หลี่เสวี่ยอิงตกใจเสียงเห่าหมาป่า อีกอย่างหน้ามันก็มีความดุร้ายโดยธรรมชาติ เธอเลยกลัวนิดๆ
ฟางเจิ้งส่งสายตาให้หมาป่าเดียวดาย สื่อว่าแกทำให้ฉันตกใจแทบแย่ แต่หมาป่าเดียวดายคิดว่าฟางเจิ้งให้มันทำตัวดีๆ หน่อย จึงส่ายหางไปนั่งยองข้างหลี่เสวี่ยอิง จากนั้นแอบใช้สายตาที่สื่อว่าพอใจรึยังมองทางฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งรู้สึกว่านี่ไม่ใช่หมาป่า แต่จะต้องเป็นหมูแน่ๆ พวกหมูก็โง่แบบนี้แหละ
หลี่เสวี่ยอิงเห็นหมาป่าเดียวดายออดอ้อนก็ขบขัน ลูบหัวมันพลางว่า “หลวงพี่ฟางเจิ้ง หมาป่านี่นิสัยดีว่าง่ายจังนะคะ”
ฟางเจิ้งจะพูดอะไรได้ หัวเราะแห้งๆ สองที “แหะๆ…”
“หลวงพี่ฟางเจิ้ง นั่นกุฏิท่านเหรอคะ?” หลี่เสวี่ยอิงมองกุฏิตรงกลาง
ฟางเจิ้งหัวใจบีบรัดตัว ในห้องมีชุดชั้นในกางเกงในอยู่ จะให้หลี่เสวี่ยอิงเข้าไปไม่ได้เด็ดขาด! แต่ก็ยังตอบว่า “กุฏิอาตมาเอง และก็เป็นห้องครัวด้วย”
หลี่เสวี่ยอิงถาม “ตรงนั้นเหมือนจะมีห้องเล็กๆ ด้วยนี่คะ?”
ฟางเจิ้ง “ไม่ใช่ นั่นเป็นกุฏิอาตมาเหมือนกัน อาจารย์ของอาตมาเคยอยู่ที่นั่น”
“แบบนี้เอง ถึงวัดท่านจะเล็ก แต่ก็ครบครัน เอ่อ หลวงพี่ฟางเจิ้ง ฉันเข้าไปดูไม่ได้จริงๆ เหรอ?” หลี่เสวี่ยอิงทำหน้าตาน่ารักมองฟางเจิ้ง เธอไม่ได้ใช้สีหน้าแบบนี้มาหลายปีแล้ว เธอเองยังจำไม่ได้เลย หลังจากมีชื่อเสียงอยากได้อะไรก็ได้ ทำไมจะต้องขอ? ครั้งนี้สู้สุดใจเพราะอยากรู้อยากเห็นจริงๆ…
มีหรือที่ฟางเจิ้งจะสนใจว่าเธอจะน่ารักแค่ไหน ต่อให้เธอเปลี่ยนเป็นแมวก็ไม่มีทางให้เข้าไป! ฟางเจิ้งส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด “ขอโทษด้วยสีกา นี่คือพื้นที่ส่วนตัวของอาตมา ไม่เหมาะจะให้สีกาเข้าไป”
หลี่เสวี่ยอิงผิดหวังเล็กน้อย แอ๊บแบ๊วครั้งแรกในรอบหลายปีดันล้มเหลวซะได้! ถึงขนาดที่เธอยังสงสัยว่าไม่ได้แอ๊บแบ๊วมานานเกินไปเลยทำไม่ได้แล้วรึเปล่า ความจริงแล้วหลี่เสวี่ยอิงไม่รู้ว่าต่อหน้าคนอื่นเธอคือราชินีที่เย็นชา ไม่ว่าจะพูดหรือทำก็ต้องถ่อมตัวและมีมารยาท
กระทั่งตอนอยู่ต่อหน้าอวี๋กว่างเจ๋อจะตีเสมอแค่เพื่อนเท่านั้น ไม่เคยแสดงท่าทีของเด็กสาวแบบนี้มาก่อน
แต่อยู่ต่อหน้าฟางเจิ้ง เธอกลับเก็บความโอหังในใจไปโดยไม่รู้ตัว ลบออร่าทั้งหมด ทำตัวเป็นเพียงคนธรรมดา ความจริงเธอรู้สึกว่าฟางเจิ้งไม่ได้มองเธอเป็นดารา แต่มองเป็นญาติโยมทั่วไป เธอชอบความรู้สึกนี้ ชอบสายตาที่ไม่มีออร่า ไม่มีลักษณะสีหน้า ดังนั้นเลยถอดหน้ากากออกได้อย่างแท้จริง ทำแอ๊บแบ๊วได้สบายๆ
ที่สำคัญที่สุดคือสิ่งต่างๆ ฟางเจิ้งแสดงออกทำให้เธอยกระดับฟางเจิ้งเป็นไต้ซือโดยไม่รู้ตัว ทำให้เธอโอหังต่อหน้าเขาไม่ได้
หลี่เสวี่ยอิงหยั่งเชิงถาม “ไม่ได้จริงๆ หรือคะ?”
