บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์ – ตอนที่ 222 บิณฑบาต

ฟางเจิ้งย่อมเข้าใจว่าหวังโอ้วกุ้ยคิดอะไรอยู่ จึงตอบยิ้มๆ “โยม เรื่องนี้อาตมารู้แก่ใจดี อย่างน้อยก็แลกเป็นความสงบทางใจ ไม่เป็นไร เพียงแต่เรื่องถนนนี่…”

“เรื่องถนน…วางใจได้ ฉันจะจัดการให้ ที่ทางอำเภอซ่อมถนนให้ในครั้งนี้ หลักๆ เป็นเพราะกองถ่ายหนังเรื่องล่มเมืองครั้งก่อนมาหมู่บ้านเรา ตอนเลิกกองต่างชมเขาเอกดรรชนีกัน และดูเหมือนว่าเบื้องบนก็คิดอย่างนั้น ถ้าหนังล่มเมืองเข้าฉายจะต้องดังพลุแตกแน่ๆ ถึงตอนนั้นภูเขาเอกดรรชนีจะโด่งดังตามไปด้วย แถมยังกระจายข่าวกันออกไปอีก อาจจะไม่ใช่สถานที่ท่องเที่ยวใหญ่ แต่ต่อให้เป็นที่เล็กๆ ก็ไม่ใช่ปัญหา ดังนั้นนี่ถือว่าเป็นการลงทุนช่วงแรก เส้นทางภูเขาของแก้ก็น่าจะอยู่ในพื้นที่โครงการพวกเขาด้วย ที่ฉันว่าจะเอาเงินแกน่ะล้อเล่น ไม่คิดเลยนะว่า…เฮ้อ…” หวังโอ้วกุ้ยได้แต่หัวเราะแห้งๆ

ฟางเจิ้งงงงวย ไม่นึกเลยว่ากองถ่ายหนังล่มเมืองจะสร้างผลประโยชน์ให้เขามากขนาดนี้ นี่เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง แต่คิดๆ ดูก็ถูกแล้ว กองถ่ายใหญ่ขนาดนั้น แถมยังถ่ายหนังยักษ์ด้วย ถ้าเข้าฉายต้องสร้างเสียงฮือฮา เขาเอกดรรชนีจะมีชื่อเสียงตามไปด้วยอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้นแสงธูปของวัดจะสว่างไสวขึ้นเรื่อยๆ คนมากันมากขึ้น คนที่ช่วยเหลือได้ก็มากขึ้น บุญกุศลก็จะเพิ่มขึ้นเป็นกอบเป็นกำเช่นกัน?

ฟางเจิ้งพลันยิ้มเบิกบานใจ

หวังโอ้วกุ้ยคุยกับฟางเจิ้งสักครู่หนึ่ง เห็นเณรใสซื่อคนนี้ไม่ได้สนใจเงินห้าแสนนั่นก็ไม่ได้พูดอะไรอีก แต่วางสายแล้วรีบไปหาถานจวี่กั๋วกับหยางผิง ปรึกษากันเรื่องซ่อมถนน

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อแต่ละวันผ่านไป ญาติโยมเริ่มมาเยอะขึ้น แสงธูปในวัดเอกดรรชนีมากขึ้นเรื่อยๆ ฟางเจิ้งยืนต้อนรับผู้มากราบไหว้อยู่ใต้ต้นโพธิ์ทุกวัน

แต่วันนี้ฟางเจิ้งตื่นนอนเช้าเป็นพิเศษ ข้างนอกยังมืดอยู่

เมื่อเปิดประตูใหญ่ของกุฏิ หมาป่าเดียวดายพลันวิ่งออกมาจากในโพรง ในฐานะผู้ปกปักหมายเลขหนึ่งของวัด ถึงปกติมันจะขี้เกียจ แต่ก็เป็นมือดีในการเฝ้าวัด พอเห็นฟางเจิ้ง หมาป่าเดียวดายส่ายหัวเข้ามาใกล้ และเอาหัวถูขากางเกงฟางเจิ้งสองที

