ด้วยรับปากหลี่เย่ว่าจะทำอาหารให้เขาทาน ถาวจวินหลันจึงตื่นขึ้นมาเตรียมของตั้งแต่เช้า
เพราะว่าดอกไม้หลากสีสันบานสะพรั่ง ถาวจวินหลันจึงเก็บกุหลาบ มะลิ โบตั๋น และหมู่ตันบางส่วนกลับมา เพื่อเตรียมใช้ทำแผ่นแป้งน้ำผึ้งดอกไม้สด เอามาใช้ทานกับซุปนมวัว
ที่จริงจะพูดถึงวิธีการทำก็ง่ายยิ่งนัก ที่สำคัญอยู่ที่วัตถุดิบ กลีบดอกไม้สดที่เก็บเอามานั้นจะต้องเอามาล้างให้สะอาด ใช้น้ำผึ้งหมักและเอาน้ำมันหมู ถั่ว มันฮ่อ งาและผิวส้มจำนวนน้อยมาตวงผสมเข้าด้วยกัน ผัดจนสุก และส่งกลิ่นหอม ตอนที่ห่อไส้ก็ค่อยใส่กลีบดอกไม้เข้าไป จากนั้นก็นึ่งเอาไว้สักพัก ถือว่าเป็นอันสำเร็จ
แน่นอนว่าสุดท้ายแล้วแม่พิมพ์ที่เอามาใช้ก็ต้องผ่านการพิจารณามาเป็นอย่างดี ใช้พิมพ์ที่มีการแกะสลักสวยงามทำเป็นรูปร่างของดอกไม้ต่างๆ มองดูแล้วชวนให้คนรู้สึกน่ารักน่าทะนุถนอม แทบจะตัดใจทานกันไม่ลงเลยทีเดียว
ในเมื่อทำแล้วแน่นอนว่าก็จะทำน้อยไม่ได้ นอกจากคนในเรือนเฉินเซียงมีโชคได้ชิมแล้ว ถาวจวินหลันยังเก็บเอาไว้ให้เจ้านายคนอื่นภายในจวนคนละถาดอีกด้วย ยกเว้นฝั่งของเจียงอวี้เหลียน
แน่นอนว่าไม่ใช่ว่าเพราะต่อกรกับเจียงอวี้เหลียน แต่เป็นเพราะว่าเซิ่นเอ๋อร์แพ้ดอกไม้สด ดังนั้นอาหารประเภทนี้ย่อมส่งไปให้ไม่ได้ แม้ว่าเซิ่นเอ๋อร์จะกินไม่ได้ แต่ถ้าถูกเข้าโดยไม่ทันระวังเล่า? หรือว่ามีคนมีจุดประสงค์แอบแฝง…อย่างไรเสีย ถ้าไม่เกิดเรื่องได้ก็อย่าให้เกิดเรื่องเลยจะดีกว่า
แต่ว่าถาวจวินหลันก็ไกำชับให้คนไปเก็บชิงซิ่งและปีแป๋ที่เพิ่งตกลงมาส่งไปให้ วิธีนี้หากคิดจะหาเรื่องย่อมทำไม่ได้ ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องกังวล
จิ้งหลิงกลับไม่เกรงใจ กินแล้วรู้สึกอร่อยจึงได้ส่งคนมาขอกลับไปอีกถาดหนึ่ง ส่วนอีกสองที่นั้นก็ได้ส่งมาขอบคุณเช่นเดียวกัน
ผลตอบรับดีเช่นนี้ ถาวจวินหลันย่อมต้องดีใจ แต่สิ่งนี้ทำขึ้นมาเพราะหลี่เย่ ผลที่ออกมากลับแจกจ่ายไปให้คนอื่นกว่าครึ่ง หลี่เย่ไม่ได้ชิมเลยแม้แต่คำเดียว
เมื่อลองคำนวณเวลาแล้ว ถาวจวินหลันก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา ทำไมจนถึงตอนนี้ยังไม่กลับมาอีก?
