SS0 – จุดเริ่มต้นของเรื่องราว
Secret Story 0 [ลูคัส]
Part 1: จุดเริ่มต้นของเรื่องราว
Warning: None
*****
เดือนเมษายน เดือนที่แสงอาทิตย์สาดส่องได้รุนแรงที่สุด เดือนที่ประเทศหนึ่งจัดเทศกาลสาดน้ำเพื่อระบายอากาศอันเร่าร้อนที่ราวกับหลุดมาจากยมโลก โดยแทบจะลืมความเชื่อดั้งเดิมของเทศกาลไปเสียสนิท อุณหภูมิที่สูงจนแทบทะลุปรอทช่างเหมาะกับทัศนียภาพตรงหน้า หาดทรายขาวเม็ดละเอียด ผืนทะเลสีเขียวอ่อนดุจมรกตสะท้อนกับแสงอาทิตย์ทอเป็นประกาย ทิวเขาหินสูงรายล้อมรอบตัวเกาะห่างออกไปจากชายฝั่งราวกับเป็นปราการธรรมชาติชั้นดี ไร้สิ่งมีชีวิตใดๆอยู่บนหาดจนแทบจะกลายเป็นพื้นที่ส่วนตัว ทางเข้าออกมีเพียงรูรอดผ่านเล็กๆขนาดพอดีเรือที่พาผู้คนนับร้อยชีวิตได้เข้ามาสัมผัสกับความสวยงาม ความรู้สึกยังคงประทับอยู่ในความทรงจำตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาเยือนเกาะแห่งนี้ วันที่ครบรอบการมีชีวิตอยู่ในปีที่สามสิบพอดิบพอดี มันคงจะดีไม่น้อยหากการมาเยือนครั้งนั้นเป็นการพักผ่อน ไม่ใช่จำคุกแบบไม่มีกำหนด
ชายหนุ่มในชุดลายทางขาวสลับดำยืนนิ่งอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมที่ทำมาจากหิน ด้านหลังเป็นลูกกรงที่ทำหน้าที่เป็นเส้นแบ่งเขตระหว่างพื้นที่พักอาศัยกับพื้นที่ส่วนรวมที่มีเหล่าชายฉกรรจ์ในชุดแบบเดียวกันเดินกันขวักไขว่ ไร้ซึ่งความเป็นส่วนตัวโดยสิ้นเชิง พื้น พนัง และกำแพง ทำมาจากหินสีดำสนิท มีตะไคร่เขียวและราดำขึ้นแซมตามช่องว่าง ไร้ซึ่งความสะอาดและสะดวกสบาย สิ่งของเพียงชิ้นเดียวในที่พักคือเตียงสีขาวหม่นที่สภาพบุบบู้บี้แถมยังแข็งเช่นเดียวกับพื้นห้อง ซึ่งจะมีหรือไม่มีก็แทบไม่ต่างกัน ดวงตาสีน้ำผึ้งจ้องมองออกไปผ่านช่องว่างของซอกหินหนาที่เป็นตัวเชื่อมระหว่างคุกกับโลกภายนอก พลางนึกถึงสาเหตุที่ทำให้ชีวิตต้องมาติดแหงกอยู่ที่นี่
ด้วยความสามารถอันยอดเยี่ยมแถมล้นหลาม ชายหนุ่มจึงได้รับตำแหน่งเลขานุการประจำนายกรัฐมนตรีประเทศแห่งหนึ่งตั้งแต่อายุยังน้อย เมื่อเทียบกับเหล่าคนที่โหยหาตำแหน่งและเฝ้ารอโอกาสมาเนิ่นนาน ในการที่โดนคนหนุ่มเข้ามาตัดหน้า แย่งพื้นที่ยืนในสังคมแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ก็ไม่น่าแปลกที่จะสร้างความไม่พอใจเป็นธรรมดา เหล่าผู้คนที่ไม่เห็นด้วยกับผู้ที่มาใหม่เริ่มก่อปัญหาให้ทีละนิด แต่ก็ไม่สามารถสร้างความเดือดเนื้อร้อนใจให้กับชายหนุ่ม จนกระทั่งความบาดหมางเริ่มจะบานปลายหนัก เช้าวันหนึ่งมีคนพบศพนายกรัฐมนตรีภายในห้องทำงาน หลักฐานทุกอย่างบ่งชี้อย่างชัดเจนว่า ชายหนุ่มคือฆาตกร สื่อสิ่งพิมพ์และโทรทัศน์ออกประกาศ ภายในเวลาไม่ถึงยี่สิบสี่ชั่วโมง ราวกับต้องการจะตราหน้าว่าเขาคือผู้กระทำการผิดและไม่สมควรได้รับการอภัย แม้แต่ภายในชั้นศาลก็ยังไร้ซึ่งความยุติธรรม ไม่ถามเหตุผลหรือความเป็นไปได้ใด ประกาศทุบยืนยันว่าชายหนุ่มมีความผิด ผิดร้ายแรงถึงขั้นต้องขับไล่ออกนอกประเทศ มายังคุกแห่งเดียวในโลกที่กักขังนักโทษตัวเอ้ที่ไม่สามารถปล่อยให้มีชีวิตอยู่บนโลกใบเดียวกับคนทั่วไปได้ ทุกอย่างช่างเตรียมการมาดี ดีเกินไปจนรู้สึกผิดสังเกตว่าไม่น่าใช่ฝีมือของคนรอบตัวที่คอยรังควานอยู่ในทุกวัน
