่ มาเถอะ จุ๊บทีหนึ่ง!”
พูดจบฟางอวิ๋นจิ้งทำเสียงจุ๊บๆ จุ๊บฟางชิวทีหนึ่ง
ฟางชิวแสร้งทำเป็นผลัก แต่สุดท้ายก็ยังกอดฟางอวิ๋นจิ้งไว้ “เจ้าเด็กนี่ อยู่มหาวิทยาลัยดีๆ ล่ะ ถึงจะฤดูใบไม้ร่วงแล้ว แต่หิมะเพิ่งละลายเลยหนักกว่าเดิมด้วยซ้ำ อย่าประหยัดเงินนะ ควรซื้อเสื้อก็ซื้อ แล้วก็…ลูกควรลดน้ำหนักได้แล้วนะ”
“แม่เป็นแม่หนูจริงๆ รึเปล่าเนี่ย? ทำไมพูดกับลูกสาวตัวเองแบบนี้ล่ะ” ฟางอวิ๋นจิ้งรับไม่ได้
ฟางเสียงหลงน้องชายข้างๆ พูดขึ้นด้วยมาดขรึม “พี่ ตอนแรกพี่เป็นนางฟ้านะ แต่ตอนนี้…”
“ตอนนี้ทำไม? นายคิดจะย้ายข้างเหรอ?” ฟางอวิ๋นจิ้งเท้าสะเอวตรงหน้าฟางเสียงหลง จากผู้หญิงว่าง่ายกลายเป็นหญิงโหด
น้องชายดันแว่นตา ถอนหายใจ “ก็ยังเป็นนางฟ้าอยู่”
“ถือว่าอยู่เป็น” ฟางอวิ๋นจิ้งยิ้มอย่างพอใจ
“นางฟ้าอ้วน” น้องชายเสริมต่อ
ฟางอวิ๋นจิ้งลากฟางเสียงหลงมาแล้วขยี้หัวเขา จนฟางเสียงหลงขอโทษจึงยอมหยุด
ครอบครัวหยอกเล่นกันสักพัก ตอนนี้เองหลิวอวิ๋นซูโผล่มา
หลิวอวิ๋นซูถอนหายใจ “เซียงอวิ๋น อาจารย์ที่ปรึกษาหาเธอน่ะ ไปดูหน่อย เหมือนจะเป็นเรื่องทุนการศึกษานะ”
ฟางอวิ๋นจิ้งได้ฟังแบบนั้นก็ดีใจ “จริงเหรอ?!”
จากนั้นฟางอวิ๋นจิ้งบอกลากับพ่อแม่และน้องชาย ฟางชิงเหอต่อว่า “ดูทำเข้า ให้สุขุมหน่อย”
ฟางอวิ๋นจิ้งแลบลิ้นใส่ แต่ก็ตอบด้วยความเคารพมาก “ค่า! นายท่าน!”
ฟางชิงเหอหัวเราะ ก่อนโบกมือพลางพูด “เอาล่ะ รีบไปเถอะ อย่าให้อาจารย์รอนาน พวกเราไปก่อนนะ…”
สองฝั่งบอกลากัน ครอบครัวฟางชิงเหอเดินข้ามทางม้าลายไป ฟางอวิ๋นจิ้งมองบิดาอย่างอาลัยอาวรณ์…
ตอนนี้เองมีเสียงโครมดังแว่วมาอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นรถคันหนึ่งพุ่งเข้ามาเหมือนกับเครื่องบินจะขึ้นบิน! เสียงเครื่องยนต์ดังสนั่น ประหนึ่งว่าจะแหลกเป็นส่วนๆ ได้ตลอดเวลา…
รถคันนั้นมาเร็วมาก กะทันหันเกินไป!
ช่วงที่ฟางชิงเหอหันไปเห็น ก็จะผลักภรรยาออก!
ฟางชิวขวางอยู่หน้าฟางเสียงหลงตามจิตใต้สำนึก…ทว่าแรงคนหรือจะเทียบกับเครื่องจักร?
ได้ยินเพียงเสียงดังสนั่น!