รออีกครึ่งชั่วยาม ถาวจวินหลันก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจ เรียกบ่าวรับใช้ชายคนหนึ่งเข้ามาและสั่งว่า “ไปดูสิว่าท่านอ๋องจะกลับมาเมื่อไรกัน”
หงหลัวเห็นท่าทีกระวนกระวายนั่งไม่ติดที่ของถาวจวินหลัน ก็อดพูดกล่อมไม่ได้ว่า “อาจด้วยมีเรื่องติดขัดที่ศาลาว่าการก็เป็นได้นะเจ้าค่ะ”
ถาวจวินหลันส่ายหน้า “เมื่อวานนี้บอกว่าจะกลับมาเวลานี้ หากถูกขัดจังหวะจริง เขาก็จะต้องส่งคนมาบอกสักคำเป็นแน่”
ไม่มีข่าวคราวเลยเช่นนี้ไม่ใช่นิสัยของหลี่เย่แม้แต่น้อย
หงหลัวปลอบประโลม “อาจจะยุ่งจนลืมไปเลยจริงๆ ก็ได้นะเจ้าค่ะ อีกอย่างในตอนนี้ท่านอ๋องก็มีธุระมากมาย จะยุ่งจนปลีกตัวไม่ได้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร”
ถาวจวินหลันก็หวังจะให้เป็นเช่นนั้น แต่ว่าที่นางไม่ได้พูดก็คือไม่รู้ว่าทำไมนางถึงรู้สึกไม่สบายใจอยู่ตลอด ใจดวงหนึ่งเหมือนแขวนเอาไว้บนเส้นด้าย รู้สึกเหมือนจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น
หงหลัวเห็นว่านางส่ายหน้า แต่ก็ยังมีท่าทีเป็นกังวลอยู่ จึงเรียกบ่าวรับใช้สองคนที่พูดจาคมคายมาพูดคุยกัน อย่างน้อยก็เป็นการฆ่าเวลาให้กับถาวจวินหลันไม่ใช่หรืออย่างไร? มิเช่นนั้นอุดอู้อยู่คนเดียว อารมณ์ไม่ดีไม่ต้องพูดถึง กลับจะทำให้ตัวเองตกใจเสียเปล่าๆ
แต่ว่ากว่าถาววินหลันจะอารมณ์ดีขึ้นมานั้นไม่ง่าย บ่าวรับใช้ชายที่ส่งไปก็ร้องไห้กลับเข้ามา เมื่อเข้ามาแล้วก็คุกเข่าลงไป รายงานอย่างตะกุกตะกัก “ท่านอ๋องถูกลอบทำร้ายได้รับบาดเจ็บขอรับ!”
ถาวจวินหลันแทบจะจับแก้วน้ำชาเอาไว้ไม่อยู่ มือสั่นอย่างรุนแรง ได้ยินเพียงแค่เสียงกระทบกันของฝาและแก้วเสียงดังก้องจนทำให้คนตกใจต้องเลิกคิ้วขึ้นมา
ทางด้านถาวจวินหลันก็ไล่ถามเสียงหลง “อะไรนะ? ลอบทำร้าย? ได้รับบาดเจ็บ? นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมอยู่ดีๆ ถึงได้ถูกลอบทำร้ายเข้า? แล้วยังได้รับบาดเจ็บอีก!”
