หมาป่าเดียวดายยืนขึ้นทำท่าจะกินอีก ลิงจึงรีบคว้ามาไว้ในมือ ดมแล้วก็ไม่มีกลิ่นอะไร จึงจิ้มซีอิ๊วเล็กน้อยเพื่อจะลองชิมบ้าง
แต่พลันมีกลิ่นอายสังหารจางๆ ลอยมาจากด้านข้าง พอชำเลืองมองก็เห็นหมาป่าเดียวดายยืนขึ้นเกาะบนโต๊ะเหมือนคน ราวกับพร้อมจะงาบตลอดเวลา ทั้งยังเตรียมพร้อมจะงาบแล้ว
เจ้าลิงรีบหมุนตัวกลับ ทำเสียงหึๆ ‘คิดจะกินผักของพี่ลิงเหรอ? ไม่มีทางซะหรอก!’
แต่หมาป่าเดียวดายไล่ตามมา อ้าปากจากงาบ
ลิงชูมือขึ้นสูงหลบการลอบโจมตีของหมาป่าเดียวดาย ก่อนจะหัวเราะเคี๊ยกๆ แกว่งใบผูกงอิงในมืออย่างองอาจห้าวหาญ จากนั้นยัดใส่ปากไปทั้งหมด
พริบตานั้น เจ้าลิงเห็นหมาป่าเดียวดายยิ้มชั่วร้าย อ้าปากเล็กน้อย มีใบไม้อยู่ในปาก เจ้านี่ยังไม่ได้กินเข้าไป!
มันรู้สึกผิดปกติ แต่ก็ถือโอกาสกัดไปแล้ว…วินาทีนั้นก้นลิงแดงกว่าเดิม ดวงตาก็แดงด้วย รู้สึกถึงแต่ความขมในปาก ขมจนอยากจะพ่นน้ำดีออกมา มันอ้าปากกว้างจะคายออก
แต่เสียงร้องจี๊ดๆ ดังแว่วมา เจ้ากระรอกกลับมาแล้ว
พริบตานั้นลิงกับหมาป่าเดียวดายมองตากัน ต่างเห็นประกายน้ำตาและเจตนาของกันและกัน ‘จะมีแค่เราสองคนที่ถูกหลอกไม่ได้!’
ดังนั้นเจ้าสองตัวนี้เลยฝืนทนความขมในปากไว้ ปิดปาก หยีตาเคี้ยวพลางสัมผัสกลิ่นหอมในปาก ทำหน้าลุ่มหลงมัวเมา
ฟางเจิ้งเห็นแบบนั้นถึงกับพูดไม่ออก การหลอกติดต่อไปหาคนอื่นได้จริงๆ เขาให้เจ้าหมาป่าเดียวดายกินผูกงอิงคำใหญ่ เพราะสองวันนี้มันเป็นร้อนใน อยากให้มันหายดี แต่เจ้าลิงคือโศกนาฏกรรมที่เขาไม่รู้ไม่ชี้ด้วย เพียงแต่ดูท่าแล้วน่าจะยังมีอีกตัวหนึ่งเจอโศกนาฏกรรมเช่นกัน
ฟางเจิ้งไม่พูดอะไร แต่ดูละครต่อ กินข้าวผลึกอย่างมีความสุขพลางมองเจ้าสองตัวที่น้ำตานองหน้าแต่ยังยืนหยัดแสดงต่ออย่างขมขื่น
กระรอกกลับมาแล้ว เจ้าอ้วนใสซื่อปีนขึ้นมาบนโต๊ะ เห็นลิงยื่นมือป้องชามผูกงอิง ในปากเคี้ยวอะไรคำใหญ่อยู่ แถมยังมีใบผักติดอยู่ตรงมุมปากสื่อว่ามันกินอันนี้! ดูจากสีหน้ามัวเมาแล้วเหมือนจะอร่อยมากทีเดียว มันมองหมาป่าเดียวดายก็เห็นว่ามีสีหน้าเหมือนกัน แต่ทำไมเจ้านี่ถึงร้องไห้ อร่อยจนร้องไห้เลยเหรอ?