ฟางเจิ้งกวาดทำความสะอาดอุโบสถดั่งวันวาน เจ้าลิงเห็นฟางเจิ้งตื่นนอนแล้วก็ไม่เกียจคร้านบ้าง วิ่งออกมาหยิบไม้กวาดไปกวาดพื้น ช่วงนี้มันกวาดพื้นทุกวัน กวาดใบไม้ ฟังเสียงสวดมนต์ นิสัยใจร้อนของมันเปลี่ยนไปมากทีเดียว

ส่วนกระรอกช่วยจัดการพวกใยแมงมุมและพวกฝุ่นบนคานอย่างขันแข็ง

เสร็จงานฟ้าก็สางพอดี ฟางเจิ้งจุดไฟทำอาหาร หนึ่งคนสามตัวกินข้าวเช้ากัน ก่อนที่ฟางเจิ้งจะลงเขาไป ครั้งนี้ไม่ให้หมาป่าเดียวดายกับกระรอกตามมาด้วย ตอนนี้แสงธูปในวัดค่อยๆ สว่างไสวแล้ว จะไม่มีคนคอยดูไม่ได้ หมาป่าเดียวดายมีกำลังรบสูงสุด กระรอกมีความรอบคอบ เป็นตัวเลือกในการเฝ้าวัดที่ดีที่สุด

ส่วนเจ้าลิง ฟางเจิ้งพามันมาด้วย เทียบกับหมาป่าเดียวดายและกระรอกแล้ว มันตระหนักรู้ด้านพระธรรมสูงที่สุด ทว่าสิ่งที่ขาดไปคือนิสัยลิงที่คึกคักร่าเริง ไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ แต่มันเดินทางมาพันลี้เพื่อขอให้พระพระพุทธองค์ปกปักได้ นี่แสดงให้เห็นว่าจิตใจเดิมของมันฝักใฝ่พุทธศาสนา ฟางเจิ้งถึงให้โอกาส สนทนาธรรมกับมัน เขาไม่เคยคิดจะขัดเกลานิสัยของเจ้าลิงมาก่อน เพียงแค่อยากให้มันเข้าใจว่าอะไรควรไม่ควรก็เท่านั้น

ระหว่างทางลงเขา ลิงดูอยากรู้อยากเห็นมาก มันถามว่า “เจ้าอาวาส พวกเราจะไปไหนเนี่ย ไปทำอะไร?”

“พรุ่งนี้เป็นวันเช็งเม้ง ในโลกมนุษย์วันเช็งเม้งคือวันเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ทุกคนกำเนิดและเติบโตมาจากบุพการี ไม่มีบุพการีเลี้ยงดูจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ได้ยังไง? คนต้องรู้จักสำนึกในบุญคุณ ถึงบุพการีจากไปแล้วก็ต้องเซ่นไหว้ วันนี้เราลงเขาจะไปบิณฑบาต บิณฑบาตของกลับมา พรุ่งนี้จะได้ใช้เซ่นไหว้บรรพบุรุษกัน” ฟางเจิ้งตอบ

ถึงแม้เป็นนักบวช การเซ่นไหว้จะไม่ได้ยุ่งยากขนาดนั้น แค่สวดบทอวยพรให้บรรพบุรุษเงียบๆ ตอนไหว้พระสวดมนต์ทุกครั้ง แต่ว่าอย่างไรฟางเจิ้งก็เติบโตมาในหมู่บ้าน แถมหลวงจีนหนึ่งนิ้วเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับประเพณีที่สืบทอดกันมามาก ทั้งสองคนก็ทำแบบนี้กันมาตลอด