เนิ่นนานเท่าไรตั้งแต่ถูกคุมขังในที่แห่งนี้ชายหนุ่มไม่สามารถจำได้ กลิ่นเหม็นอับชื้นของพื้นและกำแพงหินช่างแตกต่างจากสัมผัสในวันแรกที่มาถึง ลมหนาวพัดเข้ามาผ่านช่องหินเล็กๆพร้อมกับเม็ดฝน สาดกระเซ็นจนพื้นริมกำแพงชุ่มฉ่ำ
“ได้เวลาแล้ว”
ชายหนุ่มเอื้อนเอ่ยกับตัวเอง สายตามองทอดยาวออกไปไกล
‘ไอ้พวกนักโทษชั้นเลว รีบมารวมตัวกันที่ลานกว้างภายในสิบนาทีเดี๋ยวนี้ ถ้ายังไม่อยากหัวหลุดจากบ่า’
เสียงตามสายเรียกรวมตัวด้วยคำพูดอันไม่น่าโสภาผ่านลำโพงเก่าคร่ำครึแต่ยังทำหน้าที่ของตนได้อย่างดีเยี่ยมบริเวณมุมทางเดิน ชายหนุ่มยกมือขึ้นจับปลอกคอสีเงิน แสงไฟเขียวรอบปลอกคอที่จะแสดงขึ้นทุกสามสิบนาทีกะพริบหนึ่งครั้ง สัมผัสเย็นเฉียบของแท่งโลหะ ยิ่งย้ำเตือนสถานะที่ไม่อาจขัดขืนได้
“ลูคัส”
ชายอีกคนหนึ่งที่ยืนอยู่ไม่ไกลเอ่ยเรียก ดวงตาสีน้ำผึ้งจ้องมองพายุฝนที่พัดเอาเม็ดทรายและกลิ่นเค็มของทะเลเข้ามาผ่านรอยแยกเล็กๆ ของกำแพงหิน เส้นผมสีดำขลับที่ถูกตัดแต่งอย่างลวกๆพลิ้วไปกับสายลม ริมฝีปากเอ่ยพึมพำกับตัวเอง ก่อนใบหน้าหล่อที่ซุกซ่อนอยู่ในผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงเพื่อปกปิดตัวตนจะหันมองตามเสียงเรียก
“อืม ได้ยินแล้ว”
ชายหนุ่มเอ่ยตอบชายหน้าดุที่ยืนอยู่บริเวณประตูกรงทางเข้า ร่างสูงปิดบังทางเข้าสำหรับหนึ่งคนผ่านจนเกือบมิด แม้ร่างกายจะไม่ใหญ่เท่านักเพาะกายที่เข้าฟิตเนสเป็นประจำ แต่ก็เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อที่ได้รับจากการออกกำลังอยู่ทุกวี่วันแบบไม่ขาดตกบกพร่อง สังเกตได้จากเสื้อขนาดพอดีตัวที่รัดแน่นจนขึ้นรูปชัดเจน ดวงตาคมกริบที่เพียงแค่ชายตามองก็ทำเอาคนพบเห็นหวาดกลัวไปถึงขั้วหัวใจ ไม่เว้นแม้แต่เหล่านักโทษอุกฉกรรจ์ที่พร้อมจะหลีกทางให้เพียงแค่เดินผ่าน ถึงใบหน้าจะดูหล่อเหลาเข้ากับเคราใต้ริมฝีปากและผมที่คอยตัดให้สั้น แต่อารมณ์บึ้งตึงโดยธรรมชาติทำเอาไม่มีใครกล้าเข้าใกล้หรือยอมเสี่ยงหาเรื่องแม้จะอยู่ในคุก มีเพียงชายหนุ่มที่มีนามว่า ‘ลูคัส’ เท่านั้นที่เข้าไปทำความรู้จักด้วยอย่างไม่กลัวเกรง
“คุณคิดว่าพวกเขาเรียกรวมตัวเรื่องอะไรครับ บัล”
น้ำเสียงสุภาพเอ่ยถามคนที่ดูราวกับอายุมากกว่า บัลธัส หรือ ‘บัล’ ยืนนิ่งก่อนจะยกมือขึ้นกอดอก หันมองออกไปนอกห้องขังที่ผู้คนเริ่มเดินกันไปเป็นทางเดียวพร้อมกับเสียงพูดคุยดังระงม ลำคอมีเหล็กสีเงินสวมเหมือนกันหมด เช่นเดียวกับชุดลายทางที่มีเสื้อสวมบ้างไม่สวมบ้างตามความชอบของแต่ละคน ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือหมายเลขสีแดงที่ฉายชัดอยู่บนปลอกคอทำหน้าที่เป็นสิ่งระบุตัวตน ‘11091407’ ในขณะที่ตัวเลขของลูคัสแสดงเป็น ‘11092008’ จนกระทั่งทางเดินกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ชายหนุ่มจึงหันกลับมาทางเดิม
