เหล่าเถาเห็นดังนั้นจึงเงยหน้ามองฟ้า หนังหน้าบีบรัดตัว ทำท่าทางให้ตายยังไงก็จะไม่หัวเราะ กลัวว่าถ้าหัวเราะมากไปจะถูกโยนออกไปได้
แต่ผู้กำกับอวี๋มีไหวพริบ เอ่ยด้วยท่าทางเคร่งขรึม “นี่น่าจะเป็นศิษย์ของพระอาจารย์ ไปเถอะ อย่ารบกวนเขาสวดมนต์บำเพ็ญเพียรเลย ไปทำงานกันได้แล้ว”
“อมิตาพุทธ ประสก วัดนี้มีอาตมาเพียงรูปเดียว” คนพวกนี้เสียงดังมาตลอดทาง ฟางเจิ้งได้ยินชัด เพียงแต่ไม่ได้ออกไปสนใจพวกเขาก็เท่านั้น ช่วงเร็วๆ นี้เขาขบคิดถึงปัญหาการทำนาสมาธิมาตลอด ยังไม่ได้ปลูกเมล็ดข้าวเลย ตอนนี้มีคนมากลุ่มหนึ่งแถมยังเสียงดัง เขาเลยไม่พอใจเล็กน้อย
สิ้นเสียงฟางเจิ้ง ผู้กำกับอวี๋อัดแน่นไปด้วยความโกรธ กว่าจะหาเหตุผลลงจากหลังลามาได้ไม่ใช่ง่ายๆ แต่ยังไม่ทันลงหลวงจีนนี่ล้อมเขากลับมา ทำไมถึงแยกแยะอะไรไม่ได้แบบนี้นะ!
แต่ผู้กำกับอวี๋ก็รู้ว่าเรื่องนี้จะโทษอีกฝ่ายไม่ได้ ได้แต่ถลึมตามองไอ้พวกที่อยากจะหัวเราะแต่กลั้นเอาไว้เหล่านั้น ก่อนหันกลับมาแสดงความเคารพฟางเจิ้ง “ท่านนี้คงจะเป็นเจ้าอาวาสวัดเอกดรรชนีใช่ไหมครับ?”
ฟางเจิ้งยืนขึ้น ประนมสองมือแสดงความเคารพกลับ “อาตมาเอง ประสกมีธุระอะไรหรือ?”
ฟางเจิ้งพูดพลางเดินออกมาจากอุโบสถ อุโบสถเป็นที่ไหว้พระ ไม่ใช่ที่สนทนา
“คืออย่างนี้ครับ พวกเรามาจากบริษัทภาพยนตร์เมืองชุน ว่าจะขอยืมสถานที่บนภูเขาถ่ายหนังน่ะครับ ผู้ใหญ่บ้านเอกดรรชนีตอบตกลงแล้ว ท่านว่ายังไงครับ” ผู้กำกับอวี๋เจ้าเล่ห์ ไม่บอกว่าจะมาปรึกษา แต่เอาชาวบ้านเอกดรรชนีมาบังหน้า ถึงยังไงก็ยังไม่เห็นวิวบนเขา เขาเลยยังไม่มั่นใจว่าจะเลือกที่นี่ไหม ถ้าไปพูดกับอีกฝ่ายตรงๆ แล้วอีกฝ่ายตอบตกลง ขืนเขาไม่ชอบวิวขึ้นมาก็คงพูดยาก
ดังนั้นเขาเลยมาก่อน ใช้อุบายเล็กน้อยเพื่อประหยัดเวลา ตกลงกับฟางเจิ้งก่อน จากนั้นค่อยไปหาผู้ใหญ่บ้าน เดาว่าคงมีโอกาสได้สูงมาก อีกอย่างในมุมมองเขา วัดเล็กแบบนี้ยังต้องพึ่งพาคนในหมู่บ้านมาไหว้พระ หลวงจีนนี่ไม่มีทางไม่ไว้หน้าผู้ใหญ่บ้าน
แต่…
ฟางเจิ้งได้ยินดังนั้นพลันเกิดความเหยียดหยามในใจ หลอกคนอื่นได้ แต่หลอกเขา? เขารู้จักหวังโอ้วกุ้ยดี ถึงหวังโอ้วกุ้ยจะมีมันสมองที่ปราดเปรียว แต่เขาไม่มีทางทำเรื่องผิดกฎอย่างแน่นอน ภูเขาเอกดรรชนียกให้วัดเอกดรรชนีนานแล้ว เขาไม่มีทางชี้นิ้วสั่งไปทั่วแน่ ต่อให้คิดแบบนี้ก็จะติดต่อฟางเจิ้งก่อน จากนั้นค่อยตอบตกลงกับอีกฝ่าย
