เมื่อถึงวันที่สี่หลี่เย่กลับบ้านมาครั้งหนึ่ง ท่าทีเหน็ดเหนื่อยแต่กลับพูดด้วยความสบายใจว่า “ในที่สุดก็สืบหาเบาะแสได้บ้างแล้ว”
ถาวจวินหลันรู้สึกพอใจ แม้ว่าจะรู้สึกสงสารหลี่เย่ แต่ก็ยังไล่ถามว่า “สืบอะไรได้บ้าง? รู้หรือยังว่าผู้ใดควบคุมเรื่องนี้อยู่เบื้องหลังเพคะ?”
เมื่อพูดถึงคนที่ชักใยบงการอยู่เบื้องหลัง ถาวจวินหลันยังไม่รู้สึกว่าเสียงของตนแฝงไว้ด้วยความเป็นปรปักษ์อยู่หลายส่วน
หลี่เย่กลับส่ายหัว “เพียงแค่สืบได้เบาะแสเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนคนที่อยู่เบื้องหลังเกรงว่ายังห่างไกลนัก แต่ถ้าสืบเสาะเรื่องราวไปตามเบาะแสที่มีอยู่ก็ต้องสืบพบเป็นแน่” สถานการณ์ในตอนนี้ถือว่าเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้นก็รู้ว่าคงไม่ได้สืบเรื่องสำคัญอะไรได้เป็นแน่ ในตอนนั้นจึงไม่ได้ไล่ถามต่อ เพียงแค่ถามถึงนักฆ่าคนนั้นขึ้นมา “ถ้าเช่นนั้นนักฆ่าในตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
“ให้คนไปดึงเอ็นข้อมือข้อเท้า และให้ถอนฟันออก ร้องขอชีวิตไม่ได้ขอให้ตายก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน” ตอนที่หลี่เย่พูดเช่นนี้ก็มีท่าทางเหมือนพูดเรื่องธรรมดามิปาน
ถาวจวินหลันไม่ได้รู้สึกว่าโหดร้ายอะไร อย่างไรถาวจิ้งผิงก็นอนรักษาตัวอยู่บนเตียง องค์หญิงแปดก็ยังคงดิ่งอยู่ในความเจ็บปวดจากการสูญเสียบุตร แม้แต่ซวนเอ๋อร์ในตอนนี้ก็ยังต้องดื่มชาสงบจิตอยู่ทุกวัน ดังนั้นนางจึงรู้สึกเห็นใจไม่ได้จริงๆ กลับยิ่งหวังให้นักฆ่าคนนั้นและเจ้านายเบื้องหลังเขายิ่งเจ็บปวดน่าเวทนามากกว่านี้
ทันใดนั้นถาวจวินหลันก็หัวเราะเย็น “อีกครู่หนึ่งท่านไปแทงแผ่นอกของนักฆ่าคนนั้นแทนข้าสักครั้งหนึ่ง คิดดอกเบี้ยกลับคืนมา”
หลี่เย่ไม่คิดใส่ใจ แต่กลับเห็นด้วยอย่างมีความสุข “ดี ตามที่เจ้าพูด”
ถาวจวินหลันกลับมองหลี่เย่อย่างลุแก่โทษ ถอนหายใจออกมาพลางอธิบายว่า “ข้ากล้ำกลืนความรู้สึกนี้ไม่ได้จริงๆ”
“ข้ารู้” หลี่เย่พยักหน้า ท่าทีอบอุ่น “คนเช่นนี้ ควรฆ่าให้ตาย”
“วันนี้ฮองเฮายังคิดจะแนะนำชายารองให้ท่านอีกคนหนึ่ง” ถาวจวินหลันคิดถึงคำพูดของฮองเฮาได้ จากนั้นก็มองไปทางหลี่เย่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เป็นอย่างไรเจ้าค่ะ ท่านดีใจหรือไม่? ครั้งนี้ฮองเฮาจะต้องช่วยเลือกหญิงงามล่มเมืองให้ท่านเป็นแน่ จะได้ให้ท่านหลงใหลจนโงหัวไม่ขึ้น”
หลี่เย่ได้ยินความหึงหวงที่แอบซ่อนอยู่ ก็อดยกยิ้มขึ้นมาไม่ได้ เขาไม่รีบร้อนเอ่ยปฏิเสธ แต่กลับตั้งใจหยอกล้อนาง “ถ้าเช่นนั้นเจ้ารู้สึกอย่างไรเล่า?”