“พายุเข้า คงเป็นเรื่องอาหาร”
คำตอบทำเอาลูคัสอมยิ้มกับความหัวไวของคนตรงหน้า จากนั้นพยักหน้ารับ ก่อนจะหันหลังเดินตรงเข้าไปหา
“เตรียมตัวไว้นะครับ”
ชายตาดุพยักหน้า ถอยหลบให้ชายหนุ่มเดินออกไปก่อนจะตามหลังไปติดๆ
**************************
ลานกว้างคับคั่งไปด้วยเหล่าชายฉกรรจ์มากหน้าหลายตา ต่างบุคลิก ต่างหน้าตา ต่างสัญชาติ แต่มีเพียงสิ่งเดียวที่เหมือนกันหมดคือ เหล่าผู้คนที่อยู่ที่นี่ล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลตามประกาศหมายจับ หรือมีคดีอุกฉกรรจ์ ถึงขนาดที่เป็นอันตรายต่อประเทศ แม้แต่ความตายก็ไม่อาจชดใช้ได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็มีเรื่องหนึ่งที่ช่างน่าแปลก ท่ามกลางความหลากหลายของวัฒนธรรม ทุกคนในสถานที่แห่งนี้กลับสามารถสื่อสารเข้าใจกันได้ราวกับใช้ภาษาเดียวกัน เสียงพูดคุยดังก้องสะท้อนไปทั่วลานกว้างที่ดูราวกับห้องโถง เพดานกระจกใสที่ยามปกติจะมีแสงแดดสาดส่องลงมา ตอนนั้นกลับถูกปกคลุมไปด้วยเม็ดฝนที่ตกกระทบเสียงดังก้องพร้อมลมมรสุม แต่ว่ายังดีที่สถานที่แห่งนี้พอมีไฟฟ้าไว้ให้ใช้งาน แสงจากหลอดไปที่ประดับตามกำแพงและเสาส่องสว่างแทนความมืดมิดของท้องฟ้าอันมืดครึ้ม ต้องขอบคุณเหล่านักโทษที่คอยช่วยกันผลิตกระแสไฟฟ้าจากโรงงานปั่นไฟ ที่ถูกดูแลโดยเหล่าทหารรักษาการณ์และผู้คุม คอยเคี่ยวเข็ญลากเอาเหล่าคนคุกมาใช้แรงได้ทุกวัน ริมสุดกำแพงด้านในมีเวทีไม้สูงเกือบสี่เมตรตั้งเด่นเป็นสง่า มองเห็นได้จากทุกทิศทาง ไมโครโฟนสำหรับกระจายเสียงถูกติดตั้งอยู่กลางเวที ด้านหลังเป็นอุปกรณ์ไม้ยุคเก่าสำหรับการประหาร กิโยตีน แต่น่าแปลกที่ไร้ซึ่งใบมีด เหลือไว้แต่เพียงส่วนใช้ล็อกข้อมือกับลำคอเพียงเท่านั้น เหนือขึ้นไปด้านหลังเป็นจอสีดำสนิทขนาดยักษ์ดูขัดกับสถานที่
เมื่อสองหนุ่มเดินมาถึง ลูคัสเหลือบมองชายที่เดินตามมาติดๆก่อนจะพยักหน้าให้ แล้วปลีกตัวปะปนเข้ากับฝูงชน ส่วนร่างสูงปลีกตัวออกไปพิงเข้ากับเสาเพียงคนเดียวด้วยความคิดที่ไม่อยากจะเข้าไป หากทำเช่นนั้น แทนที่จะได้รวมกลุ่มแบบเนียนๆอย่างลูคัส จะกลับกลายเป็นสร้างคลื่นมนุษย์ ทุกคนยินดีแหวกพื้นที่ออกด้วยความหวาดกลัว ทำให้เด่น กลายเป็นเป้าสายตาอันไม่พึงประสงค์เสียเปล่าๆ แค่ยืนอยู่เฉยๆตรงนี้ทุกคนก็แทบจะเดินหนีไปอีกฝั่ง
ชายหนุ่มที่แฝงตัวเข้ากับเหล่าคนคุกกวาดสายตามองไปโดยรอบ ยังไม่มีวี่แววของทหารหรือผู้คุมมายืนประจำการ มีเพียงนักโทษเกือบห้าร้อยชีวิตที่มาอัดแน่นอยู่จนแทบจะเป็นปลากระป๋อง เสียงพูดคุยดังก้องไปทั่วด้วยความสงสัยเกี่ยวกับการเรียกรวมพลแบบฉุกเฉิน ถกประเด็นปัญหากันราวกับนักวิชาการทั้งที่ไม่ได้มีมูล หรือความเป็นไปได้สักนิด เก็บเอามารกหัวสมองเสียเปล่าๆ หลังจากเงี่ยหูฟังเกือบสิบนาทีชายหนุ่มก็ต้องถอดใจเมื่อแต่ละอย่างที่ได้ยินไม่มีประโยชน์เลยสักนิดสำหรับบางอย่างที่อยู่ในใจ ก่อนจะหันตัวกลับไปยืนประจำการที่ด้านหลัง แต่เสียงพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องบางอย่างดึงความสนใจจนต้องหันหน้ามอง
