องค์หญิงแปดกลับไม่คิดเช่นนั้น “น้องเก้าอาศัยอยู่ในส่วนลึกของวังหลวง จะไปมีเรื่องกับคนภายนอกได้อย่างไร? แล้วภายในวังหลวง นอกจากเบาะแสเรื่องนี้แล้ว ท่านแม่ของข้าก็หาเบาะแสอย่างอื่นไม่พบ จะใช่หรือไม่ใช่ทำไมพี่สะใภ้รองไม่ลองไปถามน้องเก้าดูเล่าเจ้าคะ?”
แม้นถาวจวินหลันจะคิดว่านี่ไม่ใช่ความคิดที่ดี แต่ก็ต้องยอมรับว่านี่เป็นเพียงวิธีเดียว แต่ในช่วงเวลาสั้นๆ ไม่สามารถตัดสินใจได้ จึงยังไม่เอ่ยอะไรออกมา
องค์หญิงแปดดูรู้ว่าถาวจวินหลันยังรู้สึกลังเลใจอยู่ จึงไม่ได้ถามอะไรออกมาอีก เพียงแค่เปลี่ยนหัวข้อพูดไป
พอกลับมาจากจวนองค์หญิงแปด ถาวจวินหลันก็ยังไม่สามารถเลือกได้ เรื่องนี้กลับกลายเป็นเชื้อร้ายในใจของนาง นางอดครุ่นคิดพิจารณาอยู่ในใจไม่ได้ แม้เป็นตอนทานอาหารก็ยังเหม่อลอย
หลี่เย่รู้ว่ามีอะไรเกิดขึ้น คิดว่าภายในจวนเกิดเรื่องบางอย่างจึงถามออกมา
ถาวจวินหลันคิดว่าควรถามความคิดของหลี่เย่ดู จึงเล่าคำพูดขององค์หญิงแปดให้หลี่เย่ฟัง สุดท้ายแล้วก็พูดว่า “แต่ข้าว่าฮองเฮาจะไม่น่าสะเพร่าถึงเพียงนี้ เกรงว่านางคงไม่กล้ากระทำการอย่างโจ่งแจ้งไม่คำนึงถึงผลลัพธ์เช่นนี้”
ไม่ใช่ไม่เชื่อว่าฮองเฮาจะไม่ลงมือ และไม่ใช่ไม่รู้สึกว่าฮองเฮาจะโหดร้ายถึงเพียงนี้ แต่นางรู้สึกว่าถ้าฮองเฮาจะลงมือกระทำก็จะกระทำแบบแอบๆ ไม่มีทางที่จะโจ่งแจ้งเช่นนี้ ฮองเฮามีความสามารถที่จะทำให้คนไม่รู้สึกอะไรเลยด้วยซ้ำไป
สิ่งที่ถาวจวินหลันไม่รู้ก็คือท่าทีสับสนภายใต้แสงเทียน และดวงตาทอประกายของนางทำให้หลี่เย่ใจอ่อนหลายส่วน และได้ยินนางวิเคราะห์เช่นนี้ เขาก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “เจ้าพูดถูกแล้ว”
แต่เมื่อพูดถึงฮองเฮา ท่าทีของหลี่เย่ก็เคร่งขรึ่มขึ้นมาหลายส่วน ดวงตาที่อบอุ่นก็ทาบทับไปด้วยความเคร่งขรึม เห็นได้ชัดว่าลึกล้ำลงไป “นี่ไม่ใช่วิธีของฮองเฮา หรือไม่ฮองเฮาก็กำลังวางแผนอยู่ ไม่อย่างนั้นก็ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับฮองเฮาเลย แต่ถ้าหากเรื่องนั้นเป็นเรื่องจริง เกรงว่าฮองเฮาคงไม่ค่อยยอมรับเจ้าเก้าและจิ้งผิงสักเท่าไรนัก”
องค์หญิงเก้าใช้ถาวจิ้งผิงเพื่อหนีออกจากการควบคุมของฮองเฮา และใช้ซวนเอ๋อร์กำจัดคนของฮองเฮาที่อยู่ข้างกายตนออกไป หากก่อนหน้านี้ตอนที่ถาวจวินหลันยังคงยอมก้มหน้าลดตัวอยู่ต่อหน้าฮองเฮานั้น ต่อให้ฮองเฮาไม่พอใจอย่างไรก็ต้องไว้หน้าไว้บ้าง ถือว่าเป็นการซื้อใจคน แต่ว่าตอนนี้…