หน้ารถยนต์แหลก ฟางชิว ฟางเสียงหลง ฟางชิงเหอถูกชนปลิวไป! ตกลงพื้นดังปึกๆๆ แถมยังกลิ้งต่อไปอีก…
พริบตานั้นเสียงทั้งหมดบนโลกเงียบลง เหลือเพียงภาพแตกเป็นเสี่ยงๆ!
และยังมีฟางเจิ้งที่กุมหน้า อ้าปาก มองภาพด้วยแววตาตกใจแต่เปล่งเสียงไม่ออก…
ต่อมาฟางอวิ๋นจิ้งพุ่งเข้าไปอย่างคลุ้มคลั่ง แต่ไม่รู้ว่าจะทำอะไรได้ ทั้งตัวแข็งทื่อ มองซ้ายมองขวาไม่มีใครช่วย ได้แต่ตื่นกลัวลนลาน ร้องไห้โฮเสียงดัง…หัวใจสลาย…
ภาพหยุดที่ตรงนี้ จากนั้นแตกกระจาย!
ขณะเดียวกันฟางอวิ๋นจิ้งในความเป็นจริงพลันลืมตาขึ้น จะคลุ้มคลั่ง! ทุกคนจึงรีบเข้ามากดไว้…
แต่ในจิตสำนึกฟางอวิ๋นจิ้ง ภาพแตกเหล่านั้นรวมเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว เป็นหน้าประตูมหาวิทยาลัย เป็นครอบครัวสี่คนอีกครั้ง…
“อมิตาพุทธ มิน่าเธอถึงอยากฆ่าตัวตาย ตัวเธอจมอยู่ในโลกแห่งจิตใจถอนตัวไม่ได้ ภาพนี้ฉายซ้ำตรงส่วนลึกในใจเธอตลอด กระตุ้นเธอครั้งแล้วครั้งเล่า…เป็นใครก็ต้องกลัวจนคลั่งกันทั้งนั้น” ฟางเจิ้งถอนหายใจก่อนกระทืบเท้าเบาๆ
โครม!
ในที่สุดฟางเจิ้งก็ใช้อภินิหารความฝันความต้มข้าวฟ่าง ทั้งโลกพลันหยุดนิ่ง!
ทุกคนหยุดการกระทำ สายลมหยุด หิมะหยุด…
ในเวลาเดียวกันโลกข้างนอก
“เร็ว รีบกดเธอไว้!” ต่งเยวี่ยหรูเห็นฟางอวิ๋นจิ้งจะคลุ้มคลั่งอีกจึงรีบวิ่งมาช่วย ทั้งยังพูดจากใจจริง “พวกเธอฟังนะ ทีหลังเชื่อวัตถุความเชื่อล้าสมัยพวกนั้นให้น้อยๆ ลงหน่อย เฮ้อ…”
สิ้นเสียงกลับเห็นฟางอวิ๋นจิ้งหยุดดิ้น จากนั้นใบหน้าคลุ้มคลั่งกลับมาเรียบนิ่ง ต่อมามีสีหน้าสงสัยเสี้ยวหนึ่งก่อนหลับตาลง กลับมาสงบอีกครั้ง
ทุกคนเห็นดังนั้นจึงมองหน้ากัน ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ต่งเยวี่ยหรูมึนงงเล็กน้อย เธอเพิ่งเจอกับฟางอวิ๋นจิ้งคลุ้มคลั่งมาเมื่อครู่ ถ้าไม่ถึงสิบนาทีจะไม่มีทางสงบลง ทว่าตอนนี้ทำไมแค่สองสามนาทีถึงสงบลง?
จ้าวต้าถงกล่าว “ผมว่า…” เขาไม่พูดต่อ แต่ความหมายชัดเจนมาก
ต่งเยวี่ยหรูตอบ “ดูไปก่อนเถอะ”
ทุกคนพยักหน้า ยืนล้อมฟางอวิ๋นจิ้งไว้ เตรียมหยุดยั้งเธอตลอดเวลา…
ณ ส่วนลึกในใจฟางอวิ๋นจิ้ง
ภาพย้อนกลับไปจนถึงภาพนั้นที่ฟางอวิ๋นจิ้งเห็นรถชนกับภาพที่เธอคุกเข่าร้องไห้โฮ พริบตานั้นความเศร้าในใจเธอถูกกระตุ้นอีกครั้ง ร้องโห้โฮใหญ่ ซึ่งในความเป็นจริงก็เริ่มคลุ้มคลั่งอีกแล้ว!
