ซุนเฉียนเฉิงอึ้งไป ไม่นึกเลยว่าการจุดธูปจะมีการให้ความสำคัญขนาดนี้ อดยกนิ้วโป้งให้ฟางเจิ้งไม่ได้ “ได้บทเรียนแล้ว”
ดังนั้นซุนเฉียนเฉิงจึงพูดตามฟางเจิ้ง เข้าไปจุดธูปทีละดอก ท่องคำพูดเหล่านั้นเงียบๆ ส่วนฟางเจิ้งช่วยสวดอยู่ข้างๆ
เมื่อเสร็จขั้นตอนทุกอย่าง ฟ้าก็ค่อยๆ มืดลงแล้ว ซุนเฉียนเฉิงเชิญให้ฟางเจิ้งกินข้าวที่บ้านพวกเขา แต่ฟางเจิ้งปฏิเสธไป แม้ใกล้จะหิวแย่แล้วก็ตามที แต่เขาอยากกลับไปกินมากกว่า
หลังบอกลาซุนเฉียนเฉิงก็ได้ยินเสียงประทัดในหมู่บ้าน ฟางเจิ้งกลับวัดเอกดรรชนี เปิดหม้อหุงข้าว หนึ่งคืนผ่านอย่างไปเงียบๆ
วันที่สอง ช่วงฟ้าสลัวมีฝนตกเล็กน้อย ตามมาด้วยฟ้าผ่าช่วงใบไม้ผลิ ฟางเจิ้งรู้ว่าผ่านวันเช็งเม้งไปแล้ว สภาพอากาศจะกลับมาร้อนในอีกไม่ช้า ขณะเดียวกันก็มีกำหนดการสร้างของวัดเอกดรรชนีมาแล้ว
วันเช็งเม้งผ่านไป เดือนสี่เงียบสงบและสบายๆ ทว่าเดือนนี้ยังมีวันสำคัญทางพุทธศาสนาที่พิเศษอีกเล็กน้อย วันที่สิบสองเดือนสี่ตามปฏิทินสุริยคติ วันที่สิบหกเดือนสามตามปฏิทินจันทรคติ ถือเป็นวันประสูติของพระจุนทีโพธิสัตว์[1] นี่คือเทศกาลใหญ่ทางพุทธศาสนา พระกษิติครรภโพธิสัตว์[2] พระโพธิสัตว์กวนอิม พระสมันตภัทรโพธิสัตว์[3] และพระมัญชุศรีโพธิสัตว์[4] เป็นสี่พระโพธิสัตว์ยิ่งใหญ่ที่มั่งคั่งและมีชื่อเสียงที่สุด ในวัดฟางเจิ้งบูชาพระโพธิสัตว์กวนอิมสององค์ ทว่าก่อนหน้านี้ไม่ได้จัดงานวันประสูติของพระโพธิสัตว์กวนอิม เพียงแค่สวดมนต์เป็นกิจวัตรและบูชาคนเดียวเท่านั้น
ช่วยไม่ได้ แม้ฝืนจัดต่อไป ระบบก็ยังสนับสนุนได้ แต่ฟางเจิ้งไม่มีประสบการณ์ด้านจัดงานพิธี ถ้าจัดตามอำเภอใจก็อาจมีปัญญาได้ จะเป็นการสร้างปัญหาเพิ่มอีกรึเปล่า? อีกอย่างพิธีเป็นเพียงช่องทางการส่งเสริมพระธรรมอย่างหนึ่ง ไม่ใช่ช่องทางเดียว
หลังจากพระโพธิสัตว์กวนอิมประสูติจะเป็นวันประสูติของพระสมันตภัทรโพธิสัตว์ ฟางเจิ้งไม่ได้บูชาจึงไม่ต้องทำอะไรมาก แค่สวดมนต์บูชาพระโพธิสัตว์ในใจเท่านั้น