“อมิตาพุทธ สีกา…เอ่อ” ฟางเจิ้งยังพูดไม่จบก็เห็นลิงมีชุดชั้นในครอบหัวปีนขึ้นกำแพงข้างหลังหลี่เสวี่ยอิง
“เป็นอะไรคะ?” หลี่เสวี่ยอิงหันไปมองด้วยความแปลกใจ ลิงตกใจรีบเอาหัวข้ามไปหลังกำแพง หลี่เสวี่ยอิงเลยไม่เห็นอะไร
ฟางเจิ้งลอบถอนหายใจ “ไม่มีอะไร เมื่อกี้นกบินผ่านน่ะ สีกา กุฏิไม่เหมาะจะเปิดให้คนนอกจริงๆ”
“อย่างนั้นเอง โอเคค่ะ…” แม้หลี่เสวี่ยอิงจะอยากฝืนฝ่าเข้าไปมาก แต่แบบนี้ไม่เคารพผู้อื่นเกินไป ได้แต่ล้มเลิกความคิดไป
กลับมาที่หน้าวัด หลี่เสวี่ยอิงนั่งอยู่ใต้ต้นโพธิ์ “หลวงพี่ฟางเจิ้ง ฉันนั่งพักเงียบๆ ตรงนี้ได้ไหมคะ?”
ฟางเจิ้งพยักหน้า “สีกาตามสบาย ถ้ามีอะไรก็เรียกอาตมานะ”
พูดจบฟางเจิ้งกลับไปหลังวัด พอเข้าไปในกุฏิก็ถอนหายใจโล่งอกโดยพลัน ในที่สุดกุฏิก็โล่ง ข้าวของรกรุงรังหายไปแล้ว เขายกผ้าห่มขึ้นเตรียมจะพับ แต่เมื่อสะบัดผ้าห่ม ฟิ้ว…สีแดงเอย สีขาวเอย สีชมพูเอยลอยออกมา
ฟางเจิ้งหน้ามืดทะมึน…ให้พวกมันซ่อนของก็ซ่อนกันแบบนี้?
แต่ยังไม่ทันจะพูดอะไร กระรอกปีนเข้าในจากหน้าต่าง พูดด้วยความไม่พอใจมาก “นายทำอะไร? กว่าฉันจะซ่อนได้ นายดันเอาออกมาเนี่ยนะ เหนื่อยเปล่าเลย”
ฟางเจิ้งมองค้อน เจ้าตัวเล็กนี่ยังมีเหตุผลอีกนะ…ทำเขาโกรธจนอยากจะระเบิดลูกเกาลัดสองลูกของมันจริงๆ
แต่ฟางเจิ้งอดกลั้นไว้ เขาคิดอ่านเหมือนกับสัตว์ทั่วไปไม่ได้ จึงเก็บของ เตรียมยัดเข้าไปในตู้ พอเปิดตู้ออก ข้างในยังมีอีกเพียบ
เขามองของพวกนี้โดยไม่มีความรู้สึกอะไรทั้งนั้น ยัดเข้าไปให้หมด ปิดประตูตู้ อยู่กุฏิไม่ได้แล้วเลยไปห้องครัว
เช้าตรู่ยังไม่ได้กินข้าวเช้าเลย เปิดฝาหม้อออก ใบหน้าเขาดำมืด ในหม้อซ่อนกางเกงในไว้สองตัว ชุดชั้นในหนึ่งตัว!
