SS0 – แก้แค้น
Secret Story 0 [ลูคัส]
Part 5: แก้แค้น
Warning: None
*****
ย้อนกลับไปเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว…
หลังจากจบการแสดงอันร้อนระอุท่ามกลางสภาพอากาศที่เย็นเฉียบ ลูคัสกลับมายังห้องคุมขังอีกครั้ง เพียงคราวนี้ไม่มีคนสนิทร่วมเดินตาม ดวงตาจ้องออกไปยังช่องว่างระหว่างกำแพงราวกับโหยหาอิสรภาพดังเช่นเคยทำเป็นประจำ แสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านท่ามกลางพายุฝนเริ่มถูกแทนที่ด้วยความมืดมิดของช่วงเวลากลางคืน เป็นเวลากว่าสามชั่วโมงนับตั้งแต่เหตุการณ์บนลานประหาร เสียงโห่ร้องยินดียังคงดังสะท้อนอยู่ในหัวยิ่งทำให้ลูคัสกำหมัดแน่นด้วยความเดือดดาล ใบหน้ายามที่ไม่มีใครเห็นบึ้งตึง แววตาวาวโรจน์สาดประกายอำมหิต
เสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆจากโถงทางเดินดึงสีหน้าของชายหนุ่มให้กลับเป็นปกติอีกครั้ง ก่อนเสียงนั้นจะหยุดลงที่ประตูทางเข้า
บุรุษผู้มาใหม่ยืนนิ่ง มองแผ่นหลังของชายหนุ่มที่แบกรับความรับผิดชอบทุกอย่างเอาไว้ ร่างที่ยืนอยู่กลางห้องขังอันไร้แสงไฟนั้นช่างดูเปล่าเปลี่ยว แต่จะว่าอย่างนั้นก็ได้ไม่เต็มปากเมื่อภายในห้องหินสี่เหลี่ยมนี้ยังมีร่างของบุรุษอีกสามคน
หลังจากได้เห็นบทสวาทสุดเร่าร้อน เหล่านักโทษที่เกิดอารมณ์ก็เริ่มหาที่ระบาย ใครเป็นคนโปรดหรือมีคู่หลับนอนก็ไม่แคล้วโดนเรียกใช้บริการ ส่วนพวกที่เหลือก็ต้องหาเศษหาเลยกันไปเอง ซึ่งรวมไปถึงร่างของชายสามคนที่นอนหราอยู่ที่พื้น
ลูคัสหันหน้ามาหาผู้มาเยือนด้วยรักยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ ก่อนจะเอ่ยตอบความสงสัยที่ฉายอยู่บนใบหน้า
“เป็นแค่การป้องกันตัวครับ”
บุคคลที่มาใหม่เหลือบมองร่างที่ไร้สติ ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่ค่อยเชื่อคำพูด ใบหน้าของสามนักโทษนั้นบิดเบี้ยว ปูดบวม แถมเลือดกบปาก มีรอยเขียวช้ำจากแรงกระแทกเป็นจุดๆตามส่วนที่มองเห็นได้ สภาพไกลเกินกว่าที่เรียกว่าป้องกันตัวไปเรียบร้อย
“หลังจากเจอฉากวาบหวิวไปขนาดนั้น มันก็ต้องมีระบายกันหน่อยถูกไหมครับ”
ใบหน้าหล่อที่ซุกซ่อนอยู่ภายใต้ความซอมซ่อยังคงฉีกยิ้ม แต่ความรู้สึกกลับไม่ไปถึงดวงตาเลยแม้แต่น้อย พายุฝนด้านนอกเริ่มโหมกระหน่ำแรงขึ้น ก่อนจะเกิดเสียงฟ้าผ่าดังสนั่น แสงสว่างเล็ดลอดออกมาจากช่องหิน ทาบทับร่างของชายหนุ่มจนเกิดเป็นเงาดำ ดวงตาสีน้ำผึ้งส่องสว่างวาวโรจน์ หากไร้ซึ่งแสงจากสายฟ้าฟาดคงมองไม่เห็นคราบเลือดที่กระเซ็นลงตรงแก้ม เงาดำที่พาดยาวจนมาถึงจุดที่ยืนอยู่ทำเอาผู้เห็นรู้สึกกลัวและกดดันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“เข้ามาสิครับ ยืนอยู่ตรงนั้น ใครมาเห็นเข้าคงจะไม่ดี”