ตอนนี้หลวงจีนหนึ่งนิ้วไม่อยู่แล้ว ฟางเจิ้งก็ยังไม่คิดจะเปลี่ยนความเคยชินนี้

ลิงเกาหัว ถึงจะไม่เข้าใจทั้งหมด แต่ก็พยายามจำไว้ว่าสิ่งนี้ไม่ผิด

รอจนฟางเจิ้งลงเขามาแล้ว พวกชาวบ้านตรงตีนเขาพากันจุดไฟหุงอาหาร และยิ่งมีคนที่ตื่นเช้ากินข้าวเสร็จแล้วพากันเดินออกมา

พอฟางเจิ้งลงเขาก็มีคนเห็นเข้า จึงทักทายเขาทันที “หลวงพี่ฟางเจิ้ง มาบิณฑบาตเหรอ?”

ฟางเจิ้งสวดไปบทหนึ่ง “อมิตาพุทธ พรุ่งนี้เป็นวันเช็งเม้งแล้ว อาตมามาบิณฑบาต”

“อ๋อ เข้าใจแล้ว รอเดี๋ยวนะ ผมจะไปเอากระดาษเงินกระดาษทองมาให้” คนที่พูดนามว่าซุนเฉียนเฉิง ชื่อเขาดูมีอนาคตมาก แต่ตัวเขากลับอยู่ไปวันๆ ไม่สมกับความหมายชื่อ ทว่าเป็นคนที่เป็นมิตรมาก

“ขอบคุณมากโยม” ฟางเจิ้งรีบแสดงความเคารพ

ซุนเฉียนเฉิงหัวเราะเสียงดัง “เห็นท่านเกรงใจแบบนี้ ผมขนลุกขนพองไปหมดแล้วนะ” ซุนเฉียนเฉิงหัวเราะร่าพลางเดินกลับไปในลานบ้าน เข้าไปในบ้าน ไม่นานก็หยิบประทัดออกมากล่องหนึ่ง ธูปกำหนึ่ง และยังมีกระดาษเงินกระดาษทองปึกหนึ่งใส่ไว้ในถุงพลาสติกใหญ่ยื่นมาให้ ยิ้มเอ่ยว่า “ผมเตรียมไว้เมื่อสองวันก่อนน่ะ หลวงพี่ฟางเจิ้งดูหน่อยนะว่าพอไหม?”

ฟางเจิ้งแสดงความเคารพ “ขอบคุณโยมมาก อาตมาไม่ใช้ประทัด แค่ธูปกับกระดาษเงินกระดาษทองก็พอแล้ว” ถึงในวัดจะมีธูปใช้ไม่จำกัด แต่ครั้งนี้ฟางเจิ้งอยากใช้แค่ธูปที่บิณฑบาตมาได้ นี่เป็นความเคารพต่อหลวงจีนหนึ่งนิ้ว

ซุนเฉียนเฉิงหัวเราะแห้งๆ “ลืมไปเลย พวกท่านไม่จุดประทัดกันนี่ ได้ ผมจะเอากลับไป”

ฟางเจิ้งรับกระดาษเงินกระดาษทองกับธูปมา คุยกับซุนเฉียนเฉิงอีกสองประโยคก็เดินไปบ้านต่อไป ซุนเฉียนเฉิงให้ของเขาไม่เยอะ นี่ก็เกี่ยวข้องกับการบิณฑบาตของหลวงจีนหนึ่งนิ้วตลอดหลายปีมานี้ด้วย โดยจะไม่รับจากครอบครัวหนึ่งมากเกินไป ทุกคนต่างลำบากกันทั้งนั้น รับมามากจะเป็นการเพิ่มภาระให้คนอื่น

ฟางเจิ้งเดินไป ซุนเฉียนเฉิงตะเบ็งเสียง “หลวงพี่ฟางเจิ้งลงเขามาบิณฑบาตแล้ว!”