“ได้ยินมาว่า ที่เรียกรวมวันนี้ เพราะจะมีผู้โชคดี”
“ผู้โชคดีกับผีน่ะสิ โดนเลือกมาที ผ่านวันนี้นี้ไป ได้กลายเป็นของเล่นประจำสัปดาห์ให้ไอ้พวกตัวเบ้งๆแน่”
“แล้วมึงรู้รึไงว่าเขาเรียกรวมตัวทำไม”
“อยู่กันมากี่ปีแล้ววะ พอพายุเข้าแบบนี้ เรือก็เข้ามาในเกาะไม่ได้ ออกจากคุกก็ไม่ได้ ไอ้พวกพัศดีมันจะหาของเล่นไปจำศีลด้วยเป็นอาทิตย์นั่นแหละ พอเรือที่ลำเลียงอาหารเข้ามาไม่ได้ อาหารของพวกเราก็จะลดลงตามระเบียบ ใครที่หิวโหยก็ต้องไปทำงานขายร่างกายให้กับพวกมันเพื่อแลกกับอาหาร ไอ้พวกหัวๆน่ะไม่เท่าไหร่เพราะมันไปแย่งจากพวกลูกน้องได้ แต่อย่างเราๆนี่แหละที่อันตราย”
“พูดอย่างกับเคยโดนมา”
“โว้ย! ไอ้เวรนี่ แค่เกือบโว้ย โชคดีที่พายุมันผ่านไปพอดี เรือลำเลียงก็กลับมาวิ่งปกติ เกือบเสียตัวเพราะความอดอยากไปแล้ว”
“แล้วทำไมไม่หนีออกไปตอนที่พวกมันไม่ได้เฝ้าดูวะ ในเมื่อหิวจะตายขนาดนั้น สู้ไปตายเอาดาบหน้าไม่ดีกว่าเรอะ”
“จะตายตั้งแต่พ้นออกจากประตูน่ะสิ ไอ้พายุบ้าที่อยู่รอบคุกนี่ไม่ใช่พายุธรรมดา เคยมีไอโง่ทำตามที่มึงพูด ทันทีที่ออกนอกประตูปุ๊ปก็ฟิ้ว ปลิวขึ้นไปบนฟ้าอย่างแรง แล้วก็หายสาบสูญ จากนั้นก็ไม่มีใครกล้าเสี่ยงอีกเลย กว่าพายุนี่มันจะผ่านไปได้ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งอาทิตย์ พอครบอาทิตย์พวกผู้คุมมันก็ออกมากันก่อนพายุจะสงบแล้ว”
“แล้วมันไม่มีวิธีอื่นเลยเหรอวะที่จะฝ่าออกไป”
“ไอมีมันก็มี แต่ก็เหมือนไม่มีนั่นแหละ”
“หมายความว่าไงวะ”
“เหมือนมันจะมีชุดถ่วงน้ำหนักสำหรับเดินบนพายุทรายอยู่ กูเคยเห็นพวกทหารมันเดินฝ่าพายุออกไปกันครั้งหนึ่ง หลังจากตะล่อมถามพวกทหารมาก็รู้ว่าชุดมันถูกเก็บอยู่ในห้องพัศดี”
“ก็บุกเข้าไปแย่งหรือขโมยมาเลยดิ”
“สมองน้อยอีกแล้วนะไอ้นี่ ลืมไอเหล็กที่อยู่บนคอไปแล้วรึไง จะเข้าไปเอาชุดนั่นก็ต้องเข้าห้องพัศดี แล้วช่วงจำศีล ไอ้พัศดีก็อยู่แต่ห้องกับเด็กของมัน จะตีเนียนเข้าไปเพื่อขโมยก็ได้อยู่หรอก แต่หากมึงมีท่าทีแปลกๆละก็แค่คลิกเดียวหัวหลุดออกมาแน่ ไอ้พัศดีน่ะมันมีรีโมทที่จะเด็ดหัวใครก็ได้ที่อยู่ใกล้ที่สุด เลยไม่มีใครกล้าหือด้วยไง อีกอย่างถ้ามันรู้ตัวเลขที่อยู่บนปลอกคอก็จบพอกัน คลิกเดียว ปลิว”
“เชี่ย! มีแต่ตายกับตาย แล้วที่มึงบอกว่า ‘กลายเป็นของเล่นประจำสัปดาห์ให้ไอ้พวกตัวเบ้งๆ’ นี่หมายความว่าไงวะ”
“มึงจำเมื่อสี่ปีก่อนไม่ได้เหรอวะ ครั้งล่าสุดสุดที่พายุนี่มันเข้า ปีที่ไอพวกพัศดีมันสาธิตวิธีการแลกอาหารให้ที่โถงนี่ เห็นจอใหญ่ด้านบนนั่นไหม พัศดีมันจะสุ่มเลขขึ้นบนจอนั่น ส่วนผู้โชคดีก็ต้องขึ้นไปบนเวทีอย่างขัดขืนไม่ได้เพราะโดนบันทึกเลขปลอกคอไว้แล้ว จากนั้นก็เปิดแสดงสดกันตรงนั้น กิโยตีนนั่นมีไว้ล็อกไม่ให้ขัดขืน พอไอพัศดีมันพอใจแล้วมันก็ปล่อยทิ้งไว้ตรงนั้น พวกนักโทษที่เห็นแล้วเกิดอารมณ์ ก็สลับกันขึ้นมาจัดหนักจัดเต็มข้ามวันข้ามคืนจนกลายเป็นอีตัวเลย”