ลูคัสเอ่ยเชื้อเชิญชายที่ยังยืนนิ่งตรงหน้าประตูไม่ขยับไปไหน ยกมือขึ้นลูบของเหลวที่ติดอยู่ตรงแก้ม รอยสีแดงปาดเป็นทางยาวยิ่งทำให้คนถูกเรียกหวาดกลัวเพิ่มขึ้นไปอีก
ชายที่มาใหม่หลับตาลงเพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ตนเอง พาสองขาก้าวเข้ามายังสถานที่ที่รู้สึกน่าหวาดกลัวที่สุดในคุกแห่งนี้ ขนตามแขนเริ่มตั้งชัน ลุกยิ่งกว่าเดินเข้าบ้านผีสิง สามร่างที่นอนแน่นิ่งไม่รู้ว่ายังมีชีวิตอยู่หรือลาโลกไปแล้ว ใจหนึ่งก็อยากลงไปตรวจสอบ แต่คนที่อยู่ตรงหน้ากลับแผ่รังสีอำมหิตเสียจนไม่กล้าที่จะทำอะไรนอกเหนือจากที่ควร
ความหงุดหงิดของลูคัสแปรเปลี่ยนเป็นเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจเมื่อชายที่หยุดยืนอยู่ตรงหน้าหยิบยื่นสิ่งของบางอย่าง รอยยิ้มจอมปลอมกลับกลายเป็นฉีกกว้างด้วยอารมณ์อันหลากหลายผสมปนเปกัน ชายแปลกหน้าถึงกับชะงัก กลืนน้ำลายอึกเมื่อสัมผัสได้ถึงความกระหายเลือดและความบ้าคลั่งสะท้อนอยู่ในแววตาที่โผล่ให้เห็นเพียงเสี้ยววินาที ก่อนใบหน้าหล่อจะกลับมาเป็นยิ้มแย้มปกติ
“เป็นเรื่องที่ดีที่สุดของวันเลยครับ… พันเอกเบรทท์”
ชายหนุ่มเอ่ยบอกชายที่อยู่ตรงหน้า ชายที่ยืนอยู่จุดสูงสุดของทางฝั่งทหาร ชายที่ผันตัวเป็นหนึ่งในผู้ร่วมแผนการ ชายที่มีอำนาจเทียบเท่าพัศดีเออร์วิน – ‘พันเอกเบรทท์’
“เบรทท์ เรียกแค่นั้นพอ ตำแหน่งไร้ค่านั้นมันไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว”
น้ำเสียงเรียบเฉยเอ่ยตอบกลับด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“คุณคิดดีแล้วเหรอครับที่จะมาร่วมลงมือแหกคุก กลับใจตอนนี้ยังทันนะ”
ลูคัสถามย้ำอีกครั้งอย่างชั่งใจ
“ไม่ ฉันสิ้นหวังกับที่นี่เต็มทนแล้ว…”
นัยน์ตาสีอำพันสะท้อนถึงความเจ็บปวดเมื่อเอื้อนเอ่ยออกมา
“ทหาร ผู้คุม นักโทษ ทุกคนที่อยู่ที่นี่ล้วนเป็นเหล่าคนที่ถูกทอดทิ้งจากโลกภายนอกทั้งนั้น รวมทั้งฉัน และเออร์วินด้วย พวกเราเป็นแค่นักโทษที่แบกชื่อของรัฐบาลไว้ก็เท่านั้น”