เจ้าอ้วนอยากรู้อยากเห็นกว่าเดิม มันยื่นกรงเล็บจะไปแย่งชามมา แต่ลิงตัวสูงยาวยกชามหนีไป
กระรอกไม่ไหวแล้ว มันรัวหมัดไปมาพลางร้องจี๊ดๆ ราวกับกำลังประท้วง ลิงไม่สนใจ กระรอกจึงได้แต่ไปฟ้องฟางเจิ้ง
ฟางเจิ้งกล่าว “อมิตาพุทธ เจ้าลิง อย่ารังแกกระรอกสิ วางลง!”
เจ้าลิงถึงวางชามลงด้วยความขัดใจ กระรอกพลันถูสองมือวิ่งเข้าไป แต่มีตะเกียบคู่หนึ่งขวางหน้ามันไว้ ฟางเจิ้งพูดจากใจจริงว่า “สหายน้อย จำคำพูดที่อาตมาพูดด้วยตอนที่นายกินข้าวครั้งแรกได้ไหม? ห้ามสิ้นเปลือง เอาไปเท่าไรก็กินเท่านั้น ถ้าสิ้นเปลืองจะลดข้าวลงหนึ่งวัน”
เจ้าตัวน้อยร้อนใจจะแย่แล้ว เห็นลิงกับหมาป่าเดียวดายกินกันสำราญขนาดนั้นเลยคิดแต่จะรีบกิน จึงพยักหน้ารัวๆ สื่อว่าเข้าใจแล้ว
ฟางเจิ้งถึงได้เก็บตะเกียบไป เจ้านี่ตัวไม่ใหญ่ แต่ปากจุของได้เยอะมาก กรงเล็บเล็กโยกย้ายไปมา ยัดผูกงอิงใส่ปากทีละกำจนแก้มบวมตุ่ย ดูจากลักษณะแล้วเจ้านี่คงจะเตรียมยัดใส่ปากกลับไปกินทั้งวัน
แต่ฟางเจิ้งกลับมองกระรอกด้วยความเห็นใจมาก ความละโมบมีราคาที่ต้องจ่าย เจ้าตัวน้อยนี่ไม่ว่าอย่างไหนก็ดีหมด เสียแต่มีจิตใจละโมบมากเกินไป
ลิงกับหมาป่าเดียวดายเห็นกระรอกยัดผูกงอิงไปเต็มปากก็หัวเราะทันใด พวกมันกินผักขมในปากทั้งน้ำตา ในที่สุดก็เท่าเทียมกันแล้ว
แต่กระรอกยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น มันลองกัดผูกงอิงในปากคำหนึ่ง ใบอ่อนแตกออก ของเหลวในนั้นสาดกระจาย ทันใดนั้นเจ้ากระรอกตาเหลือก ล้มลงนอนบนโต๊ะแล้วแน่นิ่งไป
ฟางเจิ้งเห็นดังนั้นก็อดหัวเราะเสียงดังไม่ได้ ในที่สุดเจ้าตัวน้อยก็ได้จ่ายราคาให้ความโลภของมัน
แน่นอนว่ากระรอกไม่ได้หมดสติไป เพียงแต่ชิมใบไม้แล้วขมจัด ในปากมีเยอะขนาดนี้…มันคิดๆ ดูแล้วก็สิ้นหวัง!
สุดท้ายลิง กระรอก และหมาป่าเดียวดายต่างกินผูกงอิงในปากจนหมดด้วยความทุกข์ทน ก่อนมองฟางเจิ้งด้วยแววตาโกรธแค้น เห็นได้ชัดว่าพวกมันติดกับหลวงจีนชั่วร้ายนี่!
แต่ฟางเจิ้งกลับไม่คิดอย่างนั้น เขายังคงกินข้าวอย่างสงบ ราวกับไม่มีสายตาอยากฆ่าคนทั้งสามอยู่ เขาทำเพื่อเจ้าสามตัวนี้ ผูกงอิงเป็นยาจีน กินแก้ร้อนในได้ แม้แต่เขายังกินไปไม่น้อย ถึงจะขม แต่ขมก็เป็นรสชาติอย่างหนึ่ง กินเยอะเดี๋ยวก็ชินไปเอง
เห็นฟางเจิ้งเอ้อระเหย เจ้าสามตัวนี้เลยมองหน้ากันแล้วเริ่มกินข้าวผลึกอย่างบ้าคลั่ง ฟางเจิ้งเห็นดังนั้นจึงหัวเราะเหอะๆ ไม่ได้ว่าอะไร
เดิมทีเจ้าสามตัวนี้ใช้เวลาสิบกว่านาทีในการกิน แต่ครั้งนี้สิบกว่าวินาทีกลับกินหมดแล้ว กินกันมูมมามอย่างไม่เสียดาย อั้นเอาไว้จนหน้าแดง ต่อมาพวกมันพุ่งเข้าไปในครัวอย่างเร็วรี่ ตอนแรกฟางเจิ้งไม่ได้คิดอะไร แต่ก็พลันนึกถึงปัญหาอย่างหนึ่งได้!