“ไอ้ห่า สีปีก่อนกูยังไม่มาเลย แล้วของฟรีขนาดนั้นมึงไม่ร่วมเหรอวะ”
“ไม่ร่วมก็โง่แล้วสิวะ ปีนั้นคนที่โดนคือ อากาเรส คนที่ชื่อว่าโหดที่สุดในคุกตอนนั้นเลยนะเว้ย คิดแล้วก็ฟิน อดใจรอประกาศครั้งนี้แทบไม่ไหว”
“โดนเองแล้วจะขำไม่ออก แล้วไอ้อากาเรสที่ว่านี่ไปไหนซะแล้ววะ ทำไมกูไม่เคยเห็น ไม่เคยได้ยินชื่อ”
“ไม่รู้ว่ะ อาจจะตายไปแล้ว หลังจากเหตุการณ์ตอนนั้นก็หายสาบสูญไปเลย”
สองชายหนุ่มท่าทางซอมซ่อพูดคุยกระซิบกระซากกันอย่างออกรส หัวข้อสนทนาทุกอย่างที่พูดคุยตรงกับที่ลูคัสตามสืบและคาดการณ์ไว้ทุกอย่าง แม้จะมีเรื่องอื่นๆโผล่เข้ามาจนรู้สึกสงสัย แต่ตราบใดที่ยังไม่กระทบกันแผนการ ชายหนุ่มก็ไม่คิดจะเก็บเอามาให้รกหัวสมอง
ไม่นานนักสองประตูริมเวทีก็ถูกเปิดออก เหล่าผู้เรียกรวมตัวก็โผล่หัวออกมา โดยมีเหล่าชายในชุดสีดำออกจากประตูทางซ้าย และ เหล่าชายในชุดสีน้ำเงินเข้มจากทางด้านขวา ยืนเรียงแถวกันเป็นระเบียบ ขนาบข้างเวทีสูง ก่อนจะเริ่มกระจายตัวกันเป็นหย่อมๆ ยืนประกบคู่ระหว่างผู้คุมในชุดสีดำสนิท และทหารในชุดสีน้ำเงินเข้มพร้อมอาวุธปืนกระชับอยู่ในมือ ล้อมรอบเหล่านักโทษเป็นวงรี จนกระทั่งบุรุษคนสุดท้ายก้าวออกมาด้วยท่าทีหยิ่งผยอง เหล่าทหารและผู้คุมต่างก้มหัวให้ทันทีที่เดินผ่าน เสื้อสีเดียวกับเหล่าผู้คุม แต่ต่างออกไปตรงที่ประดับไปด้วยตราเกียรติยศเต็มหน้าอกด้านขวา ถูกสวมเข้าอย่างลวกๆพอเป็นพิธีราวกับเพิ่งหยิบมาคว้าใส่ ชายเสื้อห้อยรุ่งริ่ง แถมยังยับยู่ยี่ เม็ดกระดุมที่ควรติดก็ถูกปลดออกเผยให้กล้ามเนื้อไล่ยาวมาตั้งแต่อกจนถึงหน้าท้อง หมวกสีดำสนิททรงหม้อตาลตามแบบฉบับของเหล่าทหารผู้มียศศักดิ์ถูกสวมเข้ากับศีรษะที่มีเส้นผมสีน้ำตาลทอง ตราสีทองตรงกลางหมวกสะท้อนแวววับกับแสงไฟ สองมือสอดเข้ากับกระเป๋ากางเกง ร่างกำยำเดินขึ้นเวลาอย่างสบายใจพร้อมผู้ติดตามอีกสองคน ใบหน้าแสยะยิ้มเห็นฟันขาว ดวงตากร้าวกระด้างสีฟ้าจ้องมองเหล่านักโทษที่รวมตัวกันเบื้องล่างอย่างดูแคลน
“ว่าไงไอพวกสวะขี้คุกทั้งหลาย”
ประโยคทักทายแรกหลังจากขึ้นมายืนอยู่บนเวที ทำเอาเรียกดวงตาเขียวปั๊ดจับจ้องเป็นทางเดียว แต่ก็ไม่ได้สร้างความหวาดกลัวให้แก่ชายผู้ยืนอยู่จุดสูงสุดในสถานที่นี้เลยแม้แต่น้อย
“นานแล้วแฮะที่ไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้ น่าจะสักสี่ห้าปีได้ มีหน้าใหม่ๆโผล่มาเต็มเลยนี่”
ใบหน้าระรื่นยังคงพูดต่อแบบไม่สนใจไยดี กวาดสายตามองเหล่านักโทษที่อยู่ในโอวาทแม้จะไร้ซึ่งความจงรักภักดี
“เผื่อมีสวะตัวไหนสงสัยว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกมึงคือใคร”