น้ำเสียงที่เอ่ยยืนยันความคิดนั้นเต็มไปด้วยความเหนื่อยอ่อน ใบหน้าหันมองช่องหินที่คู่สนทนามักจะมองลอดออกไปเป็นประจำ พาสองขาเดินเข้าไปใกล้ สายฝนที่สาดกระเซ็นเข้ามาทำเอาชุดทหารฉ่ำไปด้วยน้ำผสมเม็ดทราย มือถูเอาสิ่งที่เกาะอยู่ตามเสื้อออก ใบหน้านิ่งเรียบจ้องมองเม็ดทรายละเอียดที่อยู่บนปลายนิ้วก่อนจะขยี้ไปมาราวกับจมอยู่ในห้วงความคิด
“เออร์วิน หมอนั่นมันก็รู้ดีแก่ใจว่าการที่ถูกส่งมาที่นี่หมายความว่ายังไง เพราะงั้นถึงได้ทำทุกอย่างโดยไม่ได้สนใจกฎหรือกติกาใดๆ สร้างความเดือดร้อนไปทั่วทั้งในคุกและก็บนเกาะ ที่นี่ก็เปรียบเหมือนปราสาทหลังใหญ่ของมัน มีเหล่านักโทษและพัศดีเป็นบริกรให้บริการ ใช้ชีวิตดุจราชาในปราสาททรายที่พร้อมพังทลายได้ทุกเวลา แต่ฉันไม่คิดจะพังทลายไปพร้อมกับมันหรอก เพราะฉะนั้นฉันตัดสินใจแล้วว่าจะออกไปจากที่นี่”
ลูคัสพยักหน้ารับกับการตัดสินใจอันเด็ดขาดของคนที่ยอมสละตำแหน่งเพื่อไปเผชิญกับโลกภายนอก ใจนึกสงสารชายหนุ่มในวัยสามสิบต้นๆ ที่ได้รับตำแหน่งพันเอกมาเนื่องจากโดนถีบหัวส่งมายังเกาะ ชายหนุ่มผู้จริงจังและมีอนาคตไกลหากได้อยู่ในสถานที่อันเหมาะสม เรื่องราวที่เคยได้รับการบอกกล่าวมาชวนให้ลูคัสนึกถึงเรื่องราวชีวิตของตนเอง เรื่องราวที่ความละโมบและความอิจฉาบานปลายจนทำลายชีวิตของใครคนหนึ่ง
“ตอนนี้ผมคิดแผนใหม่ได้แล้ว สนใจมาเข้าร่วมไหมครับ”
ลูคัสเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงหนักแน่น มือซ้ายถูกหยิบยื่นให้คนตรงหน้า คนที่มีอุดมการณ์เดียวกัน
ชายผู้ละทิ้งตำแหน่งก้มลงมองฝ่ามือ ก่อนจะเงยหน้ามองคนที่หยิบยื่นข้อเสนอมาให้ เมื่อใบหน้าแสนเจ้าเล่ห์มากแผนการนั่น ใบหน้าเรียบเฉยจนเป็นเอกลักษณ์ของเบรทท์ก็คลี่ยิ้มออกมา ยิ้มที่ฉายแววสนุก รู้สึกตื่นเต้นอย่างที่ไม่เคยเป็น ก่อนจะยกมือซ้ายขึ้นมากระชับแน่นตอบรับ
“พวกเรานี่แหละที่จะเป็นคนพังทลายปราสาททรายบ้าๆ นี่เอง”
=========
กลับมายังปัจจุบัน…
“ลูคัส นักโทษหมายเลข 11092008 ยินดีที่ได้รู้จัก อ๊ะ! โทษทีครับ ตอนนี้ผมยกปลอกคอนั่นให้คุณแล้ว”
ใบหน้าหงุดหงิดเกรี้ยวกราดที่จ้องมาตลอดตั้งแต่เจอหน้ากันแปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าทะเล้นพร้อมกับรอยยิ้มชวนน่าโมโห ลักษณะท่าทางและบุคลิกเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงราวกับว่าเป็นคนละคน ยิ่งมองเออร์วินก็ยิ่งขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“มนุษย์เราเนี่ยมันก็คล้ายๆ กันหมดนะครับ พอมีสิ่งที่สนใจอยู่ตรงหน้าก็ชอบลืมสิ่งรอบตัวไปเสียหมด”