เวลาผ่านไปทีละวัน วันประสูติของพระโพธิสัตว์อีกองค์ก็มาถึง ในที่สุดฟางเจิ้งเกิดความคิดนิดๆ ว่าจะจัดพิธีดีหรือไม่ แต่ว่าการจัดพิธีควรจะเตรียมอะไรบ้าง ต้องทำอะไรบ้างล่ะ? เขาพลันพบว่าแม้จะเคยร่วมพิธีใหญ่ของวัดเมฆาขาวมา แต่ด้วยความที่พิธีใหญ่เกินไปจึงไม่ได้เข้าร่วมขั้นตอนทั้งหมด สิ่งที่ได้เรียนรู้มาน้อยนิดจนน่าสงสาร ตอนนี้พอจะจัดเอง ดวงตาสองข้างก็มืดหม่น ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนเลย
ตอนนี้เอง มีเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังแว่วมาจากนอกวัด ฟางเจิ้งเงยหน้าขึ้นก็เห็นคนรู้จัก นั่นคือหูทั่นพนักงานส่งพัสดุด่วนตลอดทาง หูทั่นวิ่งหอบหายใจเข้ามา ยังไม่ทันหยุดก็ควักพัสดุออกมาพลางเอ่ยว่า “หลวงพี่ฟางเจิ้ง พัสดุของท่านนะ ผมจะวางไว้นี่ ท่านมาดูนะครับ ผมมีเรื่องด่วนต้องขอตัวก่อน…” วางบัตรเชิญแล้วหูทั่นก็วิ่งออกไปอย่างว่องไว
ฟางเจิ้งเห็นดังนั้นพลันร้อนใจ “ถ้าของข้างในเสียหายจะทำยังไง ประสกจะไปอย่างนี้เหรอ? ไม่ดูหน่อยเรอะ? อาตมายังไม่ได้เซ็นรับเลยนะ?”
“ไม่ต้องเซ็นครับ ผมเชื่อใจไต้ซือ เกิดอะไรขึ้นผมรับผิดชอบเอง” ระหว่างพูดอยู่นี้ หูทั่นวิ่งไปไกลแล้ว
ฟางเจิ้งถูจมูก หัวเราะหึๆ พูดว่า “ถ้าในนี้มีอิฐทองคำอาตมาจะซ่อนให้ดี ถึงตอนนั้นเจ้านี่คงร้องไห้ขี้มูกโป่ง หึๆ…”
ปากว่าแบบนี้ แต่นี่เป็นจดหมายฉบับหนึ่ง คนโง่ก็รู้ว่าข้างในไม่มีอิฐทองอะไรนั่น ฟางเจิ้งเปิดดูแล้วตะลึงค้างโดยพลัน…
‘งานวันประสูติของพระจุนทีโพธิสัตว์ ขอเชิญเจ้าอาวาสฟางเจิ้ง ผู้เชิญหลวงจีนหงเหยียน’
นี่มันบัตรเชิญ! อ่านเนื้อหาข้างในจบแล้ว ฟางเจิ้งถอนหายใจ เกี่ยวกับวันสำคัญนี้จริงๆ แต่ไม่ใช่ว่าเขาไม่คิดจะจัดงานประเภทนี้ที่วัดเอกดรรชนี แม้ระบบจะสนับสนุนของต่างๆ แต่ว่าไม่มีคน! หลังจากวันที่แปดเดือนสี่ อากาศจะอบอุ่นขึ้นเรื่อยๆ ชาวบ้านที่เฉื่อยชาในหน้าหนาวจะเริ่มเตรียมเพาะปลูกกันแล้ว
ไหนจะตรวจสอบบ่อน้ำ ไหนจะเพาะต้นกล้า ไหนจะพรวนดิน…ช่วงนี้ทั้งหมู่บ้านต่างยุ่งกัน เขาจัดพิธีตอนนี้ ถ้าอยู่ใกล้เมืองใหญ่ก็ยังดี คนในเมืองไม่ต้องเพาะปลูกอะไร ไม่ว่าจะท่องเที่ยวในฤดูใบไม้ผลิ มาร่วมสนุก หรือไหว้พระ ก็จะมาเยี่ยมชมกัน นั่นจะเป็นพิธีใหญ่พิธีหนึ่งเลย
แต่ที่อย่างวัดเอกดรรชนี ผู้มาเยือนหลักๆ คือชาวบ้าน แถมยังเป็นพวกถ้ามีเรื่องจะมาขอให้ช่วย ถ้าไม่มีก็จะไม่มา สถานการณ์ตอนนี้ใครจะทิ้งงานที่บ้านมาร่วมพิธี?