ทุกคนพยายามหยุดยั้งสุดชีวิต…
ฟางเจิ้งยืนอยู่ข้างกายฟางอวิ๋นจิ้ง ไม่ได้ทำอะไร เพียงแค่ให้ภาพไม่แตก ให้เรื่องราวดำเนินต่อไป! ฟางเจิ้งมั่นใจมากว่าต้องทำลายวัฏจักรมรณะไม่มีสิ้นสุดนี้ ให้เธอเห็นอนาคต เห็นความหวัง! ขณะเดียวกันยังระบายความเศร้าทั้งหมดในใจ ไม่อย่างนั้นเธอจะถูกขังอยู่ในกรง ตกอยู่ในห้วงความสิ้นหวังที่ก่อนหน้าห่อหุ้มไปด้วยความสุข ทว่าพริบตาต่อมากลับตกไปในนรกไร้ที่สิ้นสุด!
ฟางอวิ๋นจิ้งร้องไห้ ภาพโดยรอบหมุนโคจรต่อ นักเรียนจำนวนมากเช่นหลิวอวิ๋นซูกับจ้าวต้าถงวิ่งเข้ามา…มีคนโทรศัพท์ มีคนตรวจอาการบาดเจ็บ
ต่อมาตำรวจและรถพยาบาลมาถึง ฟางชิงเหอ ฟางเสียงหลง ฟางชิวถูกส่งขึ้นรถพยาบาลไปยังโรงพยาบาล แน่นอนว่าฟางอวิ๋นจิ้งตามไปด้วยตลอดทาง เพียงแต่แววตาเหม่อลอยเล็กน้อย…
ฟางเจิ้งเห็นดังนั้นก็ถอนหายใจ เขารู้ว่าจะให้เธอเป็นอย่างนี้ต่อไปไม่ได้ โลกมีความอบอุ่น ถ้าสัมผัสไม่ถึง มองไม่เห็น เธอจะขังตัวเองอยู่ในกรงน้ำแข็ง
ดังนั้นฟางเจิ้งจึงเคลื่อนความคิด
ฟางชิวตื่นมา พูดเสียงเบา “เสี่ยวอวิ๋น…”
ฉับพลันนั้นฟางอวิ๋นจิ้งเหมือนถูกฟ้าผ่า! ได้สติกลับมา โผเข้าไปกอดฟางชิว ร้องไห้โฮเสียงดัง “แม่…แม่…แม่ไม่เป็นไรใช่ไหม? ไม่เป็นไรใช่ไหม? อย่าทำให้หนูตกใจกลัวสิ?”
ฟางชิวพยายามยิ้มบางๆ “เสี่ยวอวิ๋น แม่ไม่เป็นไร”
“ให้คุณแม่อยู่เงียบๆ นะคะ อย่ารบกวนเธอ ตำรวจช่วยพวกเราเปิดทางอยู่ อีกเดี๋ยวจะถึงโรงพยาบาลแล้วค่ะ” พยาบาลพูดปลอบใจฟางอวิ๋นจิ้ง
ฟางอวิ๋นจิ้งพยักหน้ารัวๆ แม่ฟื้นแล้ว เธอเหมือนเห็นความหวัง มีชีวิตชีวาขึ้นมาไม่น้อย
รถตำรวจข้างนอกแล่นไป รถส่วนบุคคลข้างหน้าที่ได้ยินเสียงไซเรนพากันหลีกทางให้ ตำรวจบัญชาการอยู่ศูนย์กลาง ให้ไฟจราจรตลอดทางเป็นไฟเขียวเพื่อให้รถพยาบาลไปถึงโรงพยาบาลประจำมณฑลให้เร็วที่สุด!
เดิมทีระยะทางต้องใช้เวลาสามสิบนาที แต่นี่แค่แป๊บเดียวก็มาถึงในสิบนาที!