คำพูดส่อเสียดดังออกมาราวกับเอ่ยเลื่อนลอย ไม่ได้สนใจคนที่นอนนิ่งอยู่ที่พื้นด้วยอากาศชา สายตาขุ่นเคืองจ้องเขม็งรู้ดีว่าอีกฝ่ายต้องการจะสื่ออะไร หากเออร์วินไม่หลงมัวเมาไปกับร่างกายของบัลธัสคงไม่ต้องมาอยู่ในสภาพนี้
ชายหนุ่มมองเงาสะท้อนของตัวเองผ่านตู้เก็บถ้วยรางวัล ทรงผมที่เคยรกรุงรังถูกตัดแต่งใหม่ด้วยฝีมือของผู้ร่วมแผนการอีกคน เส้นผมที่ปิดบังดวงตาสีน้ำผึ้งถูกตัดสั้นเข้ารูปจนดูดี แผ่นหลังที่โก้งโค้งกลับมาตั้งตรง ผิวขาวเนียนมาพร้อมกับมวลกล้ามเนื้อตามแบบหนุ่มที่ดูแลตัวเอง ไม่เหลือเค้าผู้ชายซอมซ่ออย่างที่นักโทษคนอื่นเคยรู้จัก ลูคัสพยักหน้าอย่างพึงพอใจ ในที่สุดก็ได้สลัดคราบของคนคุกแสนซกมกมาเป็นสุภาพบุรุษสุดหล่อที่ดึงดูดสายตาได้อีกครั้ง
สองขาก้าวตรงไปยังโต๊ะที่อยู่กลางห้อง ดวงตามองร่างเปลือยเปล่าที่สลบไสลก่อนริมฝีปากจะเปลี่ยนมาคลี่ยิ้ม แม้จะไร้สติแต่ใบหน้าดุกลับฉายแววพึงพอใจ สังเกตได้ชัดจากรอยยิ้มที่ไม่เคยแสดงให้เห็น ทำเอาลูคัสอดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม สองมือช้อนร่างที่ใหญ่โตกว่าไว้ในอ้อมแขนด้วยท่าอุ้มเจ้าหญิง ตรงไปยังโซฟาเพียงตัวเดียวที่อยู่ในห้อง ค่อยๆวางร่างที่ไร้สติลงอย่างนุ่มนวล ฝ่ามือลูบใบหน้าดุที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำกาม ปัดเอาสิ่งสกปรกออก จ้องมองอีกฝ่ายด้วยสายตาอ่อนโยนและชื่นชม
“คุณพยายามได้ดีมากครับ จากนี้ผมรับช่วงต่อเอง”
ชายหนุ่มลุกขึ้น เดินไปคว้าเสื้อพัศดีที่แขวนอยู่มาคลุมปกปิดร่างกายของสหายคนสนิทเพื่อบรรเทาความหนาวที่ลดต่ำลงเรื่อยๆในเวลากลางคืน
ร่างของเออร์วินที่ทุลักทุเลลุกขึ้นยืนอย่างเงียบเชียบเพื่อไม่ให้ลูคัสรู้ตัวทรุดลงไปกับพื้นอีกครั้งเมื่อปลอกคอเริ่มทำงาน เครื่องควบคุมที่อยู่ในมือลูคัสส่งผ่านคำสั่ง เรียกกระแสไฟฟ้าช็อตจนขยับตัวไม่ได้ ใบหน้าหันมองก่อนจะสาวเท้าเข้าไปใกล้ ตาสีน้ำผึ้งจ้องบุรุษที่นอนคว่ำไปกับพื้นด้วยสายตาเยือกเย็น
“ผมล่ะอุตส่าห์เตรียมแผนไว้ตั้งเยอะ คอยหาจังหวะช่องว่าง รอให้คุณเผยจุดอ่อน แต่ไม่คิดเลยนะครับว่ามันจะง่ายดายขนาดนี้ ช่างน่าผิดหวังจริงๆ”
น้ำเสียงเรียบเย็นเอ่ยบอกอย่างดูแคลนให้ชายที่นอนฟุบต้องแหงนขึ้นมอง ใบหน้าที่จ้องมองลงมาราวกับคนที่อยู่เหนือกว่าทำเอาดวงตาของพัศดีวาวโรจน์ด้วยความโกรธแค้น การถูกเหยียดหยามฝังลึกลงในจิตใจ ตอกย้ำถึงเหตุผลที่ถูกส่งมาเป็นพัศดีในพื้นที่ตัดขาดจากโลก