ดังนั้นไม่ใช่เพียงแค่วัดเอกดรรชนีเท่านั้น ต่อให้เป็นวัดผาแดงก็ยังรวมคนได้ไม่เท่าไร อย่างมากสุดก็เป็นคนจากอำเภอซงอู่มาร่วมงานกัน นี่เป็นเพราะวัดผาแดงค่อนข้างมีชื่อเสียง มีผลพวงมาจากอิทธิพลของหลวงจีนหงเหยียน ส่วนวัดเอกดรรชนีจัดแล้วก็อาจจะไม่มีใครมา
มิหนำซ้ำวัดเอกดรรชนีไม่ได้บูชาพระจุนทีโพธิสัตว์ หากจัดงานจะให้ความรู้สึกว่าย้อมแมวขาย
นอกจากนี้ ประกอบกับฟางเจิ้งไม่มีประสบการณ์จริงๆ เลยไม่กล้าจัดงานใหญ่เกินไป ตอนนี้วัดผาแดงจัดแล้ว เขาสามารถไปเรียนรู้สักหน่อยได้ คิดได้ดังนั้นจึงเก็บบัตรเชิญไว้อย่างยินดี ก่อนจะเตรียมตัวไปร่วมงานที่วัดผาแดง
ตรึกตรองทุกอย่างดีแล้ว ฟางเจิ้งแบกมู่อวี๋ไปหลังวัด ถึงเวลาสวดมนต์ให้ต้นกล้าข้าวผลึกของตนแล้ว พอเห็นฟางเจิ้งจะไปสวดมนต์ หมาป่าเดียวดาย กระรอก กับลิงพลันเดินตามไปอย่างว่าง่าย จากนั้นเขานั่งลงตรงหัวนาพลางเคาะมู่อวี๋สวดมนต์ เจ้าสามตัวนี้ฟังจนเคลิบเคลิ้ม
หลายวันผ่านไป ฟางเจิ้งตื่นนอนตอนเช้าตรู่ จัดการเรื่องในวัดแล้วถึงกินข้าวเช้า ก่อนจะพาเจ้าลิงไปข้างนอก เป้าหมายครั้งนี้คือวัดผาแดง วัดผาแดงห่างจากวัดเอกดรรชนีไม่ถือว่าไกลมากนัก ถ้าขี่รถจักรยานยนต์ไปชั่วโมงเดียวก็ถึงแล้ว ถ้าเดินไปก็อาจจะไกลหน่อย
ดังนั้นครั้งนี้ฟางเจิ้งจึงไม่คิดจะเดินไป เขาลงมาแล้วก็ตรงไปที่บ้านหวังโอ้วกุ้ย เมื่อวานคุยกันไว้เรียบร้อยแล้ว หวังโอ้วกุ้ยจะไปร่วมงานที่วัดผาแดงด้วย ฟางเจิ้งเลยขอติดรถไปด้วยได้พอดี
ไม่ผิดจากที่คิด หวังโอ้วกุ้ยเตรียมพร้อมทุกอย่างแล้ว รอแค่ฟางเจิ้งเท่านั้น พอเห็นฟางเจิ้งมาจึงตบไปที่รถจักรยานยนต์คันใหญ่ของเขาพลางหัวเราะ “หลวงพี่ฟางเจิ้งมาแล้วนี่ กำลังรออยู่เลย”
ฟางเจิ้งยิ้ม “อาตมาไม่ได้มาสายใช่ไหม?”
“ไม่สายๆ ตาแก่นี่มันรีบ อย่าสนใจเขาเลย!” ภรรยาหวังโอ้วกุ้ยเดินออกมา ถือข้าวที่กินเหลือกับข้าวโพดบดอะไรพวกนี้ไว้ ยังไม่ได้ทำอะไรก็มีนกฝูงใหญ่บินเข้ามา แต่ละคนตัวเงยหน้ารอกิน
หวังโอ้วกุ้ยพูดยิ้มๆ “คุณอย่าให้ผมขายหน้าได้ไหม? ดีเลวยังไงผมก็เป็นผู้ใหญ่บ้านนะ ให้เกียรติกันหน่อยสิ?”