บ่าวรับใช้ตกใจจนยิ่งตัวสั่นเข้าไปใหญ่ “รายงานพระชายา ท่านอ๋องได้รับบาดเจ็บระหว่างที่จะเข้าวังหลวงขอรับ ถูกส่งตัวเข้าไปในวังหลวงแล้ว ส่วนสถานการณ์โดยละเอียดนั้นบ่าวกลับไม่ทราบขอรับ”
ถาวจวินหลันรู้สึกว่าในใจนั้นยิ่งบีบเกร็งมากยิ่งขึ้น ทันใดนั้นก็เป็นกังวลมาก นางลุกขึ้นมาสั่งอย่างแน่วแน่ “เตรียมตัวเข้าวังหลวง”
นางจะเข้าไปดูว่าบาดแผลของหลี่เย่เป็นอย่างไรบ้าง
ฉับพลันก็รู้สึกสับสนไปหมด อดคิดไม่ได้ว่า ตอนที่เกิดรู้สึกไม่สบายใจก่อนหน้านี้นางก็ควรส่งคนไปดูหลี่เย่แล้ว บางทีคงไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น
พอเปลี่ยนเสื้อผ้าในขณะที่สมองยังมึนงงเสร็จแล้ว แม้แต่ปิ่นปักผมก็ไม่สนใจจับให้เข้ากัน นางก็ลุกขึ้นเดินออกไปข้างนอก เดินออกไปได้สองสามก้าวก็คิดถึงหมิงจูและซวนเอ๋อร์ขึ้นมา หลังจากที่นิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งก็สั่งว่า “ให้จิ้งหลิงอี๋เหนียงมาควบคุมสถานการณ์ เชิญนางมาดูแลซวนเอ๋อร์และหมิงจู”
เพราะไม่รู้ว่าสถานการณ์เป็นเช่นไร กลัววันนี้จะไม่ได้กลับมา นางจึงได้สั่งเช่นนี้
ไม่ใช่เพราะว่านางตั้งใจเก็บเรื่องนี้ไปคิดในแง่ร้าย แต่เป็นเพราะในใจของนางเข้าใจดีว่าเรื่องนี้คงไม่ง่าย หากหลี่เย่เพียงแค่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แน่นอนว่าไม่มีทางรอจนถึงตอนนี้แล้วยังไม่มีใครส่งข่าวมา อีกทั้งหากสถานการณ์ไม่รีบเร่ง ก็คงไม่ต้องถูกส่งตัวเข้าวังหลวงในทันที
อย่างไรหลี่เย่ก็เป็นองค์ชายที่บรรลุนิติภาวะแล้ว และถูกแต่งตั้งเป็นอ๋อง ต่อให้ได้รับบาดเจ็บ ก็เห็นได้ชัดว่าไม่สมควรถูกนำเข้าไปรักษาตัวในวังหลวงมิใช่หรือ?
หากอาการบาดเจ็บของหลี่เย่หนัก เกรงว่านางคงต้องอยู่เป็นเพื่อนหลี่เย่ไม่สามารถกลับมาได้ชั่วคราว ตอนนี้ลูกทั้งสองคนล้วนอยู่ที่เรือนเฉินเซียง หากมีคนคิดไม่ซื่อเกรงว่านี่คงถือเป็นโอกาสอันดีไม่ใช่หรืออย่างไร?
นางเสี่ยงอันตรายไม่ได้
แต่นางก็อยู่ทันส่งได้เพียงประโยคเดียวเท่านั้น เยอะไปกว่านี้คงทำไม่ได้แล้ว
ออกจากเรือนเฉินเซียงอย่างเร่งรีบเช่นนี้ ยังไม่ทันออกจากโถงดอกไม้โรย คนที่เฝ้าประตูก็เข้ามารายงานว่ามีคนจากในวังหลวงมา
ถาวจวินหลันตะลึงไป ตามสันชาตญาณแล้วรู้สึกว่านี่น่าจะเป็นเรื่องของหลี่เย่ ในตอนนั้นก็ไม่สนใจเรื่องอื่น รีบเดินออกไปต้อนรับ
คนที่มากลับเป็นขันทีใหญ่เป่าฉวนขันทีอาวุโสข้างกายฮ่องเต้สวี่เป่าฉวน ด้วยเรื่องของหงฉวี ถาวจวินหลันจึงจำขุนนางเป่าฉวนได้แม่น มองแวบเดียวก้จำได้ทันที
“ที่แท้ก็เป็นเป่าฉวนกงกงนี่เอง” ถาวจวินหลันฝืนยิ้ม แต่กลับปิดบังความร้อนรนภายในใจไม่ได้ จากนั้นก็ไล่ถามว่า “เป่าฉวนกงกง ท่านอ๋องของพวกเราเป็นอย่างไรบ้าง?”