“มึงปลดปลอกคอออกได้ยังไง”
เออร์วินกัดฟันกรอดเอ่ยถาม ยังไม่หายสงสัยที่ปลอกคอถูกปลดออกอย่างง่ายดาย หากใช้กำลังบังคับให้ปลดออก ดินปืนที่อยู่ด้านในคงระเบิดจนศีรษะนั้นหลุดออกจากตัว ส่วนผู้ที่ได้ฟังก็ได้แต่หัวเราะขำ
“ผมคิดว่าคุณจะฉลาดกว่านี้นะครับ โดนช็อตไปถึงสองครั้งก็น่าจะรู้แล้วนะว่าผมมีสวิตช์ควบคุมปลอกคออันนั้นน่ะ”
ไม่ว่าเปล่าสวิตช์สำหรับควบคุมถูกแสดงให้เห็นตรงหน้า ดวงตาเออร์วินเบิกกว้างอย่างไม่เชื่อ หากเป็นสวิตช์ทั่วไปตามที่ผู้คุมถือก็ว่าไปอย่าง แต่สิ่งที่อยู่ในมือกลับเป็นตัวเดียวกับที่เออร์วินถือครอง เครื่องควบคุมพิเศษที่สามารถระบุหมายเลขและมีระบบไฟช็อตที่มีเพียงสองตัวเท่านั้น ตัวหนึ่งเออร์วินพกไว้ไม่ห่างกายแทบจะตลอดเวลา อีกอันหนึ่งเก็บไว้ในห้องนี้ที่ไม่มีใครกล้าย่างกรายเข้ามานอกเสียจากได้รับอนุญาต
“มึงไปเอามาได้ยังไง”
อุปกรณ์อีกชิ้นหนึ่งถูกเก็บไว้ในส่วนลึกของลิ้นชักโต๊ะทำงาน เป็นไปไม่ได้เลยในการที่คนตรงมุมห้องจะเข้ามาประชิดโต๊ะแล้วหาเจอภายในเสี้ยววินาทีโดยเออร์วินไม่รู้ตัวเสียก่อน ยังไม่นับเวลาที่ต้องคอยศึกษาวิธีการทำงานของมันอีก ก่อนจะไปสถานที่นัดรวมเหล่านักโทษเออร์วินก็ตรวจสอบย้ำอีกครั้งแล้วว่าแผงควบคุมยังเก็บไว้ในส่วนลึกจุดเดิม แล้วมันจะไปอยู่ในมืออีกฝ่ายตอนไหน สมองขบคิดถึงความเป็นไปได้ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่ออะไรบางอย่างแวบเข้ามาในหัว
“ตอนไฟดับ…”
ริมฝีปากคลี่ยิ้มเจ้าเล่ห์ให้กับคำตอบของคนตรงหน้า ต้องขอบคุณการดำเนินงานอันว่องไวโดยมีแกนนำเป็นใครไม่ได้นอกจาก ‘พันเอกเบรทท์’ ที่ส่งทหารคนสนิทเข้ามาค้นห้อง แม้ในตอนแรกลูคัสก็ไม่เข้าใจว่าทำไมเพื่อนร่วมแผนการถึงต้องมายืนเฝ้าประตูทางไปห้องพัศดี แต่หลังจากความเชื่อใจในรูปร่างของแผงควบคุมถูกส่งผ่านมายังมือของชายหนุ่ม ก็ทำเอาเข้าใจทุกอย่าง
“ไฟที่ดับนั่น เป็นแผนของมึงสินะ”
“นั่นสิน้า ยังไงกันแน่นะ”
ใบหน้าทะเล้นฉีกยิ้มตอบกลับสายตาโกรธแค้น ไม่อยากจะบอกว่าทุกอย่างเป็นความบังเอิญล้วนๆหรือเป็นความตั้งใจของเบรทท์ก็ไม่ทราบได้ ปล่อยให้เออร์วินคิดเป็นตุเป็นตะสร้างความหงุดหงิดเพิ่มเข้าไปเอง
เออร์วินโกรธจนเส้นเลือดขึ้นที่ขมับเมื่อสถานการณ์เริ่มแย่ลงเรื่อยๆ ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนไม่ทันได้ตั้งตัว นึกโมโหตัวเองที่ปล่อยให้ความต้องการมาชักนำจนปล่อยปละละเลยการตรวจสอบความเรียบร้อยอย่างเคยทำเป็นประจำ เพราะมัวแต่หงุดหงิดอยู่กับการพบเจออันไม่พึงประสงค์ พอกลับเข้ามาในห้องก็เลยเล่นระบายความโกรธกับชายที่พาตัวมาด้วยแบบไม่บันยะบันยัง