ก่อนหน้านี้มีแค่หมาป่าเดียวดายกับกระรอก หมาป่าเดียวดายไม่มีมือตักข้าว กระรอกก็ตัวเล็กเกินไปตักข้าวไม่ได้ เว้นแต่จะกระโดดลงไปเท่านั้น…แต่ว่าตอนนี้มีเจ้าลิงที่มีมือเท้ายาวแถมมีปัญญาเพิ่มมาอีกตัว!
ฟางเจิ้งได้ยินเสียงปุงปังในครัวจึงรีบถือชามข้าววิ่งไปดู พอเข้าไปก็เห็นสามตัวกำลังกระดกก้นกินอย่างมีความสุข ส่วนในหม้อสะอาดเกลี้ยงเกลาไม่มีข้าวเหลือสักเม็ด!
“พวกนายสามคน…” ฟางเจิ้งหน้ามืดดำ เจ้าสามตัวนี้รวมหัวกันแก้แค้นเขา!
พวกมันกินกันอย่างบ้าคลั่งไม่ยอมเงยหน้าขึ้น ไม่นานก็กินหมด แต่ละตัวอิ่มจนนอนลูบพุง ไม่กระดิกกระเดี้ยว
“ดีมาก กินเยอะสิดี กินเยอะก็ทำงานเยอะ จากนี้ไปหนึ่งสัปดาห์ พวกนายสามคนรับผิดชอบทำความสะอาดวัด ถ้าไม่สะอาดละก็ หึๆ…” ฟางเจิ้งเหลือบมองหม้อแวบหนึ่ง ความหมายชัดเจนมาก
เจ้าสามตัวได้ยินดังนั้นพลันร้องโอดครวญ ความฉลาดสู้กับอำนาจบาตรใหญ่ไม่ได้จริงๆ…
กับเรื่องนี้ ฟางเจิ้งไม่สนใจพวกมัน ช่วงบ่ายคาดว่าต้องหิวแน่ๆ
บางทีอาจเป็นเพราะการปิดภูเขาถ่ายหนังเมื่อช่วงก่อน สองวันนี้เลยไม่มีญาติโยมขึ้นเขามาเลย ชาวบ้านในหมู่บ้านก็ไม่ขึ้นเขามาจุดธูปเฉยๆ ฟางเจิ้งลูบกระเป๋ากางเกง มองฟ้าเงียบๆ พลางถอนหายใจกล่าว “ระบบ จะเป็นแบบนี้ไปถึงเมื่อไรกัน? นี่จนเกินไปแล้วนะ! มีเงินจุดธูปนิดหน่อยก็ให้นายหมด ฉันอยู่ไม่ได้หรอกนะ!”
“ถ้าอย่างนั้นก็พยายามสร้างบุญกุศล วันไหนบรรลุอรหันต์ก็สึกได้แล้ว” ระบบตอบมาอย่างเอ้อระเหย
ฟางเจิ้งมองค้อน “บุญกุศลหาง่ายขนาดนั้นเลยรึไง? ตอนนี้ฉันช่วยคนไปมากแล้ว ได้บุญกุศลมาเท่าไรเชียว?”
“เอาละ ถ้าอย่างนั้นฉันจะชี้แนะให้นายเอง ตอนนี้นายมีบุญกุศลอยู่สองร้อยแต้ม” ระบบตอบ
“หืม? ทำไมมากขนาดนั้นล่ะ?!” ฟางเจิ้งตกใจสะดุ้ง ถึงเขาจะช่วยคนมาไม่น้อย แต่ทุกครั้งได้บุญกุศลน้อยนิดจนน่าสงสาร คำนวณดูแล้วคงไม่ถึงร้อยแต้ม แต่ทำไมจู่ๆ ถึงเพิ่มมาสองร้อยแต้มได้?