น้ำเสียงที่ปราศจากความเคารพเอื้อนเอ่ย แต่ละคำพูดไม่ลืมที่จะสร้างความบาดหมางให้ประทับลงไปในจิตใจ
“พัศดีคิงฟอร์จูน คือชื่อที่พวกมึงจะต้องจำใส่กะโหลกหนาๆนั่นตลอดที่ยังอยู่ที่นี่”
ชื่อของผู้ดำรงตำแหน่งทำเอาเหล่าผู้เข้ามาใหม่ที่ไม่เคยพบหน้าถึงกับต้องขมวดคิ้ว แตกต่างจากเหล่าผู้ที่อยู่มาเนิ่นนานนั้นรู้ดีว่าชื่อนั้นหมายความว่าอย่างไร
“ทำไมชื่อแม่งไม่เหมือนชื่อคนเลยวะ”
ประโยคคำถามจากชายสภาพซอมซ่อเมื่อครู่กระซิบถามเพื่อนที่อาศัยอยู่มาเนิ่นนาน
“เออ ก็ไม่ใช่ชื่อมันไง ชื่อจริงๆ แม่งคือ เออร์วิน พัศดีเออร์วิน ส่วน ‘คิงฟอร์จูน’ คือฉายา จุดเริ่มต้นมันมาจากความโชคดีของมันตอนที่เข้ามาที่นี่ใหม่ๆ หลังจากถีบหัวส่งพัศดีคนเก่าได้แบบฟลุ๊กๆ มันก็ขึ้นดำรงตำแหน่งแทนตัดหน้าคนอื่นๆที่รอมานานได้แบบฟลุ๊กๆพอกัน ไอ้พวกผู้คุมกับรองหัวหน้าคนก่อนๆเลยวางแผนให้พวกนักโทษอย่างเราๆรุมจัดการโดยแอบเตรียมอาวุธกับเอาสวิตช์ปลอกคอไปซ่อนให้ โอย ไม่อยากจะพูดถึง กูยังจำช่วงเวลานั้นได้ติดตา ใครมันจะไปคิดว่าคนๆเดียวจะกระทืบพวกนักโทษนั่นราบเป็นหน้ากลองได้โดยที่ไอ้พัศดีไม่บาดเจ็บสักนิดเดียว แถมความโชคดีคือ ตอนตะลุมบอน นักโทษคนหนึ่งทำอาวุธที่เตรียมไว้หลุดมือ พุ่งผ่านหัวพัศดีไปด้านหลัง ปักเข้ากลางหน้าผากของรองพัศดีที่เป็นคนวางแผนทั้งหมด ตายคาที่ นอกจากนี้ยังมีช่วงที่มันพาพวกผู้คุมกับทหารออกไปเดินเล่นบนเกาะ แต่สิ่งที่พกกลับมาคือหีบสมบัติที่มีเหรียญทองคำเต็มไปหมด ทำหน้าที่ยังกับแมวนำโชค ไปขุดเจอหรือปล้นมาก็ไม่รู้ และเหตุการณ์ล่าสุดก็คือตอนที่มันสุ่มได้หมายเลขของ อากาเรส ที่นี่นั่นแหละ ด้วยความชื่นชมปนหวาดกลัวดวงอันดีล้นฟ้าของมัน พวกนักโทษเริ่มเรียกมันว่า คิงฟอร์จูน แล้วดูท่ามันจะถูกใจฉายานั่นด้วย เลยเปลี่ยนชื่อตัวเองเป็นคิงฟอร์จูน”
“ร่ายซะยาวเลยนะมึง แบบนี้ถ้าเกิดเรื่องแบบเมื่อสี่ปีก่อน คนดวงกุดอย่างพวกเราก็ปลอดภัยใช่ไหมวะ”
“ถ้ามึงไม่ใช่คนหน้าตาดี เป็นที่หมายปอง หรือตูดไม่ค่อยได้ใช้งานก็ไม่ต้องกลัวไปหรอก มึงดูไอพวกตัวเบ้งๆนู่น หน้าเริ่มถอดสีตั้งแต่เห็นไอพัศดียืนกลางเวทีแล้ว”
ลูคัสที่เงี่ยหูฟังถึงกับหันมองตาม เหล่าชายที่ขึ้นชื่อว่ามีอิทธิพลที่สุดในคุกแห่งนี้ แม้อากาศจะไม่ได้อบอ้าว แต่กลับมีหยาดน้ำใสเกาะกุมเข้ากับใบหน้า แถมยังซีดเผือดอย่างหวาดกลัว ยิ่งยืนยันคำพูดที่ชายซอมซ่อว่าอีกฝ่ายเป็น ‘ผู้ชายที่ดวงดีที่สุด’
ดวงตาสีน้ำผึ้งเงยมองชายที่อยู่กลางเวที ชายที่เชื่อมั่นในดวงของตัวเองอย่างที่สุด ช่างแตกต่างจากตัวเขาเสียเหลือเกิน สิ่งที่เรียกว่าดวง คือสิ่งสุดท้ายในชีวิตที่ลูคัสจะเชื่อมั่น ความพยายามคือสิ่งเดียวที่ชายหนุ่มยอมเชื่อมั่นจากก้นบึ้งของหัวใจ เป็นสิ่งที่หล่อหลอมให้เป็นตัวเขาในปัจจุบันที่มากล้นด้วยความสามารถ สมองอันปราดเปรื่องและร่างกายอันแข็งแกร่ง หากพูดถึงเหตุการณ์ที่ถูกจับเป็นแพะจนถูกส่งมายังเกาะ ชายหนุ่มไม่เคยโทษโชคชะตา หรือความซวยที่ตกลงมาที่ตัวเอง มันเป็นเพียงเพราะความสามารถของเขายังมีไม่มากพอที่จะทำให้ตัวเองผ่านพ้นชะตากรรมแบบนี้