แต่หวังโอ้วกุ้ยไม่มา นั่นอธิบายเรื่องราวต่างๆ มากมาย
ฟางเจิ้งยิ้มน้อยๆ “ประสก อาตมาไม่เข้าใจว่าประสกพูดอะไร ถ้ามีธุระอะไรไปคุยกับผู้ใหญ่บ้านเถอะ รอจนอาตมาเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วค่อยว่ากันอีกที”
“เณร เจ้าอาวาส พวกเราบอกไปแล้วไม่ใช่เหรอว่าผู้ใหญ่บ้านตกลงแล้ว ท่านแค่พยักหน้าก็สิ้นเรื่องแล้วนี่?” หลินตงสือช่วยหัวเราะ
ฟางเจิ้งยิ้มมองหลินตงสือ ผู้กำกับอวี๋รวมถึงทุกคนที่จะพูดอย่างสงบนิ่ง ไม่ได้พูดอะไร แต่มองพวกเขา พอเห็นแววตาใสสะอาดของฟางเจิ้งที่ไม่มีสิ่งเจือปนใดๆ และสว่างไสวแล้ว ผู้กำกับอวี๋ที่จะพูดโกหกต่อต้องกลืนคำลงไป ไม่รู้ว่าเพราะอะไร เมื่อเผชิญหน้ากับเณรน้อยที่แววตาใสสะอาดดั่งแสงตะวันแล้ว ขณะที่เขาจะพูดโกหกจะเกิดความรู้สึกละอายใจ ตนที่เป็นคนปลิ้นปล้อนอยู่ในสังคมมานานขนาดนี้ ในด้านการโกหกพูดได้ว่าเขาครองรางวัลตุ๊กตาทองออสการ์ได้แน่นอน เรียกได้ว่าหนังหนาทนทานยิงแทงไม่เข้า
ทว่ามาเจอกับเณรตรงหน้า เขากลับเกิดความละอายใจ ไม่กล้าพูดโกหกต่ออีก
ผู้กำกับอวี๋ยิ้มเจื่อนๆ “ขอโทษครับเจ้าอาวาส เมื่อกี้ผมโกหก ถ้าอย่างนั้นขอตัวไปคุยกับคนในหมู่บ้านก่อน เดี๋ยวจะขึ้นเขามาคุยกับท่านดีไหม?”
แม้จะได้สัมผัสกันในช่วงเวลาสั้นๆ ทั้งยังไม่รู้ว่าพระธรรมของฟางเจิ้งเป็นยังไง แต่ความใสสะอาดโดยธรรมชาติของฟางเจิ้งไม่มีความรู้สึกเจือปนทางโลกเลย ทำให้ดวงตาเขาเปล่งแสงสว่างและยังมีความชื่นชม ในสังคมที่เห็นเงินเป็นสิ่งสำคัญในสมัยนี้มีคนเอกลักษณ์แบบนี้ได้ นอกจากทารกที่เพิ่งเกิดแล้ว เขาหาคนที่สองไม่เจอเลยจริงๆ นี่คือนักบวชโดยแท้ เขาไม่อยากสร้างความลำบากให้อีกฝ่ายมากนัก แต่ก็ไม่รู้ว่าฟางเจิ้งไม่มีกิเลสอะไรเลยจริงๆ และใสสะอาดไม่มีสิ้งเจือปนจริงๆ หรือไม่