ลูคัสอ้อมตัวมาด้านหลัง ดึงมือที่ราบไปกับพื้นของคนที่ไม่มีแรงขยับขึ้นไขว้หลัง กุญแจมือสีเงินที่ห้อยอยู่ตรงมุมห้องถูกนำมาประกบเข้าข้อมือ บังคับให้ชายที่เคยยิ่งใหญ่ที่สุดนอนแน่นิ่งไปกับพื้นโดยช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินกลับไปยังโต๊ะที่อยู่กลางห้องอีกครั้ง
ลิ้นชักถูกกระชากออกจนสุดโดยไร้ความทะนุถนอมกลัวว่าของจะพัง มือคุ้ยเข้ากับกองเอกสารก่อนจะโยนทิ้งจนเกลื่อนกระจายเต็มพื้น ข้าวของในแต่ละช่องถูกค้นกระจุยจนกระทั่งใบหน้าหล่อแสยะยิ้มเมื่อเจอสิ่งที่ตามหา พวงกุญแจสีทองบนผ้ากำมะหยี่สีแดงสดถูกวางอยู่ในกล่องใส มีลูกกุญแจสีเดียวกันนับสิบดอกห้อยอยู่ด้านใน ลูคัสหยิบขึ้นมาก่อนจะเหลือบไปเห็นอีกกล่องหนึ่งที่วางคู่กัน กล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าสีดำสนิทถูกยกตามขึ้นมาก่อนจะเปิดออก แหวนสามวงพราวประกายสะท้อนกับแสงไฟ อัญมณีที่ประดับอยู่ตรงหัวแหวนแตกต่างกันออกไปอย่างชัดเจนเช่นเดียวกับลายรอบวง ตัวอักษรภาษาอังกฤษที่ฉลุอยู่ด้านในของอัญมณีดูแปลกตาแถมต่างกันทั้งสามวง ริมฝีปากยกยิ้มเมื่อของที่อยู่ในมือช่างเหมาะสมสำหรับเป็นของที่ระลึกกับการลาจากช่วงเวลาที่ทนทุกข์ตลอดหลายปี
เออร์วินที่กำลังกระเสือกกระสนดันตัวขึ้นนั่งยิ่งขมวดคิ้วหนักเมื่อของสะสมที่หามาอย่างยากลำบากถูกสวมเข้ากับนิ้ว อยากจะพุ่งกระโจนเข้าไปชิงคืน แต่จากสภาพของร่างกายคงไม่แคล้วได้กลายเป็นกระสอบทรายแทน ดวงตาสีฟ้าจ้องมองชายหนุ่มที่เดินตรงดิ่งไปยังประตูด้านในพร้อมกับกุญแจสีทองที่อยู่ในมือ การกระทำราวกับรู้ข้อมูลทุกอย่างว่าการจะเปิดประตูสามารถหากุญแจได้จากที่ไหนและต้องใช้กุญแจดอกใดจากลูกกุญแจนับสิบ ไม่นานนักบานประตูก็ถูกเปิดออกอย่างรวดเร็วยิ่งสร้างความประหลาดใจให้เออร์วิน
ร่างของชายหนุ่มหายเข้าไปหลังประตูก่อนจะออกมาด้วยสิ่งที่ทำให้เออร์วินหวาดผวายิ่งกว่า
กระเป๋าสีดำทรงเดียวกับที่บรรจุหลอดยาสีชมพูถูกวางลงบนโต๊ะกลางห้อง
“คุณไม่รู้สึกแปลกบ้างเหรอครับที่จระเข้ขวางคลองตัวโตกลับมาทำดีด้วยแบบผิดวิสัย”
ลูคัสเอ่ยถามขณะที่ยังง่วนอยู่กับการเปิดกระเป๋า สร้างความสงสัยจนพัศดีขมวดคิ้ว
“พูดถึงใครวะ ไอสวะเบรทท์?”