ถาวจวินหลันเข้าใจดี ดังนั้นท่าทีของนางจึงเย็นชาหลายส่วน แม้กระทั่งมือที่จับตะเกียบก็กำแน่นมากขึ้น “ข้าไม่มีทางให้คนในครอบครัวต้องเสี่ยงอันตรายเป็นแน่”
หากถึงตอนที่ไม่สามารถปฏิเสธได้แล้ว นางก็ไม่เกรงใจที่จะส่งฮองเฮาไปยังภพตะวันตก มีเรื่องหนึ่งที่นางไม่เคยพูด นั่นก็คือพิษที่ใส่เข้าไปในกำไลที่ให้ฮองเฮาครั้งนั้น ก็สามารถให้ออกฤทธิ์ได้ล่วงหน้า ขอแค่เพียงนางห้อยถุงเครื่องหอมที่ทำมาเป็นพิเศษ และไปมาหาสู่ฮองเฮาบ่อยๆ ‘อาการป่วย’ ของฮองเฮาก็จะยิ่งหนักเร็วขึ้น
แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นหมอหลวงก็จะรู้ว่าฮองเฮาถูกพิษ ถึงตอนนั้นนางเองก็ไม่สามารถหลุดพ้นจากเรื่องนี้ได้
นั่นเป็นแผนการสุดท้ายที่นางเหลือไว้ให้ตนเอง แม้แต่หลี่เย่นางก็ไม่ได้บอกเรื่องนี้
“มีข้า” หลี่เย่แม้ว่าจะพูดแค่เพียงสองคำ แม้แต่ท่าทีก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลง แต่เมื่อถาวจวินหลันฟังกลับรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
นางอดส่งยิ้มให้หลี่เย่ไม่ได้ จากนั้นนางก็กล้ำกลืนความรู้สึกหงุดหงิดไม่พอใจนี้ลงไป
“พรุ่งนี้เจ้าไปถามน้องเก้าก็แล้วกัน ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่จวน” หลังจากทานอาหารเสร็จแล้ว หลี่เย่พลันพูดกำชับเช่นนี้ออกมา เหมือนว่ายังอยากพูดอะไรอีก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดออกมา
ถาวจวินหลันกลับเข้าใจความหมายของหลี่เย่ ในเมื่อจุดประสงค์คือองค์หญิงเก้า ถ้าเช่นนั้นก็ต้องเป็นศัตรูขององค์หญิงเก้า หากองค์หญิงเก้าปิดบังเอาไว้ก็ไม่เกิดผลดีอะไรต่อเรื่องนี้
แต่เพียงแค่องค์หญิงเก้าจะยอมพูดอย่างนั้นหรือ? เกรงว่าไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น หากยอมพูดก็ไม่มีความจำเป็นต้องรอให้นางไปถามเองวันพรุ่งนี้
ดังนั้นเกรงว่าเมื่อนางถามไปแล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องได้รับคำตอบกลับมา
เมื่อคิดถึงนิสัยขององค์หญิงเก้า ถาวจวินหลันก็อดถอนหายใจออกมาไม่ได้ ก่อนหน้านี้นางรู้สึกว่าองค์หญิงเก้าเป็นคนดี แต่คิดไม่ถึงว่าเมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น มุมมองที่นางมีต่อองค์หญิงเก้ากลับต้องเปลี่ยนไป