เพียงแต่ว่ากิเลสของฟางเจิ้งต่ำมากเมื่อเทียบกับคนส่วนใหญ่ เหมือนกับอุดมการณ์ของเขา เพียงแค่อยากหาผู้หญิงไม่ต้องสวยสักคน แต่งงานมีลูกกัน ใช้ชีวิตง่ายๆ เขาไม่ใช่คนทะเยอทะยานหรือคนที่มีความปรารถนายิ่งใหญ่ แต่เป็นเพียงคนธรรมดาง่ายๆ ทุกอย่างเรียบง่ายก็โอเคแล้ว ประกอบกับข้าวผลึกน้ำบริสุทธิ์ชะล้างกาย เสียงมู่อวี๋ เสียงสมาธิชะล้างจิตวิญญาณ และช่วงเร็วๆ นี้แทบจะศึกษาพระธรรมทุกคืนวัน ซ้ำยังมีจีวรขาวจันทร์ขยายด้านดีของเขาให้ใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้นจนกลบเหนือสิ่งอื่นทั้งหมด คนอื่นเลยรู้สึกใสสะอาดไม่มีจุดด่างพร้อยต่อตัวเขา
ฟางเจิ้งแสดงความเคารพกลับ “อมิตาพุทธ เชิญประสก”
ผู้กำกับอวี๋พยักหน้า เขาไม่ได้ลงเขาไปในทันที แต่พาคนสิบกว่าคนไปอยู่หน้าอุโบสถ ทุกคนจุดธูปชั้นดีหนึ่งดอก ใส่เงินค่าธูปแล้วถึงพากันออกไป นี่คือความเคยชินของเขากับทุกคนในวงการ คนอื่นอาจจะไม่เชื่อพุทธหรือศาสนา แต่สำหรับพวกเขามาวัดต้องไหว้พระ นี่กลายเป็นความเคยชินไปแล้ว
กลุ่มคนเดินไป ฟางเจิ้งมองเงินในกล่องบริจาคพลางยิ้มบางๆ ‘ไม่ต้องกังวลเรื่องท้องหิวแล้ว’
กลุ่มคนไม่ได้ลงเขา แต่เดินพลางถ่ายรูปบนยอดเขา เดินๆ หยุดๆ สำรวจไปรอบๆ หลังสังเกตอย่างละเอียดอยู่หนึ่งชั่วโมงแล้วถึงลงเขาไป ผู้กำกับอวี๋พยักหน้าไม่หยุดตลอดทาง เห็นได้ว่าพอใจกับวิวที่นี่มาก ที่สำคัญคือวิวเป็นธรรมชาติ มีกลิ่นอายเซียนเต็มสิบ ไม่มีสิ่งของขัดหูขัดตา เหมาะกับการถ่ายหนังมาก
พอหวังโอ้วกุ้ยได้ยินว่าจะถ่ายหนังบนภูเขาเอกดรรชนีก็ดีใจจนแทบจะตอบตกลง แต่พอตรึกตรองดีๆ แล้วดันยิ้มแห้ง “ภูเขาเอกดรรชนียกให้วัดเอกดรรชนีไปนานแล้ว หมู่บ้านได้แค่สนับสนุน ส่วนจะถ่ายได้ไหม ยังต้องถามความเห็นของหลวงพี่ฟางเจิ้งเจ้าอาวาสวัดเอกดรรชนี”
“คุณเป็นผู้ใหญ่บ้าน เรื่องแค่นี้ตัดสินใจเองไม่ได้เหรอครับ” หลัวลี่ถามด้วยความไม่เข้าใจ
“ผมเป็นผู้ใหญ่บ้าน แต่จะวางอำนาจบาตรใหญ่ไม่ได้ กฎเป็นกฎ ผมทำลายกฎไม่ได้หรอก พวกคุณมาถ่ายหนังภูเขาเอกดรรชนี ถือเป็นเรื่องดีมากสำหรับหมู่บ้าน ผมสนับสนุน แต่จะถ่ายได้ไหมต้องไปถามหลวงพี่ฟางเจิ้ง” หวังโอ้วกุ้ยด้วยความเคร่งขรึม
ผู้กำกับอวี๋ว่า “อันนี้ผมเข้าใจ ผมไปหาหลวงพี่ฟางเจิ้งมาแล้ว เขาบอกว่าแล้วแต่คุณเลย พวกคุณว่ากันอย่างนี้ผมก็ลำบากแย่สิ”
“เอ่อ อย่างนั้นเองเหรอ พวกคุณรอเดี๋ยวนะ ผมโทรไปถามก่อน” ว่าจบหวังโอ้วกุ้ยออกจากบ้านไปโทรศัพท์ข้างนอก
…………………………