“หุบปากกันได้แล้วไอ้พวกสวะ”
น้ำเสียงหยาบกระด้างจากบนเวทีเรียกความสนใจชายหนุ่มอีกครั้ง เสียงพูดคุยรอบข้างที่ดังระงมเงียบลงในพริบตาทันทีที่เออร์วินชูมือขึ้นสูง พร้อมกับเหล่าทหารในชุดสีน้ำเงินเข้มยกปืนขึ้นเล็งด้านหน้าในทันที
“ถ้าไม่อยากตายก่อนเวลาอันควรก็ฟังให้ดี ถึงแม้พวกมึงจะตายไป ก็ไม่มีใครสนใจก็เถอะ”
น้ำเสียงข่มขู่และดูแคลนดังสะท้อนไปทั่วห้องโถงยิ่งทำให้เหล่าคนไม่มีทางสู้ยิ่งกำหมัดแน่นขึ้นกว่าเดิม
“พวกมึงคงสงสัยว่าถูกเรียกมารวมตัวกันทำไม อย่างที่เห็นตอนนี้ด้านนอกคุกมีพายุเข้า เรือสำหรับลำเลียงอาหารให้สวะอย่างพวกมึงเข้ามาไม่ได้ เพราะฉะนั้นระหว่างที่ยังมีพายุ พวกมึงจะไม่มีอาหารกินไปอีกหนึ่งอาทิตย์”
คำประกาศเรียกเสียงโห่ร้องโวยวายด้วยความโกรธดังไปทั่วห้องโถงในทันทีแม้จะมีดงปืนจ่อล้อมรอบ ระยะเวลาหนึ่งอาทิตย์ที่ไร้ซึ่งอาหาร ไม่ต่างจากนับรอวันตาย
“ถ้าไม่อยากตายพร้อมกันตอนนี้เลยก็หุบปากไอพวกสวะ! พวกมึงจะได้อาหารวันนี้เป็นขนมปังคนละสามก้อน พวกมึงจะไปแบ่งกินยังไงก็เรื่องของพวกมึง”
เสียงตะโกนแข็งกร้าว พร้อมกับสวิตช์รูปทรงแปลกตาที่ถูกชูขึ้นสูง ทำเอาทุกอย่างเงียบลงในพริบตา เหล่านักโทษรู้ดีว่าสิ่งที่อยู่ในมือนั้นคืออะไร ปลอกคอที่ระเบิดต่อเนื่องเป็นลูกโซ่ที่สาธิตให้ดูในวันแรกที่เข้ามาถึงคุกแห่งนี้ยังสร้างความหวาดกลัวซึมลึกเข้าสู่สมอง
“พวกคุณแบ่งอาหารของส่วนผู้คุมกับทหารมาไม่ได้เหรอ”
ลูคัสตะโกนขึ้นเอ่ยถาม พยายามซ่อนอยู่ในเหล่านักโทษ เพื่อไม่ให้ถูกระบุตัวได้ว่าเสียงมาจากที่ใด
“แล้วทำไมกูต้องแบ่งอาหารให้สวะอย่างพวกมึงด้วยวะ”
เออร์วินเอามือลงกอดอก ตอบกลับอย่างไร้เยื่อใย ดวงตาสอดส่องหาที่มาของเสียงแต่ก็ไม่สามารถทำได้เนื่องจากจำนวนคนที่เยอะเกินไปจนแน่นขนัด
“ถ้าไม่มีอาหารพวกเราก็อดตายนะ”
ชายหนุ่มตะโกนบอกอีกครั้ง แทนความคิดของคนนับร้อยที่แทบจะสูญสิ้นความหวัง
“แล้วทำไมพวกกูต้องสนด้วยวะ เศษสวะอย่างพวกมึงได้นอนตายในคุกก็เป็นบุญเท่าไหร่แล้ว ดีกว่าได้นอนตายเป็นหมาข้างถนน แล้วถ้าจะตายก็นู่น ไปที่พายุด้านนอกนั่น ประตูเปิดทิ้งไว้ตลอด บินแล้วตกไปตายไกลๆ จะได้ไม่ต้องลำบากพวกกูมาคอยเก็บขยะอย่างพวกมึง”
คำตอบอย่างไร้เยื่อใยทำเอาเหล่าคนคุกแววตาวาวโรจน์พร้อมที่จะลุกฮือทุกเวลา ชายหนุ่มถึงกับแอบยิ้มอย่างพอใจเมื่อคำตอบเป็นไปตามที่คาด อย่างน้อยเชื้อเพลิงแห่งความเกลียดชังก็ถูกจุดขึ้นมาแล้ว แถมดูท่าจะไม่ดับลงง่ายๆ
“ระหว่างนี้พวกกูจะไม่ออกจากห้องพักทั้งสัปดาห์ พวกมึงจะหนีหรือแหกคุกออกไปก็ได้ ถ้าทำได้น่ะนะไอ้พวกสวะ ฮ่าๆๆ”
เสียงหัวเราะดังลั่นด้วยความสะใจที่ได้เย้าแหย่ ก่อนจะตามมาด้วยเสียงตะโกนก่นด่าอย่างอดไม่ได้จากเหล่านักโทษ ยิ่งสร้างความสะใจให้พัศดีมากขึ้นไปอีก