แน่นอนว่านางไม่ได้รู้สึกว่าองค์หญิงเก้าเป็นคนไม่ดี แต่ท้ายที่สุดแล้วก็คิดเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้ ตอนนี้เมื่อต้องเผชิญหน้ากับองค์หญิงเก้า ในใจมักจะรู้สึกแปลกประหลาด นางให้อภัยการกระทำทั้งหลายขององค์หญิงเก้าได้ และเข้าใจความลำบากของนาง แต่เมื่อถูกคนเล่นงาน นางก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี
จะพูดอย่างไรดี เหมือนกับว่าพอความหวังที่มีอยู่เต็มจนล้นนั้นต้องพบกับความผิดหวังซ้ำซาก แน่นอนว่าอารมณ์ที่พุ่งสูงย่อมต้องลดลงมาเช่นเดียวกัน
บางทีอาจด้วยมองความรู้สึกในใจของนางออก หลี่เย่จึงค่อยๆ เอ่ยปากพูดว่า “เมื่อเจ้าเก้าแต่งงานเข้าตระกูลถาวมาแล้ว ต่อจากนี้ตระกูลถาวก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับนาง นางจะต้องปกป้องตระกูลถาวและจิ้งผิงด้วยเช่นกัน”
หลี่เย่พูดเพื่อให้ถาวจวินหลันเปลี่ยนมุมมองความคิดเรื่องนี้ ดูจากอีกทางหนึ่งแล้วที่จริงจิตใจเช่นนี้ขององค์หญิงเก้าก็ไม่ได้ถือเป็นเรื่องเลวร้าย แม้ว่าคนตระกูลถาวจะง่ายๆ แต่เมื่อคิดอยากจะฟื้นฟูกลับมาก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นเรื่องง่าย หากไม่มีแผนการ เกรงว่าคงช่วยเหลือถาวจิ้งผิงไม่ได้
ถาวจวินหลันเองก็เข้าใจเหตุผลนี้ ดังนั้นแม้ว่าในใจของนางมีปม แต่ท่าทีที่มีต่อองค์หญิงเก้าก็ยังคงเหมือนเดิม ไม่เคยเปลี่ยนไปแม้แต่น้อย
วันรุ่งขึ้นถาวจวินหลันจึงเดินทางไปยังบ้านตระกูลถาว
ผ่านไปเพียงแค่สองสามวัน บาดแผลของถาวจิ้งผิงก็ค่อยๆ ดีขึ้น ดูมีเรี่ยวแรงมากยิ่งขึ้น แม้ว่ายังต้องนอนรักษาบาดแผลอยู่ ไม่สามารถขยับแรงๆ ได้ แต่ว่าก็ยังนอนเอนหลังพิงหมอนดูหนังสือได้
เมื่อเห็นถาวจวินหลันก็ยิ้มและพูดว่า “ท่านพี่ไม่จำเป็นต้องมาหาข้าทุกวันก็ได้ จวนของท่านยังมีธุระอีกมากมาย” ถาวจิ้งผิงกลัวว่าตนเองจะพลอยให้พี่สาวต้องละเลยจวนตวนอ๋องไปด้วย ในตอนนี้หลานสาวและหลานชายอยู่ในช่วงที่ต้องการคนดูแล ได้ยินว่าวันนั้นซวนเอ๋อร์ตกใจ ก็ไม่รู้ว่าดีขึ้นบ้างแล้วหรือยัง
ถาวจวินหลันเห็นว่าถาวจิ้งผิงกำลังอ่านหนังสืออยู่ ก็อดตีหน้าเคร่งไม่ได้ “พักรักษาตัวให้ดีก็ควรจะอ่านหนังสือทั่วไป เหตุใดถึงยังมาอ่านหนังสือการทหารอยู่ได้เล่า?”