แม้สมาธิจะจดจ่ออยู่กับของที่อยู่ในมือ ใบหน้าหล่อก็ต้องเงยขึ้นมองละจากกระเป๋า คิ้วซ้ายเลิกสูงนึกสงสัยว่านอกเหนือจากตัวเองแล้ว ทุกคนบนโลกนี้ล้วนเป็นสวะในสายตาคนตรงหน้าหมดเลยรึเปล่านะ หากเป็นเช่นนั้นคงรู้สึกสงสารช่วงชีวิตที่ผ่านมา คงพบเจออะไรมาไม่น้อยถึงได้ฟูมฟักกความคิดและนิสัยจนมาเป็นแบบปัจจุบัน
“หมายความว่ายังไงวะ หรือมึงจะบอกว่าคนอย่างเบรทท์น่ะนะจะมาร่วมมือกับพวกนักโทษ”
ลูคัสไม่ตอบได้แต่ยิ้มกว้าง ก่อนจะหันกลับไปง่วนอยู่กับการเปิดกระเป๋าออก การถูกเมินเฉยยิ่งทำให้ชายผมทองหงุดหงิด เตรียมอ้าปากตะโกนก่นด่า แต่ก็ต้องหุบปากลงเมื่อกระเป๋าถูกเปิดอ้าออก
เข็มฉีดยาที่บรรจุของเหลวสีชมพูถูกยกขึ้นสูงเพื่อสำรวจ ดวงตาสีน้ำผึ้งหลี่เล็กลงก่อนจะหยิบกระดาษอีกชิ้นหนึ่งที่อยู่ด้านในขึ้นมา
“ฟอร์จูนซีรีส์วัน… เห… มิน่าล่ะว่าทำไมออกฤทธิ์แรงขนาดนั้น…”
ลูคัสพึมพำกับตัวเองหลังจากเนื้อความด้านในถูกยกขึ้นอ่าน คุณสมบัติถูกอธิบายไว้อย่างครบถ้วนเท่าที่พอจะทราบได้
ใบหน้าหล่อหันมาหาเออร์วินด้วยรอยยิ้มที่แสนจะเป็นมิตรจนรู้สึกหวาดกลัว สองเท้าย่างกรายเข้าไปใกล้อย่างเชื่องช้า หลอดฉีดยาที่อยู่ในมือถูกกดเพื่อทดสอบจนน้ำสีชมพูพุ่งออกจากส่วนปลาย
“ใช่ยาตัวนี้หรือเปล่าครับ ที่ฉีดให้กับเขาน่ะ”
ชายหนุ่มหันมองร่างที่ยังคงสลบไสลอยู่บนโซฟา ก่อนจะหันกลับมาหาพัศดีที่ใบหน้าเริ่มถอดสีด้วยความหวาดหวั่น คำถามไม่ได้ต้องการคำตอบถูกเอ่ยออกมาเพื่อย้ำเตือนถึงความน่ากลัวของสิ่งที่อยู่ในมือ
“เห้ย อย่านะเว้ย ถ้ามึงปล่อยกูไป กูสัญญาว่าจะคุยกับเบื้องบนให้ มึงจะได้กลับไปหาเมียสุดที่รักและลูกๆของมึงไง”
ข้อเสนอคำเอาคนที่เดินเข้าหาหยุดชะงัก ดวงตาเบิกกว้าง ท่าทีที่เปลี่ยนไปกะทันหันทำเอาเออร์วินใจชื้นเมื่อรู้สึกว่ามาถูกทาง รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ประดับอยู่ริมฝีปากก่อนจะเอ่ยต่ออย่างภาคภูมิ
“ตำแหน่งกูคือพันเอกเลยนะเว้ย ต่อให้มึงฆ่าคนไปเยอะ แค่กูคุยกับเบื้องบนแป๊บเดียวมึงก็จะได้ไปจากเกาะนี่ทันที มึงจะได้ชีวิตเดิมของมึงกลับคืนมาแค่ทำตามที่กูบอก”
ร่างที่ยืนฟังค่อยๆย่อตัวลงนั่ง ก้มหน้างุดเข้ากับวงแขน ร่างกายสั่นเทิ้มเมื่อได้ยินคำพูด ภาพที่เห็นยิ่งทำให้เออร์วินฉีกยิ้มกว้างเข้าไปอีกเมื่อดูเหมือนอีกฝ่ายจะคล้อยตามคำหวานเอ่ยล่อลวง นึกถึงความสุขที่จะได้กลับไปอยู่กับครอบครัวจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
ก่อนใบหน้าของพัศดีจะกลับมาแดงก่ำอีกครั้งด้วยความโกรธเมื่อร่างที่สั่นเทิ้มนั้นระเบิดเสียงหัวเราะออกมาจนน้ำตาเล็ด