เปิดโอ่งข้าวก็มีเหมือนกัน!
ฟางเจิ้งหน้าอึมครึม มองกระรอกที่ตามมาพลางถาม “นี่ใครเป็นคนทำ?”
กระรอกส่ายหน้าอย่างเด็ดขาด “ไม่รู้” แต่ดวงตาเล็กกลอกไปมาตลอด เห็นได้ชัดว่ากำลังพูดว่าฉันรู้ แต่นายต้องติดสินบนฉัน
“เพิ่มข้าวเช้า” ฟางเจิ้งกล่าว
“ลิงทำ! มันบอกว่าชอบกลิ่นหอมๆ ข้างบน เลยจะเอากลิ่นมาย้อมข้าวผลึก กินแล้วจะอร่อยกว่าเดิม” กระรอกขายลิงโดยไม่มีอคติเลย
ฟางเจิ้งปิดฝาโอ่งข้าว เดินวนไปมารอบๆ ตอนนี้เองลิงเข้ามา เกาก้นแล้วถาม “เจ้าอาวาส นายหาอะไร?”
“ไม้” ฟางเจิ้งตอบ
“ข้างนอกก็มี นายจะเอาไม้ไปทำอะไร?” ลิงถาม
“ตีลิง” ฟางเจิ้งตอบ
เจ้าลิง “@#¥@…”
ขณะเดียวกันใต้ต้นโพธิ์ หลี่เสวี่ยอิงพิงลำต้น เงยหน้ามองแมกไม้ หรี่ตาลง สัมผัสกับความเงียบที่หาได้ยาก
ทันใดนั้นเองมีเงาหนึ่งวิ่งผ่านบนต้นไม้ จากนั้นกระโดดไปบนกิ่งไม้ ก้มหน้ามองข้างล่าง เจ้าอ้วนนี่ดึงดูดความสนใจของเธอทันที
“เฮ้ เจ้าตัวน้อย พวกเราเคยเจอกันมาก่อนนี่” หลี่เสวี่ยอิงทักทายกระรอก
กระรอกไม่กลัวคนเลย มันหมุนตัวกลับวิ่งลงมาตามลำต้น กระโดดมาอยู่บนบ่าหลี่เสวี่ยอิงพลางดมๆ จากนั้นหรี่ตาลงคิดในใจ ‘กลิ่นเหมือนมาก’
“เจ้าตัวน้อย นายทำหน้าแบบนี้หมายความว่าไง? ฉันไม่มีของกินนะ” หลี่เสวี่ยอิงยิ้ม แต่พลันนึกอะไรออกจึงหยิบสาหร่ายทะเลแผ่นหนึ่งมาจากในกระเป๋าถือ แกะซองออกแล้วส่งให้กระรอก “อันนี้กินได้”
กระรอกดม มันมีกลิ่นแปลกๆ พอลองชิมหน่อยหนึ่งก็ไม่เลว สุดท้ายยัดใส่ปากกินอย่างมูมมาก ตั้งแต่มาวัดเอกดรรชนีมันจะแย่งข้าวกับหมาป่าและลิงทุกมื้อ กระทั่งยังจะแย่งข้าวฟางเจิ้งกิน นับวันยิ่งกินมันยิ่งมูมมาม
กินเสร็จ กระรอกมองหลี่เสวี่ยอิงตรงๆ
หลี่เสวี่ยอิงหยิบสาหร่ายทะเลมาอีกสามแผ่น แกะส่งให้กระรอก
ครั้งนี้กระรอกไม่กิน แต่ถือขึ้นต้นไม้ ถึงมันจะตะกละแถมขี้เหนียว แต่มันไม่เอาเปรียบใคร มันตัดสินใจแล้วว่าจะเอาเมล็ดสนให้หลี่เสวี่ยอิงเป็นการแลกเปลี่ยน