“ให้เกียรติคุณแล้วเป็นพื้นรองเท้าได้ไหม? ถ้าได้ จากนี้คุณก็เดินเท้าเปล่าไป ฉันไม่สน” ภรรยาหวังโอ้วกุ้ยว่า
หวังโอ้วกุ้ยยอมแล้ว จึงพูดกับฟางเจิ้งว่า “เอาเถอะ เตรียมพร้อมแล้วก็ไปกัน อ้อใช่ ลิงนี่ของท่าน…”
ฟางเจิ้งบอก “ไม่เป็นไร มันมีไหวพริบอยู่ รู้ว่าต้องทำยังไง”
“งั้นก็ดี ผมจะขับช้าหน่อยแล้วกัน ถ้าไม่ได้จริงๆ ค่อยหาวิธีกัน” หวังโอ้วกุ้ยพูดพลางขึ้นนั่งรถจักรยานยนต์ ฟางเจิ้งนั่งตรงกลาง ก่อนตบเบาะหลังพลางพูดกับเจ้าลิง “มานั่งข้างหลัง อีกเดี๋ยวจะแล่นเร็วมาก จับอาตมาไว้ให้แน่นๆ ไม่อย่างนั้นถ้าตกลงไปอย่าหาว่าอาตมาไม่เตือน”
………………………………………………..…..
[1]พระจุนทีโพธิสัตว์ เป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่งในศาสนาพุทธมหายานเช่นเดียวกับพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ มีสามเนตร สิบแปดกร แต่ละกรถือของต่างกันไป หลายคนเห็นแล้วมักเข้าใจกันผิดว่าเป็นพระแม่กวนอิม เพราะความเชื่อในพุทธศาสนาของนิกายเซนกล่าวว่าพระจุนทีเป็นภาคหนึ่งของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ จึงนำไปจัดรวมไว้ในรูปเคารพของกวนอิมหกปางใหญ่ แต่ทางมหายานจะถือว่าพระจุนทีกับพระกวนอิมนั้นเป็นคนละองค์กัน
[2]พระกษิติครรภโพธิสัตว์ คือพระโพธิสัตว์ซึ่งเป็นที่นับถือในศาสนาพุทธนิกายมหายานภูมิภาคเอเชียตะวันออก มักมีรูปลักษณ์เป็นพระภิกษุมหายานตามปกติ มีรัศมีเปล่งรอบพระเศียร หัตถ์หนึ่งจับไม้เท้าวัชระซึ่งใช้เปิดประตูนรก อีกหัตถ์หนึ่งถือแก้วสารพัดนึก เชื่อกันว่าการได้สักการะพระกษิติครรภ์โพธิสัตว์จะนำมาซึ่งความสงบร่มเย็นแก่ชีวิต
[3]พระสมันตภัทรโพธิสัตว์หรือผู่เสียนผู่ซา หนึ่งในสี่มหาพระโพธิสัตว์ อยู่ในกลุ่มของพระไวโรจนพุทธะ มักปรากฏในพุทธมณฑลในฐานะตัวแทนของพระไวโรจนพุทธะ ขึ้นชื่อเรื่องธรรมปฏิบัติ ชาวจีนเชื่อว่าการได้สักการะจะนำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรือง สิริมงคล และสมดั่งปรารถนา
[4]พระมัญชุศรีโพธิสัตว์หรือเหวินซูผู่ซ่า หนึ่งในสี่มหาพระโพธิสัตว์ อยู่ในกลุ่มของพระไวโรจนพุทธะ และเป็นพระโพธิสัตว์ที่มีผู้นับถือในทิเบตรองลงมาจากพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ ถือว่าเป็นพระโพธิสัตว์ฝ่ายปัญญา มีหน้าที่คุ้มครองนักปราชญ์ รูปลักษณ์มักเป็นชายหนุ่ม มีกายสีเหลือง นั่งบนดอกบัว มือขวาถือพระขรรค์ มือซ้ายถือดอกบัวหรือคัมภีร์ใบลาน