“นี่คุณคิดจริงๆเหรอครับว่าคนอย่างผมเนี่ยจะมีลูกสาม แถมยังมีภรรยาอีก นี่ถ้าผมฆ่าคนไปเยอะขนาดนั้นผมคงได้โดนยิงตายก่อนที่จะถูกจับตัวแล้วครับ ทั้งหมดนั่นเรื่องแต่งขึ้นเพื่อให้คุณรู้สึกสนใจก็แค่นั้น ฮ่าๆๆๆ”
ลูคัสกุมท้องด้วยความเจ็บปวดเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายตกหลุมพราง เชื่อสิ่งที่ได้ยินมาเข้าอย่างจัง ร่างกายไม่ได้สั่นเพราะความดีใจ แต่เป็นกลั้นเสียงหัวเราะลั่นจนตัวบิดงอ
“เรื่องแต่ง?… อย่าบอกนะว่า”
เออร์วินเบิกตากว้างเมื่อเรียบเรียงข้อมูลทุกอย่างจนปะติดปะต่อเรื่องราวได้ ยิ่งท่าทีขำไม่ไว้หน้ายิ่งยืนยันความคิด ใบหน้าแข็งกร้าวแดงก่ำด้วยอารมณ์โมโหที่พุ่งขึ้นสุด แผดเสียงร้องดังลั่น
“เบรทท์!!!!!!!!!!!”
ร่างที่ยังคงหัวเราะขำลุกขึ้นมา ตรงไปยังร่างเปลือยที่นั่งคุกเข่า สองมือจับเข้ากับไหล่กว้างให้อีกฝ่ายที่กำลังเดือดดาลนิ่งอยู่กับที่
“และนอกจากนี้…”
ใบหน้าหล่อโน้มเข้ามาใกล้ ยื่นริมฝีปากแนบชิดข้างหู คำพูดที่เอ่ยตามมานั้นทำเอาเออร์วินขนลุกไปทั้งตัว
“ผมชอบผู้ชายครับ”
เข็มฉีดยาถูกเสียบเข้าไปตรงคอของเออร์วินในทันทีที่พูดจบ ปล่อยน้ำสีชมพูไหลเข้าสู่เส้นเลือดจนไม่มีเหลือค้างอยู่ในกระบอก ร่างกายของเออร์วินร้อนผ่าวไปตามของเหลวที่วิ่งปราดไปทั่วร่างอย่างรวดเร็ว หัวใจเต้นแรงขึ้นจนต้องหอบหายใจทางปาก สมองรู้สึกปวดตุบจนแทบจะทรุดไปนอนกับพื้นด้วยความทรมาน
“ยิ่งคุณโมโหมากเท่าไหร่ มันจะยิ่งกระตุ้นคุณมากเท่านั้น คุณน่าจะเข้าใจดีไม่ใช่เหรอครับ”
ลูคัสเอ่ยบอกพร้อมมองด้วยสายตาเย็นชา ก่อนจะกระชากหลังคอเสื้อให้ร่างแกร่งลุกขึ้นยืน ดึงอีกฝ่ายไปยังกลางห้องที่เคยเป็นเวทีเดือดระอุ
“จะทำ…อะไรวะ…”
เออร์วินเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ความทรมานจากการปวดหัวเริ่มจางหายไปราวกับคุ้นชิน ถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกใหม่ที่ใช้งานอยู่เป็นประจำ
ผู้ถูกเอ่ยถามจ้องมองด้วยสายตาเย็นชาดุจน้ำแข็ง ผลักร่างที่ลากมาให้นอนคว่ำหน้าลงกลางโต๊ะ แรงกระแทกทำเอารู้สึกเจ็บจนเออร์วินหันมองกลับด้วยความโมโห แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเผชิญกับแววตาวาวโรจน์ที่จับจ้องมา อัดแน่นไปด้วยแรงอาฆาตราวกับหมายจะกระชากวิญญาณให้หลุดพ้นจากร่าง
“ทำอะไรงั้นเหรอ…”
น้ำเสียงเย็นชาที่ตอบกลับทำเอาเออร์วินกลืนน้ำลายอึก หวาดกลัวไปถึงขั้วหัวใจ
“ขยี้ศักดิ์ศรีของคุณให้ป่นปี้ไงครับ”
====== END SS 0 Part 5 : แก้แค้น ======