ถาวจวินหลันยิ้มสดใส มองเขาอย่างแฝงท่าทีเย้ายวน “แน่นอนว่าต้องดีมากน่ะซี มีพี่สาวน้องสาวมากความสามารถเพิ่มเข้ามาในจวน ต่อจากนี้ไปคงจะครึกครื้นน่าดู” คำว่าครึกครื้นสองคำนี้นางยิ่งเน้นน้ำเสียงเข้าไปอีก
หลี่เย่เลิกคิ้ว “อย่างนั้นหรือ? ดูไม่ออกว่าเจ้าจะอ่อนน้อมถึงเพียงนี้”
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับเสียงหยอกเย้าที่ลากยาวของหลี่เย่ ถาวจวินหลันก็แปรความเขินอายเป็นความโกรธ กำหมัดทุบลงไปบนอกของเขาเบาๆ “คำพูดของท่านหมายความว่าเช่นใดกัน? หรือว่าข้าไม่อ่อนน้อมเพคะ? ข้าไปรังแกอนุภรรยาของท่านหรืออย่างไรเพคะ? หรือว่าขัดขวางท่านไม่ให้ไปหาคนอื่นเพคะ?”
หลี่เย่ถอนใจ ยื่นมือออกมาโอบถาวจวินหลันไว้ น้ำเสียงแฝงด้วยเสียงหัวเราะ “เจ้าบอกข้าซี เจ้าหวังอยากให้คนใหม่เข้ามาในจวนจริงๆ หรือ?” เมื่อครู่นี้ได้ยินคำพูดเหน็บแนมของนาง ในใจก็รู้สึกดีใจ แต่เดิมคิดอยากจะหยอกเย้าให้นางแสดงท่าทีหึงหวงเสียหน่อย แต่กลับคิดไม่ถึงว่าจะยั่วโมโหจนแมวพองขน
ถาวจวินหลันนิ่งไปครู่หนึ่ง สุดท้ายแล้วก็เอาหน้าซุกลงไปบนอกเขา ส่ายหน้าเบาๆ “ไม่มีผู้หญิงใดหวังให้คนในใจของตนไปอยู่กับหญิงอื่นหรอกเพคะ ข้าไม่ยินยอม ดังนั้นข้าจึงไม่ใช่คนเรียบร้อยเชื่อฟัง ข้ารับอนุภรรยาที่อยู่ภายในจวนได้ ก็เพราะว่าอย่างไรท่านก็ไม่ชอบพวกนาง และยิ่งรู้สึกจนปัญญา แต่ต่อให้เป็นเช่นนี้ พอท่านไปหาคนอื่น อย่างไรแล้วก็รู้สึกไม่ยินยอมนะเพคะ”
หลี่เย่ได้ยินเช่นนี้ก็ทั้งตกใจปนดีใจ พูดตามจริง แต่เดิมเขาก็เพียงอยากหยอกล้อเท่านั้น แต่คิดไม่ถึงว่าจะได้รับคำตอบเช่นนี้ ด้วยเขาตกใจจึงพูดอะไรไม่ออกไปครู่หนึ่ง ผ่านไปนานถึงได้สติกลับคืนมา ในใจเต็มไปด้วยความยินดี คำพูดที่พูดออกไปก็เบาสบาย “เจ้าวางใจเถิด ข้าไม่มีทางให้คนใหม่เข้ามาทำให้เจ้าเสียใจเป็นแน่”
ก่อนหน้านี้ที่รับคนมามากมายถึงเพียงนี้ เขาก็ทำเพื่อถาวจวินหลัน หากไม่มีอนุภรรยาแม้แต่คนเดียว โปรดปรานแค่เพียงถาวจวินหลัน สุดท้ายแล้วก็จะทำให้คนอื่นติฉินนินทา และทำให้ฮองเฮาและไทเฮาไม่ชอบถาวจวินหลัน อย่างไรก็ต้องหาวิธีบังตาถึงจะถูก