ขันทีเป่าฉวนยิ้มอย่างเป็นมิตร และไม่พิรี้พิไร เพียงแค่ทำความเคารพและพูดว่า “ชายารองถาวอย่าร้อนใจไป ท่านอ๋องฟื้นแล้ว ตอนนี้บ่าวมารับชายารองถาวเพื่อเข้าวัง”
ถาวจวินหลันพิจารณาท่าทีของขันทีเป่าฉวนอย่างละเอียด เห็นเขามีท่าทีสงบยิ่งเป็นมิตร ก็รู้สึกได้สติกลับคืนมาเล็กน้อย คิดว่าหลี่เย่ไม่น่าจะเป็นอะไรมาก ในตอนนั้นนางจึงสงบนิ่งลงไปเยอะ
ขันทีเป่าฉวนเหลือบมองถาวจวินหลันทีหนึ่ง พลางหัวเราะขึ้นมา “ดูท่าทางชายารองถาวก็กำลังจะเข้าไปวังหลวงใช่หรือไม่? ช่างบังเอิญเสียจริง จะได้ไม่ต้องเสียเวลาอีก บ่าวจะได้กลับวังไปรายงานคำสั่ง”
ขันทีเป่าฉวนยังมีใจล้อเล่น ถาวจวินหลันก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาไม่น้อย “รบกวนเป่าฉวนกงกงให้เหนื่อยมาที่นี่แล้ว วันอื่นจะต้องให้ท่านอ๋องเชิญท่านมาดื่มน้ำชาร่วมกันเป็นแน่”
ขันทีเป่าฉวนได้ยินเช่นนั้นพลันยิ้มกว้าง “นั่นถือว่าเป็นโชคของบ่าวแล้วขอรับ” เงินทองไม่มีความสำคัญกับตำแหน่งเช่นขันทีเป่าฉวน เขาสนใจเรื่องหน้าตา เมื่อได้ยินความตั้งใจของถาวจวินหลันว่าจะให้หลี่เย่เชิญเขามาดื่มชาด้วยตนเอง เขาก็รู้สึกว่าตนเองมีหน้ามีตาขึ้นมา และในขณะเดียวกันก็รู้สึกว่าจวนตวนอ๋องนั้นรู้จักปฏิบัติต่อคน
จะต้องรู้ว่าท่านอ๋องคนอื่น แม้ว่าโดยปกติจะไว้หน้าเขาบ้าง แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้นในใจก็มีความคิดดูถูกอยู่บ้าง คิดว่าการมอบเงินรางวัลให้ก็ถือว่าเป็นการมอบบุญคุณให้แล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องมาเชิญดื่มชาด้วยตนเองเลย
ถาวจวินหลันก็ไม่ได้ไล่ถามรายละเอียดมากมายจากขันทีเป่าฉวนอีก แม้แต่คำพูดเยินยอตามมารยาทก็ไม่พูดมาก นางรีบขึ้นไปบนรถม้าอย่างเร่งรีบ ตอนนี้ที่สำคัญที่สุดคือเข้าวังหลวงไปดูอาการหลี่เย่ถึงจะถูก
ถาวจวินหลันนั่งบนรถม้าที่มุ่งหน้าเข้าวังหลวง ไม่ได้บอกให้เร่งความเร็วของรถม้าเพียงครั้งเดียว ในความเป็นจริง แม้ว่าจะเพิ่มความเร็วแล้ว แต่ถาวจวินหลันก็ยังรู้สึกช้าอยู่ดี ตอนนี้นางอยากให้ตนเองมีปีกสองข้าง นางจะได้บินเข้าไปในวังหลวงเพื่อพบหลี่เย่ในทันที
แต่ต่อให้นางจงร้อนใจเช่นไร ก็ไม่สามารถลดระยะทางได้ เวลาที่ควรจะต้องใช้ก็น้อยลงไม่ได้
ถาวจวินหลันกดความร้อนใจดังไฟเอาไว้ในใจ พิจารณาเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้อย่างละเอียด ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่หลี่เย่ได้รับบาดเจ็บจนสตินางต้องวุ่นวาย แต่อยู่ดีๆ ทำไมหลี่เย่ถึงได้ถูกลอบทำร้ายได้