อ่านหนังสือทั่วไปก็เพียงเพราะหาความสุข ดูหนังสือการทหารเหล่านี้กลับเป็นการบั่นทอนพลังชีวิต ปวดกำลังสมอง
ถาวจิ้งผิงเห็นเช่นนั้นก็รีบส่ายหน้า “รอจนบาดแผลข้าหายดีก็ต้องไปที่ศาลาว่าการ สถานที่กองทัพทหารเช่นนั้น หากว่าหนังสือทหารข้าไม่เคยอ่านแลยแม้แต่น้อยจะมีที่ยืนได้อย่างไรกัน? คงให้คนอื่นมาหัวเราะเยาะข้าไม่ได้ อีกอย่างข้าเองก็รู้จักพอ ท่านพี่วางใจได้”
มองดูไรหนวดเคราของถาวจิ้งผิง ถาวจวินหลันก็ได้สติขึ้นมา ตอนนี้ถาวจิ้งผิงโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ไม่ใช่เด็กที่ตนเองจะต้องกังวลตลอดเวลาอีกต่อไปแล้ว นางจึงหัวเราะเย้ยตนเอง “ใช่ๆ ตอนนี้เจ้าเป็นผู้ใหญ่แล้ว ข้าไม่ยุ่งกับเจ้าแล้ว” หยุดไปครู่หนึ่ง นางก็มองไปยังองค์หญิงเก้า พลางเอ่ยอย่างหยอกเย้าว่า “ให้ภรรยาของเจ้าดูแลเอาก็แล้วกัน”
แม้ว่าถาวจิ้งผิงจะหูแดง แต่ใบหน้าก็ยังแสร้งทำเป็นสงบนิ่ง แต่องค์หญิงเก้ากลับเขินอายจนแทบจะซุกเข้าไปในอก
จากนั้นถาวจวินหลันก็กำชับถาวจิ้งผิงอีกเล็กน้อย ก่อนมองไปยังองค์หญิงเก้า “น้องเก้า พวกเราไปเดินเล่นที่สวนกันดีหรือไม่ ดูว่ามีดอกไม้อะไรบ้าง เพื่อตัดกลับมาเลี้ยงไว้ในห้อง ให้จิ้งผิงได้ดูบ้าง”
องค์หญิงเก้ามีท่าทีแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็ยังรับปาก ทั้งสองคนจึงพากันเดินไปที่สวนดอกไม้
เวลานี้เป็นฤดูใบไม้ผลิ ดอกไม้ทั้งหลายออกดอกออกผล แม้นจะบอกว่าสวนของบ้านตระกูลถาวไม่ได้กว้างมากนัก แต่ก็จัดการได้อย่างครึกครื้น มองดูลูกท้อสีแดงต้นหลิวสีเขียว ผีเสื้อบินไปมา จิตใจของคนก็พลอยเบิกบานสดใสไปด้วย
“น้องเก้า ท่านอ๋องอยากจะสืบคนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ เรียกร้องความยุติธรรมให้กับเจ้า” ถาวจวินหลันรู้สึกว่าในเมื่อเป็นคนในครอบครัวเดียวกันย่อมไม่จำเป็นต้องอ้อมค้อม ดังนั้นจึงเอ่ยปากพูดออกมาตรงๆ มองดูองค์หญิงเก้า “แต่ว่าเขาไม่รู้อะไรเลย จึงไม่รู้ว่าต้องเริ่มสืบจากที่ใด ถือว่าเป็นการเสียเวลาอย่างมาก ดังนั้นน้องเก้าช่วยท่านอ๋องได้หรือไม่?”
องค์หญิงเก้ามีท่าทีไม่ค่อยสบายใจเล็กน้อย สายตาหลบหลีกไปมาไม่เป็นสุข “คำพูดนี้ของท่านพี่หมายความว่าอย่างไรกัน?”