“ถึงจะว่าอย่างนั้นอย่างนี้ แต่พวกเราก็เป็นคนของประชาชน ไม่ใจร้ายไส้ระกำขนาดนั้น ใครที่หิวจนทนไม่ไหว ให้มาที่ห้องพัศดี ทางเราจะเตรียมอาหารไว้ให้ แต่ก็ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนกันหน่อย”
แม้คำพูดจะฟังดูมีน้ำใจ แต่แฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์ รอยยิ้มโฉดชั่วฉายชัดอยู่บนใบหน้า
“เผื่อใครจำไม่ได้ ว่าข้อแลกเปลี่ยนคืออะไร”
ดวงตาสีฟ้าที่เต็มไปด้วยความดูถูกเริ่มแปรเปลี่ยน แฝงไปด้วยความหื่นกาม ปลายลิ้นตวัดเลียรอบริมฝีปาก ก่อนจะแสยะยิ้มกวาดตามองไปทั่ว
“เดี๋ยวกูจะแสดงให้ดูเอง แต่อาจจะต้องมีตัวช่วยสักหน่อย”
เออร์วินยกมือขึ้นสูงก่อนจะดีดนิ้วเสียงดัง หน้าจอสีดำเหนือศีรษะที่ดับสนิทเริ่มมีไฟสว่าง หมายเลขศูนย์จำนวนแปดหลักฉายอยู่บนหน้าจอ
“พวกมึงบางตัวคงจำกันได้ว่าสี่ปีที่แล้วเป็นยังไง”
ดวงตาคมจ้องมองเหล่าคนคุกที่บางคนเริ่มมีใบหน้าซีดเผือด มีเพียงเหล่าคนที่เคยอยู่มานานกว่าสี่ปีเท่านั้นถึงจะเข้าใจสิ่งที่กำลังจะเกิด การใช้ชีวิตอยู่ในคุกที่มีแต่เหล่าชายโฉดกลัดมัน ไร้ซึ่งสตรีไว้เป็นที่ระบาย มันก็ต้องมีไม่มากก็น้อยสักครั้งหนึ่งที่ต้องผ่านประสบการณ์อันแสนน่าอับอาย ไม่สมกับความเป็นชาย แต่การที่จะมาโดนทุกคนที่อยู่ในคุกรุมจัดหนักแบบไม่ได้พักตลอดเจ็ดวันนั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง
“หมายเลขของสวะตัวไหนที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอ ให้ขึ้นมาบนเวทีนี้ มึงคือผู้ได้รับเกียรติ สาธิตข้อแลกเปลี่ยนที่จะทำให้ทุกคนจดจำไปถึงทรวง และหากกูถูกใจ มึงอาจจะมีอาหารกินไปทั้งอาทิตย์เลยก็ได้ แต่รสชาติมันก็อาจจะคาวๆหน่อย แต่ถ้าไม่ล่ะก็ มึงก็จะได้สนุกแบบไม่หยุดพัก เหมือนไอ้คนสาธิตเมื่อครั้งปีที่แล้วเลย ฮ่าๆๆ”
เสียงหัวเราะดังลั่นอีกครั้ง คำอธิบายยิ่งสร้างความหวาดกลัวให้คนที่เข้าใจความหมายในคำพูดยิ่งกว่าเก่า ส่วนเหล่าผู้ที่มาทีหลังจำนวนไม่น้อยยังคงทำหน้าไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นตรงหน้า
“อย่าให้เสียเวลา มาเริ่มกันเลยดีกว่า”
รอยยิ้มกลับมาโฉดชั่วอีกครั้งพร้อมกับจอขนาดใหญ่อันไร้ประโยชน์เริ่มวิ่งตัวเลขอย่างรัวเร็ว หลักเลขสี่ตัวแรกหยุดลงในเวลาไม่นาน ยังไม่สร้างความหวาดกลัวมากเท่าไหร่ในเมื่อทุกคนในที่นี้ได้รับเหมือนกันหมด แต่สี่ตัวท้ายที่กำลังจะตามมา ทำเอาเหล่านักโทษพร้อมใจกันเงียบเสียง มีเพียงเสียงเม็ดฝนสาดกระเซ็นดังก้อง เช่นเดียวกับหัวใจที่สั่นระรัวของทุกชีวิตว่าใครประเป็นเหยื่อผู้โชคดีประจำวัน
พัศดีเออร์วินยกมือขึ้นสูงอีกครั้ง เสียงดีดนิ้วจากฝ่ามือดังก้องพร้อมกับตัวเลขทั้งหมดที่หยุดลง พร้อมกับเสียงหัวใจทั้งหมดที่แทบจะหยุดนิ่งในจังหวะเดียวกัน
หมายเลขที่ประทับอยู่บนจอทำเอาลูคัสเบิกตากว้าง เมื่อสิ่งที่เรียกว่า ‘ดวง’ ของคิงฟอร์จูนเล่นตลกอีกครั้ง
1 1 0 9 1 4 0 7
====== END SS 0 Part 1 : จุดเริ่มต้นของเรื่องราว ======