ส่วนตอนนี้ไม่จำเป็นต้องระมัดระวังเช่นนี้แล้ว อย่างไรเขาเองก็มีลูกชายสองคน ลูกสาวก็มีสองคน ต่อจากนี้ถาวจวินหลันยังให้กำเนิดได้อีก ดังนั้นไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะมีผู้ใดมาพูดติฉินนินทาอะไรอีก
อีกทั้งอนุภรรยาเหล่านั้นยังสามารถเก็บไว้เป็นม่านบังตาได้ ไม่ต้องการคนใหม่อีกต่อไป
ถ้อยคำยืนยันเช่นนี้ของหลี่เย่ทำให้ถาวจวินหลันทั้งตกใจระคนดีใจ แต่จากนั้นก็รู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก จึงถอนหายใจและพูดว่า “สุดท้ายแล้วข้าก็ไม่ใช่คนที่อ่อนน้อมนี่เพคะ”
หลี่เย่กลับยิ้มและพูดว่า “จะต้องการคนอ่อนน้อมไปทำไมกัน?” ตอนนั้นหลิวซื่อเป็นคนอ่อนน้อม วันๆ ส่งอนุภรรยาเข้าไปในห้องของข้าทั้งวัน ถ้าเทียบกับสิ่งนี้เขากลับชอบท่าทีหึงหวงของถาวจวินหลัน อย่างน้อยก็อธิบายได้ว่านางใส่ใจเขาไม่ใช่หรืออย่างไร?
อีกทั้งหึงหวงสักนิดสักหน่อยบ้างก็ถือเป็นการสร้างรสชาติให้ชีวิตคู่มิใช่หรือ?
ถาวจวินหลันหลันเห็นว่าเขาไม่สนใจ ความหึงหวงในใจก็ลดน้อยลง กลับไปคิดรู้สึกเศร้าโศกอีกครั้ง “ตอนนี้ท่านก็กำลังฟื้นฟูอยู่ช้าๆ ฮองเฮาไม่วางใจท่านอีกแล้ว วันนี้นางยังเอาจวนเพ่ยหยางโหวมาขู่ข้าเสียด้วยซ้ำไป”
“เพ่ยหยางโหวเปลี่ยนใจมานานแล้ว ฮองเฮาจับเพ่ยหยางโหวไว้ในกำมือไม่ได้อีกต่อไป อีกอย่างหนึ่ง ตอนแรกที่ให้เจ้าเป็นบุตรบุญธรรมของเพ่ยหยางโหวนั้น ก็เพียงแค่ต้องการหาที่พึ่งพิงและตระกูลที่มีหน้ามีตาให้เจ้าก็เท่านั้น ตอนนี้กลับไม่มีความจำเป็นแล้ว แค่จิ้งผิงและตระกูลเฉินก็มากพอที่จะคอยเข้าข้างเจ้าแล้ว” หลี่เย่ไม่มีความกังวลแม้แต่น้อย แต่กลับอมยิ้มและพูดว่า “หากสามารถใช้โอกาสนี้ทำให้เพ่ยหยางโหวแสดงจุดยืนที่ชัดเจนได้ก็ถือว่าไม่เลว”
ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนั้น นางก็เข้าใจว่าหลี่เย่คงรู้สึกไม่วางใจเพ่ยหยางโหวไม่มากก็น้อย จึงพูดว่า “ก็ดีเพคะ”
ความในใจที่หลี่เย่ไม่ได้พูดออกมาก็คือ ต่อให้ตระกูลถาวและตระกูลเฉินจะไม่มากพอช่วยส่งเสริมถาวจวินหลัน แต่ก็ยังคงมีเขาอยู่ ตอนนี้ไม่เหมือนตอนนั้นแล้ว ตอนนั้นเขาเพิ่งออกจากวังหลวงมาไม่นาน เพิ่งจะก่อร่างสร้างตัว ไม่มีวิธีปกป้องถาวจวินหลันจากความอยุติธรรม แต่ตอนนี้ใครจะกล้ามาทำร้ายถาวจวินหลันอีก? ใครจะหาญกล้าบ้าบิ่นละเลยความคิดของเขา?