นางสงสัยฮองเฮายเป็นคนแรก แต่เมื่อมาคิดพิจารณาอย่างละเอียดแล้ว ก็คิดว่าไม่ค่อยมีความเป็นไปได้เท่าไรนัก ฮองเฮาจะระแวงหลี่เย่อย่างไรก็คงไม่ถึงขั้นลงมือในทันทีที่หลี่เย่เอ่ยปากพูด เช่นนั้นมันเห็นได้ชัดเกินไป
ในเมื่อไม่ใช่ฮองเฮา ถ้าเช่นนั้นก็ต้องเดาเป็นคนอื่น สุดท้ายนางก็นึกถึงท่าทีที่หลี่เย่พูดอย่างมั่นใจว่ามีวิธีสืบเรื่องราวแล้ว
หากเป็นเพราะเรื่องนี้ก็ถือว่าสมเหตุสมผลอยู่ จะใช่เพราะมีคนไม่อยากให้หลี่เย่สืบเรื่องนี้สำเร็จใช่หรือไม่? แน่นอนว่ามีความเป็นไปได้อย่างมาก ฝ่ายตรงข้ามกล้าลอบฆ่าแม้แต่องค์หญิง แล้วยังกล้าลอบฆ่าในสถานที่เช่นนั้น ก็เพียงพอแล้วที่จะพูดว่าฝ่ายตรงข้ามมีความกล้า ความโอหังมากเพียงใด ดังนั้นแน่นอนว่าฝ่ายตรงข้ามก็ต้องกล้าลงมือกับหลี่เย่
อีกอย่างไม่แน่ว่าหลี่เย่เองอาจจะใช้แผนการอะไรบางอย่าง? ถึงได้ทำให้ฝ่ายตรงข้ามลงมือ
ดูจากนิสัยของหลี่เย่แล้ว ถาวจวินหลันก็สงสัยว่าหลี่เย่ตั้งใจให้ฝ่ายตรงข้ามลงมือ จุดประสงค์ก็เพื่อหาหลักฐานออกมาอีกครั้งหนึ่ง
ถาวจวินหลันคาดเดาไปเรื่อยเปื่อย ในตอนนี้เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อครู่นี้ที่นั่งเรียบเรียงความคิดภายในหัว รถม้าก็มาถึงหน้าประตูวังแล้ว
ขันทีเป่าฉวนประคองถาวจวินหลันให้ลงจากรถม้าด้วยตนเอง
ถาวจวินหลันรู้สึกตกใจที่จู่ๆ ก็ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ แม้จะบอกว่าขันทีเป่าฉวนเป็นแค่บ่าว แต่ก็ได้รับความเชื่อถือจากฮ่องเต้เป็นอย่างมาก จะให้นางที่เป็นแค่ชายารองตำแหน่งเล็กๆ ของท่านอ๋องคนหนึ่งมาเรียกใช้ได้อย่างไรกัน? ดังนั้นขันทีเป่าฉวนกระทำเช่นนี้ที่หน้าประตูวังก็ถือว่าไว้หน้านางเช่นเดียวกัน
มีหลายครั้งที่ท่าทีของขันทีเป่าฉวนจะเท่ากับท่าทีของฮ่องเต้
ดังนั้นการที่ปฏิบัติขันทีเป่าฉวนปฏิบัติต่อนางเช่นนี้ คนอื่นเห็นเข้าก็จะต้องคิดว่าที่เป็นความตั้งใจของฮ่องเต้ แน่นอนว่าก็ต้องให้ความเคารพนางมากขึ้น
ถาวจวินหลันคิดตก ดังนั้นจึงพูดขอบคุณตามมารยาท ไม่ได้รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่สมควร
รอยยิ้มของขันทีเป่าฉวนยิ่งลึกลงไปอีก “ชายารองถาวพูดเช่นนี้ กลับทำให้บ่าวต้องลำบากใจแล้ว”
ถาวจวินหลันยิ้ม “ขอให้เป่าฉวนกงกงพาข้าไปพบท่านอ๋องด้วยเถิด ไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง ข้าก็วางใจไม่ได้เสียที”
ขันทีเป่าฉวนพูดติดกัน “สมควร สมควร” และพูดถึงเรื่องที่หลี่เย่ได้รับบาดเจ็บ “ฮ่องเต้กริ้วเป็นอย่างมาก ให้ฝ่ายศาลเข้ามาร่วมด้วย จะต้องร้องคืนความยุติธรรมให้กับตวนอ๋อง แต่นักฆ่าเองก็กล้าเกินไป ในแผ่นดินของโอรสสวรรค์ก็ยังกล้าทำเรื่องเช่นนี้ ช่างน่าโกรธแค้นเสียจริง”