“เจ้าอาศัยอยู่ในวังมาโดยตลอด คนภายนอกไม่มีทางคิดร้ายด้วยเป็นแน่ เจ้าเคยสร้างศัตรูเอากับใครในวังหลวงบ้างคิดว่าในใจของเจ้าคงรู้ดี ไม่สู้พูดอกมาอย่างน้อยก็ยังมีทิศทางบ้างไม่ใช่หรืออย่างไร?” ถาวจวินหลันเห็นว่าองค์หญิงเก้ายังมีท่าทีปิดบังหลบหลีกอยู่ น้ำเสียงก็อดแข็งคิดมาหลายส่วนไม่ได้
นางหวังว่าองค์หญิงเก้าจะสารภาพเรื่องนี้ พูดให้ไม่น่าฟังก็คือในเมื่อหลอกใช้ตระกูลถาวแล้วก็ควรเข้าใจการปฏิบัติตนของคนในตระกูลถาวมิใช่หรือ? ยังปิดบังอยู่อย่างนั้นจะมีความหมายอะไรอีก? หรือว่าจะทำให้ตระกูลถาวงมอยู่ในโอ่งไม่รู้เรื่องราว แม้แต่ใครเกลียดตนเองก็ยังไม่รู้
หากองค์หญิงเก้าไม่พูด นางคงผิดหวังเป็นอย่างมาก
ที่ถาวจวินหลันไม่รู้ก็คือ ที่จริงแล้วในสายตาของตนเองฉายแววความผิดหวังออกมาแล้วหลายส่วน
เมื่อองค์หญิงเก้าเห็นสายตาเช่นนี้ก็เริ่มรู้สึกสบสน
ทั้งสองคนแข็งขืนใส่กันอยู่นาน สุดท้ายแล้วถาวจวินหลันก็หลุบตาลง น้ำเสียงเรียบนิ่ง “ในเมื่อเจ้าไม่พูดก็ช่างเถิด” นิ่งไปครู่หนึ่ง และพูดออกมาอย่างแฝงนัยว่า “ข้าเพียงหวังว่าองค์หญิงจะเข้าใจว่าอะไรเรียกว่าสามีภรรยาคือคนเดียวกัน เจ้าลำบากใจข้าก็ไม่บังคับเจ้า แต่จิ้งผิงเป็นสามีของเจ้า เป็นความหวังสุดท้ายของตระกูลถาว”
ถาวจวินหลันพูดจบก็หมุนตัวเดินออกไป พูดเพียงเท่านี้หากพูดต่อไปก็เป็นการทำร้ายกัน ดังนั้นจึงหยุดเท่านี้พอ
องค์หญิงเก้ากัดฟัน เอื้อมมือไปจับแขนเสื้อของถาวจวินหลันในทันใด แม้ว่าจะไม่ได้เอ่ยพูดมาก่อน แต่ความตั้งใจนั้นก็เห็นได้ชัดแล้ว
ถาวจวินหลันถอนใจออกมาเบาๆ ยิ้มบางๆ มองคนรอบข้าง
หงหลัวรีบพาบ่าวรับใช้ขององค์หญิงเก้าออกไป รับประกันว่าคำพูดขององค์หญิงเก้าจะมีเพียงถาวจวินหลันได้ยินเท่านั้น
แม้กระทั่งเพื่อความปลอดภัย ถาวจวินหลันยังพาองค์หญิงเก้าเดินไปยังข้างสระน้ำ ที่นี่พื้นที่กว้างขวาง รอบข้างกวาดสายตามองทั่ว ทั้งสองคนยืนอยู่ริมสระ เห็นดอกบัวและปลาที่อยู่ในสระพอดี
องค์หญิงเก้ามองถาวจวินหลันวูบหนึ่ง ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ถึงจะเอ่ยปากพูดว่า “ที่จริงแล้วตอนนั้นฮองเฮาต้องการให้ข้าแต่งงานกับหลานชายเพื่อเข้าตระกูลเดิมของนาง แต่ว่าคนผู้นั้น…ไม่ใช่คนดี ด้วยความไม่ยินยอมจึงได้หาญกล้าเอ่ยปฏิเสธไป และบอกไทเฮา…ตั้งแต่ตอนนั้นฮองเฮาก็เริ่มไม่ชอบข้าแล้ว”
“ถ้าเช่นนั้นเคยลงมือกับเจ้าหรือไม่?” ถาวจวินหลันขมวดคิ้วไล่ถาม หยุดไปครู่หนึ่งก็ลองถามอีกว่า “เพียงแค่เรื่องนี้ฮองเฮาก็ไม่พอใจแล้วอย่างนั้นหรือ?”