เรื่องพวกนี้ฟางอวิ๋นจิ้งได้ยินผ่านวิทยุสื่อสารของตำรวจนายหนึ่งในรถอย่างชัดเจน ส่วนฟางเจิ้งที่นั่งอยู่ตรงมุม เหมือนเธอจะมองไม่เห็นเขา
ลงรถพยาบาลมาแล้ว ฟางชิว ฟางชิงเหอ ฟางเสียงหลงถูกส่งเข้าห้องฉุกเฉิน ฟางอวิ๋นจิ้งรู้สึกไร้ที่พึ่งอีกครั้ง แต่…สิ่งที่เธอคาดไม่ถึงคือเสียงเท้าดังแว่วมา เป็นอาจารย์ที่ปรึกษากับเพื่อนๆ มา
ทุกคนพูดปลอบใจ ให้กระดาษทิชชู ช่วยกันวางแผนให้ กระทั่งอาจารย์ที่ปรึกษายังเป็นคนจ่ายค่ารักษาให้
จากนั้นมีคนใจบุญมาบริจาคให้กันไม่หยุด คนเหล่านี้ไม่ได้บอกชื่อไว้ แต่ฝากเงินไว้ให้เล็กน้อย ทั้งยังทิ้งท้ายคำพูดไว้ “ถ้าต้องการความช่วยเหลือเราจะมาอีก!”
ฟางอวิ๋นจิ้งมองเงาแผ่นหลังที่ไปๆ มาๆ ดวงตาสองข้างชื้น เธอไม่รู้ว่าควรจะพูดยังไงดี ได้แต่ตอบซ้ำๆ “ขอบคุณค่ะ ขอบคุณค่ะ…”
ขณะเดียวกัน โลกภายนอก ฟางอวิ๋นจิ้งก็พึมพำเช่นเดียวกัน “ขอบคุณค่ะๆ…”
ต่งเยวี่ยหรูได้ยินดังนั้น ดวงตาเบิกโต มีสีหน้าเหลือเชื่อ
ซุนหรั่นก็เช่นกัน เอ่ยด้วยความตกใจ “เหลือเชื่อมาก อวิ๋นจิ้งพูดแล้ว!”
หม่าเจวียนปิดปาก น้ำตาแทบไหล “ในที่สุดเธอก็มีการโต้ตอบอย่างอื่น”
ต่งเยวียหรูพูด “นี่…” เธอรู้ดีกว่าใครว่าอาการป่วยของฟางอวิ๋นจิ้งหนักแค่ไหน คนที่ปิดกั้นตัวเองอย่างสมบูรณ์แบบนี้ ถ้าไม่ได้รักษาจิตใจระยะยาวกับรักษาด้วยยา การจะเดินออกมานั้นยากมาก! และการจะพูดขอบคุณก็ยากมากเช่นกัน…
แต่ตอนนี้ ต่งเยวี่ยหรูรู้สึกราวกับเห็นผี
หลิวอวิ๋นซูงงงวยเล็กน้อย แต่ก็ยังพูดว่า “ป้าต่ง หรือว่าการรักษาของป้าก่อนหน้านี้เพิ่งจะออกผล?”
จ้าวต้าถงถลึงตามองทันที ต่งเยวี่ยหรูกลับพูดก่อน “ไม่ใช่ ก่อนหน้านี้ป้าสะกดจิตเธอไม่ได้เลย…”
จ้าวต้าถงถึงไม่เถียง
จ้าวต้าถง หม่าเจวียน หูหานสามคนมองตากัน ต่างเห็นความตกตะลึงและมั่นใจในแววตา ไม่ต้องคิดแล้ว นี่จะต้องเป็นคุณูปการของไต้ซือฟางเจิ้งอย่างแน่นอน! พวกเขายิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าฟางเจิ้งมหัศจรรย์ ในใจเกิดความเคารพยิ่งกว่าเดิม
ณ ส่วนลึกจิตใจของฟางอวิ๋นจิ้ง
มีคนเข้ามาปลอบใจเรื่อยๆ พอได้สัมผัสถึงความห่วงใยของเพื่อนๆ ความห่วงใยของอาจารย์ รวมถึงสังคม รัฐบาลและมหาวิทยาลัยแล้ว ฟางอวิ๋นจิ้งพลันพบว่าตนไม่ได้เสียทุกอย่างไป ไม่ได้ไร้ที่พึ่ง โลกนี้ไม่ได้หนาวเหน็บอย่างที่ตนจินตนาการ! จึงรู้สึกดีขึ้นมาก
………………………………