ซ่งเอ้อร์โก่วที่กำลังกวาดถนนโยนไม้กวาดทิ้งแล้วรีบวิ่งกลับบ้าน ไม่นานก็หอบถุงใหญ่วิ่งออกมาต้อนรับฟางเจิ้ง

ส่วนเศรษฐีหยางหรือหยางหวากำลังตุ๋นซุปไก่ในบ้าน เพิ่งยัดฟืนเข้าไปในเตาไฟก็เห็นตู้เหมยออกมา เตะเข้าไปทีหนึ่ง “คุณหูหนวกรึไง? ฟางเจิ้งลงเขามาบิณฑบาตแล้ว คุณมีเงินแล้วทำไมไม่โชว์บ้างล่ะ? อย่าลืมนะ เราขอลูกจากวัดมา แม้แต่รางวัลที่คุณถูกยังเป็นเพราะคำของหลวงพี่ฟางเจิ้งเลย”

หยางหวาตอบกลับเศร้าๆ “ผมรู้ ผมรู้อยู่แล้ว ไม่ใช่ไม่ได้ยิน แต่นี่ลูกเรานะ อย่าเตะมั่วซั่วได้ไหม ถ้าไปกระเทือนเจ้าตัวน้อยของเราจะทำยังไง?”

“เป็นคนดีจังเลยนะ ฉันเป็นคนโอหังขนาดนั้นเลยรึไง? จะบอกให้นะ ถ้าคุณไม่ห้ามฉันไว้ งานทุกอย่างในบ้านไม่มีวันถึงมือคุณหรอก” ปากตู้เหมยด่าก็จริง แต่แววตากลับอ่อนโยน มุมปากยกขึ้นโดยไม่รู้ตัว ตอนนี้มีลูกแล้ว แถมมีเงินอีกด้วย ตอนนี้ชีวิตกำลังดีขึ้นเรื่อยๆ ความรักสามีภรรยาก็ดี จึงรู้สึกว่าตนโชคดีมาก

หยางหวาหัวเราะแห้งๆ “รู้จ้ะรู้ เมียผมเก่งที่สุดแล้ว เดี๋ยวผมจะออกไป คุณรอเดี๋ยวนะ อย่าขยับมากล่ะ นอนได้ก็นอนอย่านั่งเลย…”

“ไปให้พ้นเลย!” ตู้เหมยด่าว่า

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

บรรลุอรหันต์กับระบบพุทธองค์

Status: Ongoing
บนภูเขาเอกดรรชนีในเขตภูเขาอันไกลโพ้นทางตะวันออกเฉียงเหนือ มีวัดเล็กแห่งหนึ่งนามว่าเอกดรรชนี แต่กลับประหลาดอย่างยิ่ง ในวัดมีข้าว ส่งกลิ่นหอมโชยสิบลี้ ในวัดมีน้ำ หวานสดชื่นอย่างยิ่ง เลิศล้ำกว่าสุราชั้นดี ในวัดมีพระพุทธ หากจริงใจจะสัมฤทธิ์ผล วัดไม่ใหญ่แต่กลับมีทุกสิ่ง วัดไม่ใหญ่แต่ความคึกคักของเพลิงเทียนกลับเหนือกว่าวัดทุกแห่งหน และดึงดูดผู้คนนับไม่ถ้วนจากภายนอกให้อดหลับอดนอนเรียงหน้ากันเข้ามา… ในวัดนี้มีหลวงจีนรูปหนึ่ง แม้ใจอยากสึก แต่กลับถูกระบบพุทธองค์ชั่วช้าจับตัวไว้ จำต้องอยู่ต่อไปเพื่อบรรลุอรหันต์ ได้แต่คอยพูดงึมงำอยู่ทุกวันว่า “อาตมาจะสึก จะหาภรรยาที่ไม่ต้องสวยมาก มีลูกน้อยด้วยกัน แล้วใช้ชีวิตอย่างสงบสุข!”

Comment

Options

not work with dark mode
Reset