มองดูความสำเร็จของเขาในหลายปีมานี้ เวลานี้เขาครอบครองอำนาจ หลี่เย่อดยิ้มออกมาไม่ได้ ตอนนี้ความโอหังกระจายไปทั่ว
ถาวจวินหลันเงยหน้าขึ้นมา อมยิ้มไม่ได้ แต่กลับรู้สึกโศกเศร้าเล็กน้อย ตอนนั้นนางยังคิดว่าหลี่เย่บริสุทธิ์ประหนึ่งเทพ แต่กลับไม่คิดว่า ทำไมหลี่เย่ในตอนนี้กลับค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนเดิมเลยแม้แต่น้อย?
คิดไปคิดมาก็อดขบขันไม่ได้ พูดไปแล้ว หลี่เย่ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรจากนาง เป็นเพียงคนธรรมดาทั่วไปเท่านั้นเอง แต่ว่าดีที่เขาโกหกได้ดีกว่า ไม่รู้ว่าโกหกคนไปมากเท่าไรแล้ว?
“ใช่แล้ว ฮ่องเต้สงสัยเรื่องที่จู่ๆ ท่านก็พูดได้หรือไม่เพคะ?” ถาวจวินหลันพลันคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา จึงถามออกมา ความคิดของคนอื่นล้วนไม่สำคัญ ที่สำคัญที่สุดมีเพียงแค่คนนี้คนเดียวเท่านั้น หากคนนี้สงสัยว่าหลี่เย่มีแรงจูงใจ ถ้าเช่นนั้นก็เสียเปรียบอย่างไม่ต้องสงสัย อีกอย่าง “เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น เกรงว่าเรื่องชินอ๋องคงเป็นไปไม่ได้แล้ว”
แต่เดิมหลี่เย่พูดไม่ได้ เรื่องนี้ยังพอมีความเป็นไปได้บ้าง อย่างน้อยทางด้านฮองเฮาก็ไม่ค่อยมีเหตุผลให้ขัดขวาง แต่ว่าตอนนี้…อย่างแรกฮ่องเต้จะต้องตรวจสอบและสร้างความสมดุลให้กับลูกชายทั้งหลาย อย่างที่สองทางด้านฮองเฮาก็จะต้องขัดขวางเป็นแน่
หลี่เย่กลับไม่สนใจเรื่องนี้แม้แต่น้อย “เรื่องนี้ไม่ต้องรีบร้อน เวลานี้ทางด้านเสด็จพ่อคงไม่ถึงขั้นสงสัยข้า ต่อให้สงสัย ก็คงไม่รู้สึกว่าข้ามีแผนอะไร” อย่างไรก็คงคิดแค่เพียงการเสียชีวิตของพระมารดาของตน และเรื่องที่เขาโดนยาพิษตอนนั้น
ถาวจวินหลันพยักหน้า “เรื่องด้านนอกข้าช่วยท่านไม่ได้ ท่านจะต้องระวังให้มาก จะทำอะไรก็ต้องรักษาความปลอดภัยของตนเองเอาไว้ก่อน ข้า ซวนเอ๋อร์ และหมิงจูล้วนไม่จากท่านไปไหนเป็นแน่”
หลี่เย่ได้ยินเช่นนี้ก็สบายใจ อดพยักหน้าไม่ได้ ต่อให้เป็นตัวนางเอง ตอนนี้นางก็ไม่กล้าเอาตัวเองไปเสี่ยงอันตราย
“องค์หญิงแปดมีบุญคุณต่อพวกเรา ต่อจากนี้ไปข้าจะต้องไปมาหาสู่กับองค์หญิงแปดให้มากขึ้น อีกทั้งวันนี้ข้าพบอิงผิน นางเองก็คิดเช่นนี้เพคะ” ถาวจวินหลันคิดถึงคำพูดของอิงผินในวันนี้ จึงอดพูดเช่นนี้ออกมาไม่ได้ ความหมายของนางคือสามารถดึงองค์หญิงแปดเข้ามาเป็นพวกได้หรือไม่
นางคิดว่าอิงผินเป็นคนฉลาด และองค์หญิงแปดก็เช่นเดียวกัน หากดึงมาเป็นพวกได้…เช่นนั้นก็ดึงตระกูลของสามีองค์หญิงแปดเข้ามาเป็นพวกได้ด้วยเช่นกัน
“สามีขององค์หญิงแปดเกิดจากตระกูลเก่าแก่ แม้จะบอกว่าเป็นสายรอง แต่ก็ยังหนุ่มแน่นเต็มไปด้วยความสามารถ”
หลี่เย่พยักหน้า “ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยไปมาหาสู่กับสามีขององค์หญิงแปด ต่อจากนี้ไปจะต้องสนิทสนมกันให้มากขึ้น” ไม่ว่าจะด้วยผลประโยชน์ หรือเพื่อตอบแทนบุญคุณ นี่ล้วนเป็นตัวเลือกที่ไม่เลวทั้งนั้น “เจ้าเองก็ไปมาหาสู่กับน้องแปดให้มาก”
อิงผินมาจากตระกูลแม่ทัพ ถือว่าเป็นเป้าหมายที่ควรค่าแก่การดึงมาเป็นพวกยิ่งนัก
ทั้งสองคนพูดสัพเพเหระกันไปมาถึงได้พักผ่อน
วันรุ่งขึ้นถาวจวินหลันก็ไปเยี่ยมองค์หญิงแปดอีกครั้งหนึ่ง
สีหน้าขององค์หญิงแปดดีขึ้นไม่น้อย แต่พอพบหน้ากันนางก็ถามเรื่องนักฆ่าขึ้นมา ถาวจวินหลันก็รู้ว่านางยังคงติดใจเองนี้
แต่ว่าหลี่เย่ก็ยังสืบไม่พบอะไร เพียงแค่เริ่มมีเบาะแสเท่านั้น ถาวจวินหลันจึงมอบคำตอบที่ทำให้นางรู้สึกสบายใจไม่ได้ ทำได้แค่เงียบไม่พูดไม่จา
องค์หญิงแปดผิดหวังเล็กน้อย แต่กลับไม่แสดงออกมาชัดเจน รวบเรื่องนี้ลงไปด้วยท่าทีเป็นกันเอง “เป็นข้าที่ใจร้อนไป เวลานี้ผ่านไปเพียงไม่กี่วันเท่านั้นเอง”
ทว่าถาวจวินหลันกลับรู้สึกผิด รับประกันด้วยน้ำเสียงรู้สึกผิด “ท่านอ๋องจะต้องสืบพบจนรู้แจ้งเป็นแน่ ท่านอ๋องก็ไม่มีทางปล่อยคนที่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปแน่”
ใบหน้าขององค์หญิงแปดแดงก่ำ “พี่สะใภ้รองเป็นเช่นนี้ ข้ากลับดูเป็นคนนอกเสียแล้ว แต่เดิมนั้นเป็นข้าเองที่ใจร้อน”
ถาวจวินหลันรู้สึกตกใจว่าปฏิกิริยาของตนเองนั้นมากเกินไป จึงยิ้มและถามเรื่องสุขภาพขององค์หญิงแปดเล็กน้อย แล้วถึงพูดว่า “รอเจ้าหายดี ต่อจากนี้จะต้องมาหาข้าให้มากขึ้นถึงจะดี ท่านอ๋องเป็นพี่ชายแท้ๆ ขององค์หญิง องค์หญิงเก้าก็เป็นน้องสาวของท่าน พวกเราถือเป็นครอบครัวเดียวกัน ควรจะต้องสนิทสนมกันให้มาก”
องค์หญิงแปดยิ้มรับ ฉับพลันก็ถามอย่างสงสัยว่า “พูดถึงน้องเก้า ข้ากลับไม่เข้าใจ น้องเก้าไม่ได้แก่งแย่งชิงดีอะไรกับผู้ใด ทำไมถึงมีคนอิจฉาริษยานาง กระทั่งลงมือกับนาง?”
ถาวจวินหลันเองก็เคยสงสัยเรื่องนี้เช่นเดียวกัน แต่เมื่อคิดไปคิดมาก็หาคำตอบที่เหมาะสมไม่ได้ เวลานี้นางพูดได้แค่เพียงการคาดเดาของนางเท่านั้น “บางทีอาจจะเป็นการลงมือกับตระกูลถาวก็เป็นไปได้” อย่างไรแล้วก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่ยอมเห็นตระกูลถาวฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้ง
องค์หญิงแปดกลับส่ายหน้า “ถ้าเช่นนั้นเมื่อลงมือกับสามีน้องเก้าได้ ทำไมถึงลงมือกับน้องเก้าก่อนเล่า?”